ผมชื่อ “หม่ำ” ครับ
ทำงานอยู่ที่ธนาซิตี้ แผนกบัญชี วันนี้ผมอยากมาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวของผม เรื่องราวของคนอ้วนๆ คนหนึ่งที่ชีวิตสุขสันต์เพราะได้กิน แล้ววันนึงก็ต้องมาปรับตัวเพราะโอกาสที่ที่ทำงานผมมอบให้
งานของผม ก็ไม่ต่างจากงานออฟฟิตทั่วไป ทุกวันจ้องแต่หน้าคอม วันละ 7-8 ชม กว่าจะได้ลุกออกไปทำอะไร ก็ดูจะมีแค่ไปเดินเอกสารกับไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น ความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่ผมทำได้ระหว่างนั่งติดแหงกอยู่ที่โต๊ะทำงานคือของกินจุบจิบ อันจะโทษว่าเครียดกับตัวเลข ก็คงไม่ยากที่จะเข้าใจนัก
ของกิน ที่บางทีก็เลยเลเวลความ "จุบจิบ" มาหลายขุม ดูจะมีให้เห็นกันทุกโต๊ะ ผมเลยมองว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็ทำกัน ใครๆก็กิน ผมกิน พี่โต๊ะข้างๆก็กิน ชวนกันกินครับ ชวนไปชวนมา กินไปกินมา มารู้ตัวอีกที น้ำหนักพุ่งทะลุเลยร้อยโลไปแล้วครับ
ยิ่งกิน ก็ยิ่งอ้วนครับ แต่หม่ำ... ไม่แคร์ หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ดีงามจะตาย แคร์ไปใย
พี่ๆ เพื่อนๆ ก็เตือนผมครับ ว่าเดี๋ยวจะเอาไม่ลง เดี๋ยวจะไม่สบาย จะลำบาก ก็..... ยังไม่แคร์อ่ะครับ แต่รำคาญ ปากก็ได้แต่บอก เออๆ ไป ตัดรำคาญครับ
อยู่มาวันนึง ผมกำลังจะขึ้นมอร์ไซต์ไปทำงาน พี่วินตะโกนดังลั่น "โว้ยยยย ร้อยโลยังเนี่ย มอร์ไซต์พี่ โช๊คจะเจ๊งมั้ยเนี่ย" ผมได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป แต่ในใจลึกๆแล้ว เสียใจครับ เสียใจอิ๊บอ๋ายครับ เสียใจว่า เราปล่อยให้ตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ยังไง หนักกว่าร้อยโล คำแซวพื้นๆ ก็ทำผมซึมไปหลายวันเลยทีเดียว ผมเบื่อกระจก เบื่อการเลือกเสื้อผ้ามาใส่ เบื่อการมองตัวเอง
แล้วจู่ๆ ที่ทำงานผม ก็ผุดไอเดียขึ้นมาตัวนึง
ธนาซิตี้ เปิดรับพนักงานที่ต้องการจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตัวเอง เพื่อเข้าโครงการ 21 วัน ร่างใหม่ โดยการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย ซึ่งให้เล่นฟิตเนสได้ฟรีเป็นเวลา 21 วัน มีเทรนเนอร์คอยให้คำปรึกษาทุกครั้งที่เข้ามาเล่นโดยไม่เสียเงินสักบาท
เสียงในหัวผม ร้อง "เฮ้ยๆๆๆ" เป็นเสียงดังถี่ๆ นี่ผมคงบ้าไปแล้ว ที่อยู่ดีๆ คำว่า "มีสุขภาพดี" ทำผมตื่นเต้นได้มากมายขนาดนี้ เสียง "เฮ้ย" ที่ดังที่สุด คงเป็นตอนที่ผมคิดได้ว่า ผมจะผอมไปอวดอีพี่วินนั่นให้ดู
สมัครสิครับ!! รออัลไล!!!
เริ่มต้นเป็นคนใหม่....................
