สวัสดีครับ ผมชื่อ พบ นะครับ คนในรูปนี้คือตัวผมเอง ตอนนั้น นน.155 แหนะ
ผมเชื่อว่าทุกคนบนโลกไม่มีใครต้องการที่จะอยากอ้วน ไม่มีใครต้องการที่จะสุขภาพแย่ ไม่มีใครอยากเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ทุกคนล้วนอยากมีรูปร่างหน้าตาที่โอเค ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่อาจเป็นเพราะสุขภาพด้วยในส่วนหนึ่ง
ผมคนนึงแหละครับที่พยายามลดความอ้วนมาตั้งแต่เด็ก ทั้งกินยา อดอาหาร เข้าสถาบันลดน้ำหนัก และ ออกกำลังกาย แต่ถามว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลนะครับ แต่ไม่ถาวร ทุกอย่างอยู่ที่การมีวินัยซึ่งผมยอมรับตัวผมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ค่อยมีวินัยเท่าไหร่ สุดท้ายก็ท้อแล้วก็กลับมากืนแล้วก็อ้วนเหมือนเดิม
ดูท่ากินซะก่อน ตระกละ มาก ๆ เวลาโหยหิว
นี่แหนะ .... ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ
ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบกินอาหารหลายๆอย่าง ทำให้ทุกครั้งในการสั่งอาหารจะเยอะมากๆ และบวกกับเป็นคนขี้เสียดายเลยต้องกินให้หมด บอกเลยอันนี้แหละคือนิสัยที่เสียสุด ๆ ทำให้อ้วนขึ้นอย่างไว
นี่ไงตัวใหญ่ไหมหละ .... เดินไปที่ไหนคนจะมองแล้วเหลียวหลังแล้วนินทาตลอด ทำให้เสียความมั่นใจในการดำรงค์ชีวิตอย่างมาก อีกอย่างสุขภาพก็เริ่มแย่ลงตามกับน้ำหนักตัวที่มากขึ้น จะลุก จะนั่ง จะเดิน ทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด เริ่มนอนหงายไม่ได้เพราะอ้วนจนแน่นหน้าอก ต้องนอนคว่ำตลอดเวลาถึงจะนอนหลับ ณ ตอนนั้นเริ่มมีความคิดเข้ามาในหัวนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ ว่าอยากผอม แต่อีกใจก็เถียงตัวเองว่า ทำไม่ได้หรอกชีวิตนี้ก็คงอ้วนไปจนตาย และ เอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เพื่อน ๆ ทุกคนน่ารักมากพาเราไปออกกำลังกาย แต่ด้วยความที่อ้วนและเหนื่อยง่ายและขี้เกียจ ทำให้ออกกำลังกายแบบเหยาะแหยะ พอออกเสร็จแล้วก็แอบไปกิน ทำให้น้ำหนักไม่ค่อยลง
จึงไปแอบซื้อยาลดความอ้วนมากิน กินไปได้สักพักน้ำหนักก็เริ่มลง กินได้น้อย ลิ้นแห้ง ใจสั่น แต่ก็ฝืนกินนะครับ ผ่านไปเป็นปี นน. จาก155 ลงมา เหลือ 143 แล้วไม่ลงอีกเลย ซึ่งยังไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่
.................................
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยน
แม่สงสารในการดำรงค์ชีวิต และ กลัวจะเป็นโรคตอนแก่ คุณแม่เลยเป็นนายทุนให้ไปปรึกษาแพทย์เรื่องผ่าตัดเย็บกระเพาะซึ่งเป็นการลดน้ำหนักแบบถาวร
จึงตัดสินใจได้เดินเข้าไปหา นายแพทย์ สุทธจิต ลีนานนท์ ที่ รพ.พญาไท2 เพื่อปรึกษาเรื่องการผัดตัดเย็บกระเพาะ แต่กว่าจะได้ผ่าคุณหมอได้ให้เรากลับไปตัดสินใจเป็นเวลาหลายเดือนเพราะการผ่าตัดแบบนี้ไม่สามารถนำกระเพาะแบบเดิมกลับคืนมาได้ ซึ่งบางคนทำแล้วอาจเป็นโรคซึมเศร้า จิตรตก เลยก็เป็นได้ เพราะมันเป็นอะไรที่ทรมานมากในช่วงแรกๆ ตัวเรานั้นกลับไปตัดสินใจและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเป็นเวลา 3 เดือน จึงกลับเข้าไปพบคุณหมออีกรอบ และเลือกที่จะทำการผ่าตัดกระเพาะ แบบ GastricBypass คือแบบสุด ๆแล้วของการผ่ากระเพาะ แต่ก่อนการผ่าตัดนั้นจะต้องตรวจสุขภาพหลายอย่าง เชค สลีฟเทส เชคการหยุดหายใจระหว่างนอนเยอะแยะไปหมด เราก็เรียกไม่ถูกว่าเรียกว่าอะไรบ้าง
สำหรับคนอยากได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องผ่าตัดเย็บกระเพาะ
http://www.saintlouis.or.th/index.php/weight-loss-surgery
มาต่อกันเลยดีกว่า
ตอนเข้าทำสลีพเทส ..................
