.
ขอให้ทุกคนรู้จักพระนิพพานชนิดนี้ จำเป็น
ที่จะต้องรู้จัก เพราะว่ามันมีคุณค่าอย่างใหญ่หลวง
หรือจะเรียกว่า เป็นหนี้บุญคุณของพระนิพพานอย่าง
อย่างนี้อยู่อย่างใหญ่หลวง พูดให้จำกัดชัดเจนลงไป
ว่า ภาวะที่การว่างจากกิเลส ( คือ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ) ที่ปรากฏแก่จิตเมื่อจิตว่างจากกิเลส นั่นแหล่ะ
คือนิพพาน เมื่อใดจิตว่างจากกิเลสเมื่อนั้นก็เป็น " นิพพาน "
เดี๋ยวนี้เวลานี้นั่งอยู่ที่นี่ จิตมีกิเลสหรือไม่ ? ถ้าใครมีกิเลส
มันก็ไม่มีนิพพาน ถ้าใครไม่มีกิเลส มันก็มีภาวะแห่งนิพพาน
คือความว่างจากกิเลส นั่งอยู่ที่นี่อาจจะมีความคิดนึกรัก
โกรธเกลียดกลัวอะไรก็ได้ สงสัยอะไรก็ได้ ไม่เชื่อผู้พูดผู้เทศน์
กำลังเกลียดน้ำหน้าผู้เทศน์ผู้พูดอยู่ก้ได้ มันก็ไม่ว่างจากกิเลส
แต่ถ้ามันไม่มีกิเลส โดยประการใด ๆ มันก็เป็นความว่างจาก
กิเลส หรือมีความเย็นแห่ง " นิพพาน "
ท่านทั้งหลายจะต้องคิดดูเรื่องนี้ให้ดี ๆ เพราะ
ว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ว่าจะทำให้พระพุทธศาสนา
เป็นหมันไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าจะทำให้พระ -
พุทธศาสนา มีประโยชน์ที่สุด และตัวเองก็เป็นผู้ที่ได้
รับประโยชน์ อย่างยิ่งคนหนึ่งด้วย นั่นแหล่ะจะต้องทำ
ความรู้ ความเข้าใจ ว่า นิพพาน คืออะไร ? อยู่ที่ไหน ?
และ เมื่อไร ? มีแก่ทุก ๆ คน ได้หรือไม่ ?
แต่อย่างไรก็ดี จะต้องรู้จักข้อที่ว่า มันเป็นชั้น ๆ
ชั้น ๆ อยู่ มันไม่เท่ากัน นิพพานสำหรับพระอรหันต์
มันก็อย่างหนึ่ง ระดับหนึ่ง สำหรับโสดาฯ สกิทาคาฯ
อนาคาฯ มันก็ระดับหนึ่ง สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็น -
โสดา ยังเป็นปุถุชนธรรมดามัน ก็อีกระดับหนึ่ง ปุถุชน
ชั้นดีมันก็ระดับหนึ่ง ปุถุชนชั้นเลวมันก็อีกระดับหนึ่ง
มันไม่เท่ากัน ความว่างจากกิเลสนั้น มันมีลักษณะ ไม่
เท่ากัน หรือ ต่างกัน แต่แล้ว ขอให้เข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่า
ความว่าง จาก กิเลส ( คือ ความเศร้าหมองจิต ได้แก่
ความโลภ โกรธ หลง ) แล้ว มันก็เป็น " นิพพาน " ทั้งนั้น
เพราะมันแปลว่า " เย็น ๆ "
แม้แต่ทางวัตถุ ก็ยังใช้คำว่าเย็นนี่ ถ้าเป็น
ภาษาบาลี เช่น ไฟดับ นี่ ภาษาบาลี ก็ใช้คำว่านิพ
พาน อยู่นั่นแหล่ะ มีคำว่า ปชฺโช ตสฺเสว นิพฺพานํ
ดับเหมือน " ความดับแห่งไฟ " ดับเหมือน ความ
ดับแห่งไฟ ไฟที่หมดเชื้อ มันก็ดับไป นี่ก็เหมือน
ความดับแห่งกิเลสที่หมดเชื้อ ของร้อนมีความร้อน
ไม่เย็น ก็เรียกว่า ยังไม่นิพพาน ยังกินไม่ได้ เป็น
คำพูด ที่ใช้อยู่ในครัว ว่าแกงหรือข้าวต้ม หรืออะไร
มันยังไม่เย็น กินไม่ได้ แล้วต้องรอจนกว่ามันจะ