หลังจากที่ได้นัดแนะกับทางเทรนเนอร์ ก่อนเริ่ม 21 วัน เทรนเนอร์ได้นัดผมและผู้ร่วมโครงการอีก 2 คน มาทำการวัดน้ำหนัก ส่วนสูง มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน และเริ่ม fittest เพื่อบันทึกว่า ก่อนออกกำลังกายทุกคนจะทำการทดสอบว่าได้ fittest แต่ละสถานีเท่าไหร่แล้วเก็บข้อมูลนำมาเทียบหลังจากจบโปรแกรม 21 วัน
แค่วิทพื้น กับซิทอัพไม่เท่าไหร่ ผมก็หอบแล้วครับ ยิ่งมาปั่นจักรยานสลับช้าเร็ว เดินบนลู่วิ่งอีก สลับวิ่งสั้นๆ แค่นี้เราก็รู้สึกแย่แล้วครับ จนต้องขอเทรนเนอร์พัก เพราะวืด
ใจมันสั่นแรงมากครับ ผมว่าผมคงไม่ไหว แต่เทรนเนอร์ให้กำลังใจผม ว่า “อย่าพึ่งท้อยังไม่ทันเริ่มเลย ขอให้อดทน วันแรกๆ ก็เหนื่อยแบบนี้แหละครับ” และเพื่อนอีกสองคนที่มาร่วมโครงการก็ให้กำลังใจผมด้วย พี่เล็กอาวุโสสุดมาร่วมโครงการเพราะป่วยเป็นโรคความดัน ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย เลยจะเริ่มดูแลตัวเอง ส่วนอีกคนชื่อพี่กวาง แกเป็นโปรกอล์ฟ อยากหุ่นดี เพราะเป็นหน้าเป็นตาแก่ลูกศิษย์ที่จะมาเรียนกอล์ฟ ทั้งสองเลยมาสมัครโครงการ พี่เล็ก พี่กวางเหนื่อยไม่ต่างกัน แต่เพราะใจสู้ของทั้งสองที่ไม่ยอมแพ้ พอได้พูดคุยมันก็ทำให้เราสบายใจครับ...
หลังจากผ่าน fittest ก็เข้าช่วงกิจกรรม 21 วันร่างใหม่
อาทิตย์แรกของการออกกำลังกาย จะเป็นตารางการออกกำลังกายเบาๆ พร้อมกับแนะนำอาหารสำหรับผู้ร่วมกิจกรรมให้เน้นอาหารคลีน และลดแป้งลง ลดขนมของกินจุกจิก ข้าวเหนียวหมูปิ้งของโปรดนี่ ลาจากเลยครับ กลายมาเป็นทานน้ำพริก ไข่ต้มแทน
ตอนพี่ๆบอกให้เลือกทานสุกี้ ผมงี้โดดเลยครับ ชาบูที่ร๊าาาากกกกกก ยังไม่สิ้นสุดเสียงให้กับชาบู พี่ๆ ตีมือแล้วอธิบายว่า สุกี้ที่ผมควรกินคืออะไร (-_-!)
ด้วยสรีระร่างกายของที่ใหญ่และน้ำหนักเยอะ เทรนเนอร์เลยวางโปรแกรมให้ผมเน้นคาร์ดิโอ ยังไม่เน้นเวท ในช่วงสามสี่วันแรกจะเป็นการออกกำลังกายเบาๆ เช่นวิ่งเยาะๆ สลับเดิน ต่อด้วยปั่นจักรยานช้าสลับเร็ว มีท่าสคอช ใช้บอลช่วยทรงตัวประกอบ เห็นแบบนี้ง่าย จริงๆ ไม่ง่ายเลยครับ เพียงไม่กี่เซตก็รู้ได้ถึงความเหนื่อย เพราะน้ำหนักตัวของผมเอง รู้ได้ถึงความยาก แน่นอนครับระบมไปทั้งตัว
“อาทิตย์ที่สอง ร่างกายเริ่มปรับตัว”
ความเหนื่อยค่อยๆ ลดลง อาการปวดระบมก็ค่อยๆ ทุเลาลง ที่นี้ก็เพิ่มเซตในการเล่น และน้ำหนักแมชชีนก็เพิ่มตามด้วย ตอนสัปดาห์แรกแค่เดินผมยังเหนื่อย เข้าสัปดาห์ที่สอง ผมสามารถวิ่งเยาะๆ บนลู่วิ่งได้นานขึ้น ปั่นจักรยานได้นานขึ้น และเริ่มมีกำลังใจที่จะออกกำลังกายมากขึ้น ความเหนื่อยนั้นมี แต่ความท้อนั้นหมดไป