พอเช็คทุกอย่างเสร็จก็เริ่มนัดวันผ่า การผ่าตัดคือการผ่าตัดแบบแผลเล็กผ่าตัดแบบส่องกล้องทั้งหมด6จุด มีความเสี่ยงความอันตรายถ้าคนไข้ร่างกายไม่แข็งแรงพอ แต่โชคดีเราเป็นคนอ้วนที่ไม่มีโรคอะไรเลย
ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อนๆ มาให้กำลังใจด้วย
นี่คือรูปตอนก่อนเข้าห้องผ่าตัด ประมาณวันที่ 24-25 ก.พ 58 จำได้ว่าคุณหมอสั่งงดอาหารให้ดื่มยาถ่ายซึ่งรสชาติแย่มากๆ เพื่อล้างลำไส้ให้สะอาดก่อนผ่าตัด
นี่คือภาพหลังจากผ่าตัดเสร็จ น่ากลัวหน่อยนะครับ ใครไม่ชอบดูผ่านได้ครับ
อยู่ รพ. ทั้งหมด ราว ๆ 5-7 วัน ขอเล่านิดนึงช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัดคือเป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ ๆ ๆ คือห้ามกินอะไรเรย กินได้แต่น้ำ เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หลังจากนั้นก้อเปลี่ยนอาหารตามลำดับ ตามเสต็ปหมอ เราก็จำไม่ได้ว่าเสต็ปมันเป็นยังไง แต่ที่จำได้แม่นคือช่วงเริ่มเปลี่ยนเป็นทานอาหารอ่ะ คือกิน2คำอิ่ม 3คำอ้วก โคตรจะทรมาน ท้องไส้แปรปรวนไปหมด จนบางทีคิดอยากตาย เพราะกินอะไรไม่ได้ กินช่วงแรกก้อเจ็บท้อง โอ้ยยย สรุป ทรมาน แต่ปัจจุบันอ่ะหรอ กระเพาะขยายนิดนึงจ้า แต่กินก็ไม่ได้เยอะเท่าเดิมเหมือนตอนก่อนผ่านะ
อ่อหลายคนถามมาเรื่องค่าใช้จ่าย ที่ รพ.พญาไท2 ผ่าตัดแบบGastricBypass รวมยารวมห้อง ประมาณ 700,000 บาท แต่เราโดนไปเกือบ 800,000 บาท เพราะ ช่วงกลับมาบ้านอ้วกบ่อยจนกระเพาะปริ บวกกับ ติดเชื้อ ตอนนั้นเหมือนจะตาย อ้วกเป็นเลือด เลยเข้ามานอนรักษาที่ รพ. อีก ประมาณ 5วัน .............. แต่ปัจจุบันสุขภาพดีโอเคเลยไม่มีเอฟเฟคอะไรมากเหมือนช่วงแรก ๆแล้ว พวกอ้วกอะไรแบบนี้ นานๆๆจะมีสักครั้ง แต่ต้องกินวิตามินเสริมตลอด เพราะการผ่าตัดแบบนี้อาจทำให้คนไข้ขาดสารอาหารได้
มา ๆ ๆ ๆ มาดูรุปปัจจุบันกันดีกว่าครับ
แท่น แทน แท๊นนนนนน .....
ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่ามีความสุข มีความมั่นใจขึ้น ถึงไม่ได้ผอมมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ตัวตลกในสายตาคนอื่นอีกต่อไป
เวทมนต์หมอมีอยู่จิง
............................
ส่วนหลายคนถามว่าหน้าทำอะไรมาบ้าง
จมูกอันแรก เสริมจมูก หมอสุรเชาว์ สระบุรี ทำเมื่อ10ปีที่แล้ว
จมูกอันที่สอง เสริมจมูก+ไอเฟลทิป Amed สีลม แต่เบี้ยว
จมูกอันที่สาม เสริมจมูก+ไอเฟลทิป Amed สีลม (อันปัจจุบัน) ..... เหตุผลที่ทำที่เดิมนะ เพราะอยู่ในประกันคุณหมอน่ารักทำให้ใหม่ไม่คิดเงินสักบาท
ตัดไขมันกระพุ่งแก้ม ที่ Hers คลีนิค
ร้อยไหม+ฟิลเลอร์คาง AlifeClinic TU
ส่วนเรื่องโบท๊อค เมโสแฟต ที่ไหนมีโปรดีๆๆก็ไปหมด ค่อยๆ ทำไปวันละนิดหน่อยๆ
............................................
แพลนในอนาคตคิดว่าอาจะจะต้องตัดหนังส่วนเกินจากการลดน้ำหนักที่เหี่ยวๆออก ถ้าการออกกำลังกายมันไม่เห็นผล
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ มือใหม่หัดเขียนครับ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากติดตามความเปลี่ยนแปลงนะครับ
https://www.facebook.com/phobrak
และขอเป็นกำลังใจให้คนอ้วนที่อยากผอมทุกคน ครับ ถึงปัจจุบันผมจะไม่ได้หุ่นดีอะไรมากแต่ก็ขอเป็นกำลังใจอีกหนึ่งกำลังใจครับ
//// edit .
https://ppantip.com/topic/36729438 ภาคต่อ
[CR] ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต ! เวทมนต์หมอ ! จากคนอ้วน หนักถึง 155 กิโลกรัม เหลือ 79 ด้วยศัลยกรรม
ผมเชื่อว่าทุกคนบนโลกไม่มีใครต้องการที่จะอยากอ้วน ไม่มีใครต้องการที่จะสุขภาพแย่ ไม่มีใครอยากเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ทุกคนล้วนอยากมีรูปร่างหน้าตาที่โอเค ไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่อาจเป็นเพราะสุขภาพด้วยในส่วนหนึ่ง
ผมคนนึงแหละครับที่พยายามลดความอ้วนมาตั้งแต่เด็ก ทั้งกินยา อดอาหาร เข้าสถาบันลดน้ำหนัก และ ออกกำลังกาย แต่ถามว่าได้ผลไหม ก็ได้ผลนะครับ แต่ไม่ถาวร ทุกอย่างอยู่ที่การมีวินัยซึ่งผมยอมรับตัวผมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ค่อยมีวินัยเท่าไหร่ สุดท้ายก็ท้อแล้วก็กลับมากืนแล้วก็อ้วนเหมือนเดิม
ดูท่ากินซะก่อน ตระกละ มาก ๆ เวลาโหยหิว
นี่แหนะ .... ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ
ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบกินอาหารหลายๆอย่าง ทำให้ทุกครั้งในการสั่งอาหารจะเยอะมากๆ และบวกกับเป็นคนขี้เสียดายเลยต้องกินให้หมด บอกเลยอันนี้แหละคือนิสัยที่เสียสุด ๆ ทำให้อ้วนขึ้นอย่างไว
นี่ไงตัวใหญ่ไหมหละ .... เดินไปที่ไหนคนจะมองแล้วเหลียวหลังแล้วนินทาตลอด ทำให้เสียความมั่นใจในการดำรงค์ชีวิตอย่างมาก อีกอย่างสุขภาพก็เริ่มแย่ลงตามกับน้ำหนักตัวที่มากขึ้น จะลุก จะนั่ง จะเดิน ทำอะไรก็เหนื่อยไปหมด เริ่มนอนหงายไม่ได้เพราะอ้วนจนแน่นหน้าอก ต้องนอนคว่ำตลอดเวลาถึงจะนอนหลับ ณ ตอนนั้นเริ่มมีความคิดเข้ามาในหัวนิดเดียว นิดเดียวจริง ๆ ว่าอยากผอม แต่อีกใจก็เถียงตัวเองว่า ทำไม่ได้หรอกชีวิตนี้ก็คงอ้วนไปจนตาย และ เอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง เพื่อน ๆ ทุกคนน่ารักมากพาเราไปออกกำลังกาย แต่ด้วยความที่อ้วนและเหนื่อยง่ายและขี้เกียจ ทำให้ออกกำลังกายแบบเหยาะแหยะ พอออกเสร็จแล้วก็แอบไปกิน ทำให้น้ำหนักไม่ค่อยลง
จึงไปแอบซื้อยาลดความอ้วนมากิน กินไปได้สักพักน้ำหนักก็เริ่มลง กินได้น้อย ลิ้นแห้ง ใจสั่น แต่ก็ฝืนกินนะครับ ผ่านไปเป็นปี นน. จาก155 ลงมา เหลือ 143 แล้วไม่ลงอีกเลย ซึ่งยังไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่
.................................
