จิตไม่มีรูปพรรณ สัณฐาน เกิด ดับ ไม่เป็น ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ดับ เพราะไม่มีรูปพรรณ สัณฐาน
ไม่มีสีสรร วรรณะ เกิด ดับ ไม่เป็น ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ดับ เพราะไม่มีสีสรร วรรณะ
จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น เกิด ดับ ไม่เป็น ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ดับ เพราะ จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น
จิตไม่เป็นดวงเพราะไม่มีรูปพรรณสรรณฐาน
ที่เรียกว่าดวง ผ่าจิต เป็น 2ดวง เป็น4ดวง
ผ่าจิตเป็น89ดวง ผ่าจิตเป็น121ดวง
เอาไว้เรียก ให้สำหรับนักธรรมท่องศึกษา
เพื่อเอาไว้สอบ เอาไว้ทวนกัน ไม่ได้ใช้ปฏิบัติ
จิตแบ่งเรียกตาม อารมณ์ที่เกิด
จิตที่มีอารมณ์โกรธ ก็เรียกว่าโทสะจิต
จิตที่มีอารมณ์โลภ ก็เรียกว่าโลภะะจิต
จิตที่มีอารมณ์หลง ก็เรียกว่าโมหะะจิต
แล้วจิตที่ มีอารมณ์โกรธ จิตที่มีอารมณ์โลภ จิต ที่มีอารมณ์หลง
ก็ผ่าออกไปอีกแล้วแต่งคนแต่งตำราจะขยันผ่าจิต
จิตมีอารมณ์ที่แปรปรวน ไปตามกิเลส
จิตมีอารมณ์โกรธ จิตไปรับรู้ความโกรธแล้วเกิดอารมณ์ โกรธ
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา
จิตไม่ได้ไปไหน จิตอยู่ในคูหา จิตอยู่ในถ้ำ
จิตมีอารมณ์โลภ จิตไปรับรู้ความโลภแล้วเกิดอารมณ์ โลภ
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์โลภขึ้นมา
จิตมีอารมณ์หลง จิตไปรับรู้ความหลงแล้วเกิดอารมณ์หลง
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์หลงขึ้นมา
อารมณ์เป็นตัวเกิด ดับ แปรเปลี่ยน ไปตามกิเลสที่จิตมีผัสสะ
ตามสฬายตนะ จิตมี วิญญาณไปรับรู้มา
อารมณ์เป็นวิถีที่จิตเป็นไป ตามกิเลส เพราะกิเลสมาชักชวนจิตให้หลงไป
จิตหลงไปจึงเกิดอารมณ์ ก็เลยเรียกกันง่ายๆเพื่อให้นักธรรมนำสอบ ไปคุยกัน ว่าวิถีจิต
วิถีจิตก็ว่าด้วย อารมณ์ของจิตในชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่จิตเกิด ดับ
เป็นชั่วขณะหนึ่งของอารมณ์ที่เกิด ดับ
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธก็เกิด
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์โลภ อารมณ์โลภก็เกิด อารมณ์โกรธก็ดับ
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์หลง อารมณ์หลงก็เกิด อารมณ์โลภก็เดับ
อารมณ์ก็เกิด ดับ แปรปรวนไปเรื่อยๆเป็นวิถี ที่จิต ไปตามกิเลส
จิตเป็นผู้รู้อารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้จำอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้คิดอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้รู้รสอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้รู้สะสมอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
มีสติรู้อารมณ์ในขณะหายใจเข้า
มีสติรู้อารมณ์ในขณะหายใจออก
เราจะเห็นอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปทุกขณะจิต
จิตไม่เปลี่ยนไปไหน อยู่ทีเดิม มีแต่อารมณ์ที่แปรเปลี่ยน
จิตไม่มีดวง
ไม่มีสีสรร วรรณะ เกิด ดับ ไม่เป็น ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ดับ เพราะไม่มีสีสรร วรรณะ
จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น เกิด ดับ ไม่เป็น ไม่รู้ว่า อะไรเกิด ดับ เพราะ จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น
จิตไม่เป็นดวงเพราะไม่มีรูปพรรณสรรณฐาน
ที่เรียกว่าดวง ผ่าจิต เป็น 2ดวง เป็น4ดวง
ผ่าจิตเป็น89ดวง ผ่าจิตเป็น121ดวง
เอาไว้เรียก ให้สำหรับนักธรรมท่องศึกษา
เพื่อเอาไว้สอบ เอาไว้ทวนกัน ไม่ได้ใช้ปฏิบัติ
จิตแบ่งเรียกตาม อารมณ์ที่เกิด
จิตที่มีอารมณ์โกรธ ก็เรียกว่าโทสะจิต
จิตที่มีอารมณ์โลภ ก็เรียกว่าโลภะะจิต
จิตที่มีอารมณ์หลง ก็เรียกว่าโมหะะจิต
แล้วจิตที่ มีอารมณ์โกรธ จิตที่มีอารมณ์โลภ จิต ที่มีอารมณ์หลง
ก็ผ่าออกไปอีกแล้วแต่งคนแต่งตำราจะขยันผ่าจิต
จิตมีอารมณ์ที่แปรปรวน ไปตามกิเลส
จิตมีอารมณ์โกรธ จิตไปรับรู้ความโกรธแล้วเกิดอารมณ์ โกรธ
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา
จิตไม่ได้ไปไหน จิตอยู่ในคูหา จิตอยู่ในถ้ำ
จิตมีอารมณ์โลภ จิตไปรับรู้ความโลภแล้วเกิดอารมณ์ โลภ
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์โลภขึ้นมา
จิตมีอารมณ์หลง จิตไปรับรู้ความหลงแล้วเกิดอารมณ์หลง
จิตอยู่เฉยๆแต่จิตเกิดอารมณ์หลงขึ้นมา
อารมณ์เป็นตัวเกิด ดับ แปรเปลี่ยน ไปตามกิเลสที่จิตมีผัสสะ
ตามสฬายตนะ จิตมี วิญญาณไปรับรู้มา
อารมณ์เป็นวิถีที่จิตเป็นไป ตามกิเลส เพราะกิเลสมาชักชวนจิตให้หลงไป
จิตหลงไปจึงเกิดอารมณ์ ก็เลยเรียกกันง่ายๆเพื่อให้นักธรรมนำสอบ ไปคุยกัน ว่าวิถีจิต
วิถีจิตก็ว่าด้วย อารมณ์ของจิตในชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่จิตเกิด ดับ
เป็นชั่วขณะหนึ่งของอารมณ์ที่เกิด ดับ
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธก็เกิด
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์โลภ อารมณ์โลภก็เกิด อารมณ์โกรธก็ดับ
จิตมีวิญญาณไปรับรู้อารมณ์หลง อารมณ์หลงก็เกิด อารมณ์โลภก็เดับ
อารมณ์ก็เกิด ดับ แปรปรวนไปเรื่อยๆเป็นวิถี ที่จิต ไปตามกิเลส
จิตเป็นผู้รู้อารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้จำอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้คิดอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้รู้รสอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
จิตเป็นผู้รู้สะสมอารมณ์ไปเรื่อยๆๆ
มีสติรู้อารมณ์ในขณะหายใจเข้า
มีสติรู้อารมณ์ในขณะหายใจออก
เราจะเห็นอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปทุกขณะจิต
จิตไม่เปลี่ยนไปไหน อยู่ทีเดิม มีแต่อารมณ์ที่แปรเปลี่ยน