"ปิดโครงการ"
ตั้งแต่เล่นมาจนถึงสัปดาห์ที่สาม ผมก็สามารถออกกำลังกายได้หนักขึ้นและยากขึ้น เพราะร่างกายปรับตัวได้แล้ว แต่ถึงตอนนี้น้ำหนักก็ลดลงไป 7 กิโลถ้วน
ความคิดผมเปลี่ยนไป ผมมีมุมมองต่อการดูเเลสุขภาพเปลี่ยนไป ผมมีความสุขที่ได้ออกกำลังกายไม่ต่างจากที่ผมได้กินขนมบนโต๊ะทำงาน และคำพูดลบของคนอื่นๆ ที่เคยพูดว่าผม เป็นเรื่องแย่ก็จริง แต่เป็นแรงผลักดันให้เราตัดสินใจมาออกกำลังกาย”
ผมกับข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ยังเจอกันบ้าง เป็นครั้งคราว หลังจากที่จบโครงการ 21 วันแล้ว เพราะตอนนี้ ผมกับอาหารคลีน สนิทกันมากขึ้น เจอกันมากขึ้นครับ ^^
สุดท้ายนี้กระทู้ผมอาจไม่สามารถแนะนำเทคนิคการออกกำลังกาย หรือคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในด้านเทคนิคแก่ ใครได้เลย ที่ผมมาเขียนกระทู้เพราะหวังว่า หลังจากเพื่อนๆ ได้อ่านกระทู้นี้จนจบแล้ว มันจะเป็นแรงบัลดาลใจเล็กๆ ให้กับคนที่กลัวการออกกำลังกายแบบผม ทลายกำแพงและกล้าที่จะเผชิญหน้ามัน...การออกมารักตัวเองไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิดครับ
ใครที่เป็นแบบผมและยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มยังไง หลังไมค์มาสอบถามได้นะครับ
[SR] [SR] “ที่ทำงาน ส่งผมไปลดน้ำหนัก”
ทำงานอยู่ที่ธนาซิตี้ แผนกบัญชี วันนี้ผมอยากมาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวของผม เรื่องราวของคนอ้วนๆ คนหนึ่งที่ชีวิตสุขสันต์เพราะได้กิน แล้ววันนึงก็ต้องมาปรับตัวเพราะโอกาสที่ที่ทำงานผมมอบให้
งานของผม ก็ไม่ต่างจากงานออฟฟิตทั่วไป ทุกวันจ้องแต่หน้าคอม วันละ 7-8 ชม กว่าจะได้ลุกออกไปทำอะไร ก็ดูจะมีแค่ไปเดินเอกสารกับไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น ความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่ผมทำได้ระหว่างนั่งติดแหงกอยู่ที่โต๊ะทำงานคือของกินจุบจิบ อันจะโทษว่าเครียดกับตัวเลข ก็คงไม่ยากที่จะเข้าใจนัก
ของกิน ที่บางทีก็เลยเลเวลความ "จุบจิบ" มาหลายขุม ดูจะมีให้เห็นกันทุกโต๊ะ ผมเลยมองว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็ทำกัน ใครๆก็กิน ผมกิน พี่โต๊ะข้างๆก็กิน ชวนกันกินครับ ชวนไปชวนมา กินไปกินมา มารู้ตัวอีกที น้ำหนักพุ่งทะลุเลยร้อยโลไปแล้วครับ
ยิ่งกิน ก็ยิ่งอ้วนครับ แต่หม่ำ... ไม่แคร์ หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ดีงามจะตาย แคร์ไปใย
พี่ๆ เพื่อนๆ ก็เตือนผมครับ ว่าเดี๋ยวจะเอาไม่ลง เดี๋ยวจะไม่สบาย จะลำบาก ก็..... ยังไม่แคร์อ่ะครับ แต่รำคาญ ปากก็ได้แต่บอก เออๆ ไป ตัดรำคาญครับ
