สวัสดีครับ ผมชื่อเจมส์ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ ศัลยกรรม ครั้งแรกของชีวิต และก็จะเรียกว่า ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตของจริงก็ว่าได้
มันเกิดมาจาก ผมเป็นลูกคนเล็ก จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างค่อนข้าง เอาใจ(เรื่องการกิน) ความทรงจำตอน อนุบาลที่จำได้ ก็คือ คุณแม่ชอบ ชมผมให้คนอื่นฟังประมาณว่า “เจมส์ เนี่ยเก่งนะ อยู่ รร. คุณครูบอกว่าขอเติมข้าวเองเป็นด้วย” เพราะอย่างนี้มันเลยทำให้ผมรู้สึก ว่า “หูยยย แค่นี้ก้เก่งแล้ว ขอเติมเรื่อยๆดีกว่า” ประกอบกับผมเป็นคน ง่ายๆ ไม่เรื่องมากโดยเฉพาะเรื่องกิน
นี้คือรูป ผมตอน เด็ก ครับ
แล้วหลังจากนั้น มันก็จะขึ้นมาเรื่อย ๆ จนช่วง ม.ต้น ผมน้ำหนัก ขึ้นไปกว่า 90+ กิโลกรัม
ภาพตอน ช่วงม.ต้น
จนที่บ้าน ให้ไปเข้าคลอส ของสถาบันลดน้ำหนักแห่งหนึ่ง ซึ่ง ก็ได้ผลอยู่นะครับ น้ำหนักผม ลดไปประมาณ 20 กิโล ในเวลา 3 เดือน และ ก็เริ่ม ตันไม่ลดอีก
นี้คือภาพที่ไปเข้าสถาบันลด น้ำหนักครับ
และหลังจากนั้น ผมได้ไป เรียนที่ ประเทศจีน ผมก็ปล่อยตัวตามสบาย และ อากาศหนาว ทำให้มีความสุขกับการกิน การดื่ม จน น้ำหนัก ขึ้นมาเรื่อยๆ แตะเลข 120++ อาจจะด้วยที่ยังเด็ก ก็ม่ได้คิดอะไร มาก ตอนนั้นเพิง อายุ 17 ปี และกิน - ดื่มต่อไป
สภาพตอนนั้น
พอผมกลับมาเมืองไทย ต้องเข้าเรียนต่อ มหาวิทยาลัย ผมจึงมีแรงฮึด อีกครั้ง เพราะคิดว่าอยากจะเริ่ม สังคมใหม่ๆ เจอเพื่อนใหม่ๆ อยากให้ สารร่าง ตัวเองดูดีนิดนึง จึงออกกำลังกายอย่างหนัก ทุกวัน เป็นเวลา 4 เดือน ครั้งนั้น น้ำหนักลดลงไป 28 กิโลกรัม จาก 132 เหลือ 104 กิโลกรัม
พอผมเข้าเรียนด้วยความขี้เกียจที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับเรียน ค่อนข้างหนักในเทอมแรกๆ และต้องมีการดื่มกินสังสรรค์ กันตามภาษาวัยรุ่น จึงทำให้ผมห่างการออกกำลังกายมา แล้ว น้ำหนัก มันก็กลับขึ้นมาเรื่อยๆ
ตอนผมรับปริญญา น้ำหนักตอนนั้น น่าจะสัก 135 กิโลกรัมได้
จากนั้น หลังจากเรียนจบ ผมรู้สึกว่ามีความผิดปกติ คือ
1. นอนหลับ อยู่ ๆก็ตื่นเพราะเสียงกรนตัวเอง(คิดดูสิว่าดังขนาดไหน)
2. การขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน รู้สึกลำบาก
3. เหนื่อยง่ายมาก
4. ร้อน และอึดอัด
ซึ่งตอนนั้นตรวจ ยังไม่เจอโรคอะไร สักอย่างนะครับ แต่ ที่บ้าน มี กรรมพันธุ์ เบาหวาน จึงทำให้ทุกคน เป็นห่วงกันมาก ทุกครั้งที่เจอ ยาติคนไหนก็จะพูดทำนองว่า
“ออกกำลังกาย หน่อยน้า”
“ลดน้ำหนักๆ อ้วนไปแล้ว”
ลองคิดดูสิ น้ำหนักกว่า140 กิโลกรัม ออกกำลังกายยังไง ไหว แค่เดินก็จะตายละ (สำหรับผม)
