สาวกทั้งหลายแต่งเติมนรก สวรรค์ ความเชื่อว่าวิบากกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำเมื่อชาติก่อน (สมาชิก 3853565)

กระทู้คำถาม
https://ppantip.com/topic/36807220     
สมาชิก 3853565
        พระพุทธเจ้าไม่เคยพูดถึงชาติที่แล้ว และชาติหน้าเลยใช่หรือไม่? พระองค์ไม่ทรงพูดแม้แต่นิดเดียวว่ามีชาติก่อนที่จะเป็นเราหรือชาติภพหลังีจากเราตายไปแล้ว ต่อให้คนที่ไปถามท่านจะดิ้นตายต่อหน้าท่านก็ไม่พูด ด้วยว่าธรรมะของท่านอธิบายถึงธรรมชาติของมนุษย์และโลกนี้ที่ต้องใช้ปัญญาในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ความกลัว แต่สาวกทั้งหลายแต่งเติมนรก สวรรค์ ความเชื่อว่าวิบากกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำเมื่อชาติก่อน
นี่คือสิ่งที่สาวกใส่ความกลัวเข้าไปเพื่อให้คนทั้งหลายอยู่ในศีลธรรม หรือแย่งชิงประชาชนจากศาสนาเก่าที่มีอยู่มาก่อน แต่ผิดหลักการของพระองค์อย่างยิ่ง
จริงแล้วการเกิดและดับไปของชาติภพ (มนุษย์ เทวดา เปรต เดรัจฉาน) นี่คืออารมณ์ที่เกิดจากตัวเราที่เป็นศูนย์กลางเหมือนดุมเกวียนที่ขับเคลื่อนล้อของชาติภพเหล่านั้นให้หมุนเวียนเกิดดับ และแกนเพลาคือความกลัว ความกลัวที่เกิดขึ้นจากการมีตัวตนของเราและส่งแรงผลักให้กงล้อชาติภพหมุนไป
ดังนั้นการที่พระองค์พูดเสมอว่าเราไม่เกิดชาติภพอีกแล้ว คือการเอาชนะความกลัวที่เกิดมาพร้อมกับความมีตัวเรา เมื่อตัวุเราหายไปก็ไม่เกิดชาติภพขึ้นอีก
สรุปคือชาตินี้ ชาติหน้า หรือวิบากกรรมแต่ชาติปางก่อน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน สาวกไปแต่งเติมกันเอาเอง


พี่ท่านมั่วได้ใจ  เห็นผิดแล้วยังแสดงมิจฉาสังกัปปะ  มิจฉาวาจาเพื่อให้คนอื่นเห็นตาม  พร้อมมีสาวกเห็นตามสนับสนุนอีกเพียบ  หากเจริญในมรรคก็ยากจะเจริญในมรรค รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดโกหก เพราะเห็นผิด  อย่าหลงว่าตนมีศีลเชียว  ผมอยากให้ท่านศึกษาในพระไตรปิฎกให้ละเอียด เจนจบจริงๆแล้ว ลองไปนับ รวบรวมว่าเรื่องภพชาติ กฎแห่งกรรรมมีอยู่ในพระไตรปิฎกกี่พระสูตร  หากจะแย้งว่าคำสอนเหล่านั้นถูกสอดไส้โดยพราหมณ์ก็แย้งมา  หาหลักฐานมา  อย่างอ้างลอย ๆ ซึ่งมันไม่ใช่วิถีของผู้ศึกษา  ทิฏฐิแบบท่านไม่ต่างอชิตะ เกสกัมพล  

๒. สามัญญผลสูตร
-----------------------------------------------------

ดูกรมหาบพิตร ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดี
ทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์
ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่น
ให้รู้แจ้ง ไม่มีในโลก คนเรานี้ เป็นแต่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดินไปตามธาตุดิน
ธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอย
ไปในอากาศ คนทั้งหลายมีเตียงเป็นที่ ๕ จะหามเขาไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็น
กระดูกมีสีดุจสีนกพิราบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้ คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวก
พูดว่า มีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย ทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญ
พินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายย่อมไม่เกิด

๗. มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
         [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี
บิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติ
ชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่