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยน
แม่สงสารในการดำรงค์ชีวิต และ กลัวจะเป็นโรคตอนแก่ คุณแม่เลยเป็นนายทุนให้ไปปรึกษาแพทย์เรื่องผ่าตัดเย็บกระเพาะซึ่งเป็นการลดน้ำหนักแบบถาวร
จึงตัดสินใจได้เดินเข้าไปหา นายแพทย์ สุทธจิต ลีนานนท์ ที่ รพ.พญาไท2 เพื่อปรึกษาเรื่องการผัดตัดเย็บกระเพาะ แต่กว่าจะได้ผ่าคุณหมอได้ให้เรากลับไปตัดสินใจเป็นเวลาหลายเดือนเพราะการผ่าตัดแบบนี้ไม่สามารถนำกระเพาะแบบเดิมกลับคืนมาได้ ซึ่งบางคนทำแล้วอาจเป็นโรคซึมเศร้า จิตรตก เลยก็เป็นได้ เพราะมันเป็นอะไรที่ทรมานมากในช่วงแรกๆ ตัวเรานั้นกลับไปตัดสินใจและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเป็นเวลา 3 เดือน จึงกลับเข้าไปพบคุณหมออีกรอบ และเลือกที่จะทำการผ่าตัดกระเพาะ แบบ GastricBypass คือแบบสุด ๆแล้วของการผ่ากระเพาะ แต่ก่อนการผ่าตัดนั้นจะต้องตรวจสุขภาพหลายอย่าง เชค สลีฟเทส เชคการหยุดหายใจระหว่างนอนเยอะแยะไปหมด เราก็เรียกไม่ถูกว่าเรียกว่าอะไรบ้าง
สำหรับคนอยากได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องผ่าตัดเย็บกระเพาะ
http://www.saintlouis.or.th/index.php/weight-loss-surgery
มาต่อกันเลยดีกว่า
ตอนเข้าทำสลีพเทส ..................