" นิพพาน " พอสมควรแล้วจึงจะกินนี่ยังใช้คำว่า
" นิพพาน " อยู่นั่นแหล่ะ
มีพระบาลี ตอนหนึ่ง มีข้อความว่า " ช่าง
ทองเขาหลอมทอง หลอมแล้ว เขาเอาออกมาจาก
ที่ตัดไฟ ตัดทองที่หลอมแล้วเอาน้ำรดให้มันเย็น คำ
คำนี้เป็นพระบาลี ก็ว่า ทำให้มัน นิพพาน - นิพพาเปยย
ช่างทองทำกิริยา นิพพาเปยย คือ ทำให้ทองที่หลอม
ร้อนนั่นน่ะ เย็น แล้วเขาก็ทำเป็น รูปพรรณ อย่างนั้น
อย่างนี้ ได้ตามความประสงค์ นี่คำว่า " นิพพาน "
มันแปลว่า " เย็น " หรือ ทำให้เย็น มันไม่ได้แปลว่า
ตาย นี่เรารู้ความหมาย ของคำว่า เย็น นี้ มันมีได้ทั้ง
ทางวัตถุ และ ทางจิตใจ
มีคำบาลี ใช้กับ การทำให้ หมดพิษร้าย
เช่นว่า สัตว์ป่า จับมาจาก ในป่า เช่น ควายป่า ช้าง
ป่า อะไรป่านี่ มันดุร้าย เหลือประมาณ อันตราย
เหลือประมาณ เขาเอามา เข้าคอก เข้าที่ บังคับ
ฝึกหัด ไปจน สัตว์เหล่านั้น เชื่องเหมือนแมว จน
ช้างป่านั้น เชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้ อย่าง
นี้ ก็เรียกว่า มัน " นิพพาน " เหมือนกัน มันหมดจาก
ไฟ คือ ไอ้ความ ป่าเถื่อน ของมันแล้ว นี่แม้แต่กับ สัตว์
เดรัจฉาน
จากหนังสือ นิพพานสำหรับทุกคน
ของท่านอาจารย์ พระพุทธทาสภิกขุ
The Matrix Really . Pt 8 . เรื่องสำคัญ ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเป็นหมันไม่มีประโยชน์อะไร
ขอให้ทุกคนรู้จักพระนิพพานชนิดนี้ จำเป็น
ที่จะต้องรู้จัก เพราะว่ามันมีคุณค่าอย่างใหญ่หลวง
หรือจะเรียกว่า เป็นหนี้บุญคุณของพระนิพพานอย่าง
อย่างนี้อยู่อย่างใหญ่หลวง พูดให้จำกัดชัดเจนลงไป
ว่า ภาวะที่การว่างจากกิเลส ( คือ ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ) ที่ปรากฏแก่จิตเมื่อจิตว่างจากกิเลส นั่นแหล่ะ
คือนิพพาน เมื่อใดจิตว่างจากกิเลสเมื่อนั้นก็เป็น " นิพพาน "
เดี๋ยวนี้เวลานี้นั่งอยู่ที่นี่ จิตมีกิเลสหรือไม่ ? ถ้าใครมีกิเลส
มันก็ไม่มีนิพพาน ถ้าใครไม่มีกิเลส มันก็มีภาวะแห่งนิพพาน
คือความว่างจากกิเลส นั่งอยู่ที่นี่อาจจะมีความคิดนึกรัก
โกรธเกลียดกลัวอะไรก็ได้ สงสัยอะไรก็ได้ ไม่เชื่อผู้พูดผู้เทศน์
กำลังเกลียดน้ำหน้าผู้เทศน์ผู้พูดอยู่ก้ได้ มันก็ไม่ว่างจากกิเลส
แต่ถ้ามันไม่มีกิเลส โดยประการใด ๆ มันก็เป็นความว่างจาก
กิเลส หรือมีความเย็นแห่ง " นิพพาน "
ท่านทั้งหลายจะต้องคิดดูเรื่องนี้ให้ดี ๆ เพราะ
ว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ว่าจะทำให้พระพุทธศาสนา
เป็นหมันไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าจะทำให้พระ -
พุทธศาสนา มีประโยชน์ที่สุด และตัวเองก็เป็นผู้ที่ได้
รับประโยชน์ อย่างยิ่งคนหนึ่งด้วย นั่นแหล่ะจะต้องทำ
ความรู้ ความเข้าใจ ว่า นิพพาน คืออะไร ? อยู่ที่ไหน ?