จน วันนึงผมเปิดเจอ ในเฟสบุ๊คของ คุณ พบรัก เรื่อง ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต เกี่ยวกับผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร เพื่อลดน้ำหนักสำหรับคนที่มีน้ำหนัก เยอะมากๆ
พี่สาว ผมเลยแนะนำ รัตตินันท์ คลินิก ผมจึงลองไปปรึกษา ทางคุณหมอ ทางคุณหมอ ให้ข้อมูลดีมากครับ ไม่ว่าจะเรื่องรูปแบบ ขั้นตอน ระยะเวลา และมีข้อมูลอ้างอิงให้ดูอย่างครบถ้วน
ผมจึงเลือก วิธีการผ่าตัดแบบ ผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)
จากนั้นก็ถึงวันผ่าตัด ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 ชม. (ห้องผ่าตัดใหญ่ ที่โรงพยาบาลนะครับ)
หลังออกจากห้องผ่าตัด ยอมรับตามตรงว่าเจ็บสุดๆ แต่ก็แค่คืนแรก (อาจจะเพราะผมไม่เคยผ่าตัดอะไรเลยด้วย)
แผลประมาณนี้ครับ
แล้วพักฟื้นอีก 2 วัน โดยมี กายภาพหลังผ่าตัด ซึ่งผมฟื้นตัวได้ไว ปกติ อาจจะพักฟื้นถึง4 วัน
แล้วกลับบ้านได้ ครับ
รูปตอนพีคๆ นะครับ
ตอนนี้ ครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สรุปคือ 1 ปี
- น้ำหนัก ลดไป 60 กิโกกรัม
- เอวกางเกงจาก 44-45 ตอนนี้ 29-32
- สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ ชัด จากผลการตรวจเลือด 3 ครั้ง ที่ผ่านมา
- อาการเหนื่อยหอบลดลง
และที่แน่นอนที่สุด หน้าตาดีขึ้น ครับ (55555)
คิดว่า การรีวิว ครั้งนี้มีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การผ่าตัดของผม สอบถามได้ ทาง Facebook นะครับ
https://www.facebook.com/TRush.Supapitakpong
****แก้ไข เพิ่มรูปภาพ ครับ****
[CR] แชร์ประสบประการณ์ เด็กอ้วน กับการศัลยกรรม ครั้งแรก(จาก 140 กก เหลือ 80 กก ใน 1 ปี)
มันเกิดมาจาก ผมเป็นลูกคนเล็ก จึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างค่อนข้าง เอาใจ(เรื่องการกิน) ความทรงจำตอน อนุบาลที่จำได้ ก็คือ คุณแม่ชอบ ชมผมให้คนอื่นฟังประมาณว่า “เจมส์ เนี่ยเก่งนะ อยู่ รร. คุณครูบอกว่าขอเติมข้าวเองเป็นด้วย” เพราะอย่างนี้มันเลยทำให้ผมรู้สึก ว่า “หูยยย แค่นี้ก้เก่งแล้ว ขอเติมเรื่อยๆดีกว่า” ประกอบกับผมเป็นคน ง่ายๆ ไม่เรื่องมากโดยเฉพาะเรื่องกิน
นี้คือรูป ผมตอน เด็ก ครับ
แล้วหลังจากนั้น มันก็จะขึ้นมาเรื่อย ๆ จนช่วง ม.ต้น ผมน้ำหนัก ขึ้นไปกว่า 90+ กิโลกรัม
ภาพตอน ช่วงม.ต้น
จนที่บ้าน ให้ไปเข้าคลอส ของสถาบันลดน้ำหนักแห่งหนึ่ง ซึ่ง ก็ได้ผลอยู่นะครับ น้ำหนักผม ลดไปประมาณ 20 กิโล ในเวลา 3 เดือน และ ก็เริ่ม ตันไม่ลดอีก
นี้คือภาพที่ไปเข้าสถาบันลด น้ำหนักครับ
และหลังจากนั้น ผมได้ไป เรียนที่ ประเทศจีน ผมก็ปล่อยตัวตามสบาย และ อากาศหนาว ทำให้มีความสุขกับการกิน การดื่ม จน น้ำหนัก ขึ้นมาเรื่อยๆ แตะเลข 120++ อาจจะด้วยที่ยังเด็ก ก็ม่ได้คิดอะไร มาก ตอนนั้นเพิง อายุ 17 ปี และกิน - ดื่มต่อไป
สภาพตอนนั้น