อยู่มาวันนึง ผมกำลังจะขึ้นมอร์ไซต์ไปทำงาน พี่วินตะโกนดังลั่น "โว้ยยยย ร้อยโลยังเนี่ย มอร์ไซต์พี่ โช๊คจะเจ๊งมั้ยเนี่ย" ผมได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป แต่ในใจลึกๆแล้ว เสียใจครับ เสียใจอิ๊บอ๋ายครับ เสียใจว่า เราปล่อยให้ตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ยังไง หนักกว่าร้อยโล คำแซวพื้นๆ ก็ทำผมซึมไปหลายวันเลยทีเดียว ผมเบื่อกระจก เบื่อการเลือกเสื้อผ้ามาใส่ เบื่อการมองตัวเอง
แล้วจู่ๆ ที่ทำงานผม ก็ผุดไอเดียขึ้นมาตัวนึง
ธนาซิตี้ เปิดรับพนักงานที่ต้องการจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตัวเอง เพื่อเข้าโครงการ 21 วัน ร่างใหม่ โดยการดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกาย ซึ่งให้เล่นฟิตเนสได้ฟรีเป็นเวลา 21 วัน มีเทรนเนอร์คอยให้คำปรึกษาทุกครั้งที่เข้ามาเล่นโดยไม่เสียเงินสักบาท
เสียงในหัวผม ร้อง "เฮ้ยๆๆๆ" เป็นเสียงดังถี่ๆ นี่ผมคงบ้าไปแล้ว ที่อยู่ดีๆ คำว่า "มีสุขภาพดี" ทำผมตื่นเต้นได้มากมายขนาดนี้ เสียง "เฮ้ย" ที่ดังที่สุด คงเป็นตอนที่ผมคิดได้ว่า ผมจะผอมไปอวดอีพี่วินนั่นให้ดู
สมัครสิครับ!! รออัลไล!!!
เริ่มต้นเป็นคนใหม่....................
หลังจากที่ได้นัดแนะกับทางเทรนเนอร์ ก่อนเริ่ม 21 วัน เทรนเนอร์ได้นัดผมและผู้ร่วมโครงการอีก 2 คน มาทำการวัดน้ำหนัก ส่วนสูง มวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน และเริ่ม fittest เพื่อบันทึกว่า ก่อนออกกำลังกายทุกคนจะทำการทดสอบว่าได้ fittest แต่ละสถานีเท่าไหร่แล้วเก็บข้อมูลนำมาเทียบหลังจากจบโปรแกรม 21 วัน
แค่วิทพื้น กับซิทอัพไม่เท่าไหร่ ผมก็หอบแล้วครับ ยิ่งมาปั่นจักรยานสลับช้าเร็ว เดินบนลู่วิ่งอีก สลับวิ่งสั้นๆ แค่นี้เราก็รู้สึกแย่แล้วครับ จนต้องขอเทรนเนอร์พัก เพราะวืด
ใจมันสั่นแรงมากครับ ผมว่าผมคงไม่ไหว แต่เทรนเนอร์ให้กำลังใจผม ว่า “อย่าพึ่งท้อยังไม่ทันเริ่มเลย ขอให้อดทน วันแรกๆ ก็เหนื่อยแบบนี้แหละครับ” และเพื่อนอีกสองคนที่มาร่วมโครงการก็ให้กำลังใจผมด้วย พี่เล็กอาวุโสสุดมาร่วมโครงการเพราะป่วยเป็นโรคความดัน ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย เลยจะเริ่มดูแลตัวเอง ส่วนอีกคนชื่อพี่กวาง แกเป็นโปรกอล์ฟ อยากหุ่นดี เพราะเป็นหน้าเป็นตาแก่ลูกศิษย์ที่จะมาเรียนกอล์ฟ ทั้งสองเลยมาสมัครโครงการ พี่เล็ก พี่กวางเหนื่อยไม่ต่างกัน แต่เพราะใจสู้ของทั้งสองที่ไม่ยอมแพ้ พอได้พูดคุยมันก็ทำให้เราสบายใจครับ...