และ เมื่อไร ? มีแก่ทุก ๆ คน ได้หรือไม่ ?
แต่อย่างไรก็ดี จะต้องรู้จักข้อที่ว่า มันเป็นชั้น ๆ
ชั้น ๆ อยู่ มันไม่เท่ากัน นิพพานสำหรับพระอรหันต์
มันก็อย่างหนึ่ง ระดับหนึ่ง สำหรับโสดาฯ สกิทาคาฯ
อนาคาฯ มันก็ระดับหนึ่ง สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุเป็น -
โสดา ยังเป็นปุถุชนธรรมดามัน ก็อีกระดับหนึ่ง ปุถุชน
ชั้นดีมันก็ระดับหนึ่ง ปุถุชนชั้นเลวมันก็อีกระดับหนึ่ง
มันไม่เท่ากัน ความว่างจากกิเลสนั้น มันมีลักษณะ ไม่
เท่ากัน หรือ ต่างกัน แต่แล้ว ขอให้เข้าใจว่า ขึ้นชื่อว่า
ความว่าง จาก กิเลส ( คือ ความเศร้าหมองจิต ได้แก่
ความโลภ โกรธ หลง ) แล้ว มันก็เป็น " นิพพาน " ทั้งนั้น
เพราะมันแปลว่า " เย็น ๆ "
แม้แต่ทางวัตถุ ก็ยังใช้คำว่าเย็นนี่ ถ้าเป็น
ภาษาบาลี เช่น ไฟดับ นี่ ภาษาบาลี ก็ใช้คำว่านิพ
พาน อยู่นั่นแหล่ะ มีคำว่า ปชฺโช ตสฺเสว นิพฺพานํ
ดับเหมือน " ความดับแห่งไฟ " ดับเหมือน ความ
ดับแห่งไฟ ไฟที่หมดเชื้อ มันก็ดับไป นี่ก็เหมือน
ความดับแห่งกิเลสที่หมดเชื้อ ของร้อนมีความร้อน
ไม่เย็น ก็เรียกว่า ยังไม่นิพพาน ยังกินไม่ได้ เป็น
คำพูด ที่ใช้อยู่ในครัว ว่าแกงหรือข้าวต้ม หรืออะไร
มันยังไม่เย็น กินไม่ได้ แล้วต้องรอจนกว่ามันจะ
" นิพพาน " พอสมควรแล้วจึงจะกินนี่ยังใช้คำว่า
" นิพพาน " อยู่นั่นแหล่ะ
มีพระบาลี ตอนหนึ่ง มีข้อความว่า " ช่าง
ทองเขาหลอมทอง หลอมแล้ว เขาเอาออกมาจาก
ที่ตัดไฟ ตัดทองที่หลอมแล้วเอาน้ำรดให้มันเย็น คำ
คำนี้เป็นพระบาลี ก็ว่า ทำให้มัน นิพพาน - นิพพาเปยย
ช่างทองทำกิริยา นิพพาเปยย คือ ทำให้ทองที่หลอม
ร้อนนั่นน่ะ เย็น แล้วเขาก็ทำเป็น รูปพรรณ อย่างนั้น
อย่างนี้ ได้ตามความประสงค์ นี่คำว่า " นิพพาน "
มันแปลว่า " เย็น " หรือ ทำให้เย็น มันไม่ได้แปลว่า
ตาย นี่เรารู้ความหมาย ของคำว่า เย็น นี้ มันมีได้ทั้ง
ทางวัตถุ และ ทางจิตใจ
มีคำบาลี ใช้กับ การทำให้ หมดพิษร้าย
เช่นว่า สัตว์ป่า จับมาจาก ในป่า เช่น ควายป่า ช้าง
ป่า อะไรป่านี่ มันดุร้าย เหลือประมาณ อันตราย
เหลือประมาณ เขาเอามา เข้าคอก เข้าที่ บังคับ
ฝึกหัด ไปจน สัตว์เหล่านั้น เชื่องเหมือนแมว จน
ช้างป่านั้น เชื่องเหมือนกับแมว ทำอะไรก็ได้ อย่าง
นี้ ก็เรียกว่า มัน " นิพพาน " เหมือนกัน มันหมดจาก
ไฟ คือ ไอ้ความ ป่าเถื่อน ของมันแล้ว นี่แม้แต่กับ สัตว์
เดรัจฉาน
จากหนังสือ นิพพานสำหรับทุกคน
ของท่านอาจารย์ พระพุทธทาสภิกขุ