พอผมกลับมาเมืองไทย ต้องเข้าเรียนต่อ มหาวิทยาลัย ผมจึงมีแรงฮึด อีกครั้ง เพราะคิดว่าอยากจะเริ่ม สังคมใหม่ๆ เจอเพื่อนใหม่ๆ อยากให้ สารร่าง ตัวเองดูดีนิดนึง จึงออกกำลังกายอย่างหนัก ทุกวัน เป็นเวลา 4 เดือน ครั้งนั้น น้ำหนักลดลงไป 28 กิโลกรัม จาก 132 เหลือ 104 กิโลกรัม
พอผมเข้าเรียนด้วยความขี้เกียจที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับเรียน ค่อนข้างหนักในเทอมแรกๆ และต้องมีการดื่มกินสังสรรค์ กันตามภาษาวัยรุ่น จึงทำให้ผมห่างการออกกำลังกายมา แล้ว น้ำหนัก มันก็กลับขึ้นมาเรื่อยๆ
ตอนผมรับปริญญา น้ำหนักตอนนั้น น่าจะสัก 135 กิโลกรัมได้
จากนั้น หลังจากเรียนจบ ผมรู้สึกว่ามีความผิดปกติ คือ
1. นอนหลับ อยู่ ๆก็ตื่นเพราะเสียงกรนตัวเอง(คิดดูสิว่าดังขนาดไหน)
2. การขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน รู้สึกลำบาก
3. เหนื่อยง่ายมาก
4. ร้อน และอึดอัด
ซึ่งตอนนั้นตรวจ ยังไม่เจอโรคอะไร สักอย่างนะครับ แต่ ที่บ้าน มี กรรมพันธุ์ เบาหวาน จึงทำให้ทุกคน เป็นห่วงกันมาก ทุกครั้งที่เจอ ยาติคนไหนก็จะพูดทำนองว่า
“ออกกำลังกาย หน่อยน้า”
“ลดน้ำหนักๆ อ้วนไปแล้ว”
ลองคิดดูสิ น้ำหนักกว่า140 กิโลกรัม ออกกำลังกายยังไง ไหว แค่เดินก็จะตายละ (สำหรับผม)
จน วันนึงผมเปิดเจอ ในเฟสบุ๊คของ คุณ พบรัก เรื่อง ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต เกี่ยวกับผ่าตัดลดกระเพาะอาหาร เพื่อลดน้ำหนักสำหรับคนที่มีน้ำหนัก เยอะมากๆ
พี่สาว ผมเลยแนะนำ รัตตินันท์ คลินิก ผมจึงลองไปปรึกษา ทางคุณหมอ ทางคุณหมอ ให้ข้อมูลดีมากครับ ไม่ว่าจะเรื่องรูปแบบ ขั้นตอน ระยะเวลา และมีข้อมูลอ้างอิงให้ดูอย่างครบถ้วน
ผมจึงเลือก วิธีการผ่าตัดแบบ ผ่าตัดกระเพาะแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy)
จากนั้นก็ถึงวันผ่าตัด ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 ชม. (ห้องผ่าตัดใหญ่ ที่โรงพยาบาลนะครับ)
หลังออกจากห้องผ่าตัด ยอมรับตามตรงว่าเจ็บสุดๆ แต่ก็แค่คืนแรก (อาจจะเพราะผมไม่เคยผ่าตัดอะไรเลยด้วย)
แผลประมาณนี้ครับ
แล้วพักฟื้นอีก 2 วัน โดยมี กายภาพหลังผ่าตัด ซึ่งผมฟื้นตัวได้ไว ปกติ อาจจะพักฟื้นถึง4 วัน
แล้วกลับบ้านได้ ครับ
รูปตอนพีคๆ นะครับ
ตอนนี้ ครับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- น้ำหนัก ลดไป 60 กิโกกรัม
- เอวกางเกงจาก 44-45 ตอนนี้ 29-32
- สุขภาพร่างกายดีขึ้นอย่างเห็นได้ ชัด จากผลการตรวจเลือด 3 ครั้ง ที่ผ่านมา
- อาการเหนื่อยหอบลดลง
และที่แน่นอนที่สุด หน้าตาดีขึ้น ครับ (55555)
คิดว่า การรีวิว ครั้งนี้มีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การผ่าตัดของผม สอบถามได้ ทาง Facebook นะครับ
https://www.facebook.com/TRush.Supapitakpong