หลังจากผ่าน fittest ก็เข้าช่วงกิจกรรม 21 วันร่างใหม่
อาทิตย์แรกของการออกกำลังกาย จะเป็นตารางการออกกำลังกายเบาๆ พร้อมกับแนะนำอาหารสำหรับผู้ร่วมกิจกรรมให้เน้นอาหารคลีน และลดแป้งลง ลดขนมของกินจุกจิก ข้าวเหนียวหมูปิ้งของโปรดนี่ ลาจากเลยครับ กลายมาเป็นทานน้ำพริก ไข่ต้มแทน
ตอนพี่ๆบอกให้เลือกทานสุกี้ ผมงี้โดดเลยครับ ชาบูที่ร๊าาาากกกกกก ยังไม่สิ้นสุดเสียงให้กับชาบู พี่ๆ ตีมือแล้วอธิบายว่า สุกี้ที่ผมควรกินคืออะไร (-_-!)
ด้วยสรีระร่างกายของที่ใหญ่และน้ำหนักเยอะ เทรนเนอร์เลยวางโปรแกรมให้ผมเน้นคาร์ดิโอ ยังไม่เน้นเวท ในช่วงสามสี่วันแรกจะเป็นการออกกำลังกายเบาๆ เช่นวิ่งเยาะๆ สลับเดิน ต่อด้วยปั่นจักรยานช้าสลับเร็ว มีท่าสคอช ใช้บอลช่วยทรงตัวประกอบ เห็นแบบนี้ง่าย จริงๆ ไม่ง่ายเลยครับ เพียงไม่กี่เซตก็รู้ได้ถึงความเหนื่อย เพราะน้ำหนักตัวของผมเอง รู้ได้ถึงความยาก แน่นอนครับระบมไปทั้งตัว
“อาทิตย์ที่สอง ร่างกายเริ่มปรับตัว”
ความเหนื่อยค่อยๆ ลดลง อาการปวดระบมก็ค่อยๆ ทุเลาลง ที่นี้ก็เพิ่มเซตในการเล่น และน้ำหนักแมชชีนก็เพิ่มตามด้วย ตอนสัปดาห์แรกแค่เดินผมยังเหนื่อย เข้าสัปดาห์ที่สอง ผมสามารถวิ่งเยาะๆ บนลู่วิ่งได้นานขึ้น ปั่นจักรยานได้นานขึ้น และเริ่มมีกำลังใจที่จะออกกำลังกายมากขึ้น ความเหนื่อยนั้นมี แต่ความท้อนั้นหมดไป
"ปิดโครงการ"
ตั้งแต่เล่นมาจนถึงสัปดาห์ที่สาม ผมก็สามารถออกกำลังกายได้หนักขึ้นและยากขึ้น เพราะร่างกายปรับตัวได้แล้ว แต่ถึงตอนนี้น้ำหนักก็ลดลงไป 7 กิโลถ้วน
ความคิดผมเปลี่ยนไป ผมมีมุมมองต่อการดูเเลสุขภาพเปลี่ยนไป ผมมีความสุขที่ได้ออกกำลังกายไม่ต่างจากที่ผมได้กินขนมบนโต๊ะทำงาน และคำพูดลบของคนอื่นๆ ที่เคยพูดว่าผม เป็นเรื่องแย่ก็จริง แต่เป็นแรงผลักดันให้เราตัดสินใจมาออกกำลังกาย”
ผมกับข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ยังเจอกันบ้าง เป็นครั้งคราว หลังจากที่จบโครงการ 21 วันแล้ว เพราะตอนนี้ ผมกับอาหารคลีน สนิทกันมากขึ้น เจอกันมากขึ้นครับ ^^
สุดท้ายนี้กระทู้ผมอาจไม่สามารถแนะนำเทคนิคการออกกำลังกาย หรือคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในด้านเทคนิคแก่ ใครได้เลย ที่ผมมาเขียนกระทู้เพราะหวังว่า หลังจากเพื่อนๆ ได้อ่านกระทู้นี้จนจบแล้ว มันจะเป็นแรงบัลดาลใจเล็กๆ ให้กับคนที่กลัวการออกกำลังกายแบบผม ทลายกำแพงและกล้าที่จะเผชิญหน้ามัน...การออกมารักตัวเองไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิดครับ
ใครที่เป็นแบบผมและยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มยังไง หลังไมค์มาสอบถามได้นะครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น