พอเช็คทุกอย่างเสร็จก็เริ่มนัดวันผ่า การผ่าตัดคือการผ่าตัดแบบแผลเล็กผ่าตัดแบบส่องกล้องทั้งหมด6จุด มีความเสี่ยงความอันตรายถ้าคนไข้ร่างกายไม่แข็งแรงพอ แต่โชคดีเราเป็นคนอ้วนที่ไม่มีโรคอะไรเลย
ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเพื่อนๆ มาให้กำลังใจด้วย
นี่คือรูปตอนก่อนเข้าห้องผ่าตัด ประมาณวันที่ 24-25 ก.พ 58 จำได้ว่าคุณหมอสั่งงดอาหารให้ดื่มยาถ่ายซึ่งรสชาติแย่มากๆ เพื่อล้างลำไส้ให้สะอาดก่อนผ่าตัด
นี่คือภาพหลังจากผ่าตัดเสร็จ น่ากลัวหน่อยนะครับ ใครไม่ชอบดูผ่านได้ครับ
อยู่ รพ. ทั้งหมด ราว ๆ 5-7 วัน ขอเล่านิดนึงช่วงอาทิตย์แรกหลังผ่าตัดคือเป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ ๆ ๆ คือห้ามกินอะไรเรย กินได้แต่น้ำ เป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หลังจากนั้นก้อเปลี่ยนอาหารตามลำดับ ตามเสต็ปหมอ เราก็จำไม่ได้ว่าเสต็ปมันเป็นยังไง แต่ที่จำได้แม่นคือช่วงเริ่มเปลี่ยนเป็นทานอาหารอ่ะ คือกิน2คำอิ่ม 3คำอ้วก โคตรจะทรมาน ท้องไส้แปรปรวนไปหมด จนบางทีคิดอยากตาย เพราะกินอะไรไม่ได้ กินช่วงแรกก้อเจ็บท้อง โอ้ยยย สรุป ทรมาน แต่ปัจจุบันอ่ะหรอ กระเพาะขยายนิดนึงจ้า แต่กินก็ไม่ได้เยอะเท่าเดิมเหมือนตอนก่อนผ่านะ
อ่อหลายคนถามมาเรื่องค่าใช้จ่าย ที่ รพ.พญาไท2 ผ่าตัดแบบGastricBypass รวมยารวมห้อง ประมาณ 700,000 บาท แต่เราโดนไปเกือบ 800,000 บาท เพราะ ช่วงกลับมาบ้านอ้วกบ่อยจนกระเพาะปริ บวกกับ ติดเชื้อ ตอนนั้นเหมือนจะตาย อ้วกเป็นเลือด เลยเข้ามานอนรักษาที่ รพ. อีก ประมาณ 5วัน .............. แต่ปัจจุบันสุขภาพดีโอเคเลยไม่มีเอฟเฟคอะไรมากเหมือนช่วงแรก ๆแล้ว พวกอ้วกอะไรแบบนี้ นานๆๆจะมีสักครั้ง แต่ต้องกินวิตามินเสริมตลอด เพราะการผ่าตัดแบบนี้อาจทำให้คนไข้ขาดสารอาหารได้
มา ๆ ๆ ๆ มาดูรุปปัจจุบันกันดีกว่าครับ
แท่น แทน แท๊นนนนนน .....
ทุกวันนี้พูดได้เต็มปากว่ามีความสุข มีความมั่นใจขึ้น ถึงไม่ได้ผอมมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ตัวตลกในสายตาคนอื่นอีกต่อไป
เวทมนต์หมอมีอยู่จิง
............................
ส่วนหลายคนถามว่าหน้าทำอะไรมาบ้าง
จมูกอันแรก เสริมจมูก หมอสุรเชาว์ สระบุรี ทำเมื่อ10ปีที่แล้ว
จมูกอันที่สอง เสริมจมูก+ไอเฟลทิป Amed สีลม แต่เบี้ยว
จมูกอันที่สาม เสริมจมูก+ไอเฟลทิป Amed สีลม (อันปัจจุบัน) ..... เหตุผลที่ทำที่เดิมนะ เพราะอยู่ในประกันคุณหมอน่ารักทำให้ใหม่ไม่คิดเงินสักบาท
ตัดไขมันกระพุ่งแก้ม ที่ Hers คลีนิค
ร้อยไหม+ฟิลเลอร์คาง AlifeClinic TU
ส่วนเรื่องโบท๊อค เมโสแฟต ที่ไหนมีโปรดีๆๆก็ไปหมด ค่อยๆ ทำไปวันละนิดหน่อยๆ
............................................
แพลนในอนาคตคิดว่าอาจะจะต้องตัดหนังส่วนเกินจากการลดน้ำหนักที่เหี่ยวๆออก ถ้าการออกกำลังกายมันไม่เห็นผล
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ
หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ มือใหม่หัดเขียนครับ
สำหรับเพื่อนๆที่อยากติดตามความเปลี่ยนแปลงนะครับ https://www.facebook.com/phobrak
และขอเป็นกำลังใจให้คนอ้วนที่อยากผอมทุกคน ครับ ถึงปัจจุบันผมจะไม่ได้หุ่นดีอะไรมากแต่ก็ขอเป็นกำลังใจอีกหนึ่งกำลังใจครับ
//// edit . https://ppantip.com/topic/36729438 ภาคต่อ