สวัสดีค่ะ วันนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นมาแบ่งปัน เป็นเรื่องราวที่เจ้าของกระทู้นี้ได้ประสบกับตัวเอง ในส่วน จขกท. ส่วนมากชอบอ่านห้องศุภชลาศัยเป็นส่วนใหญ่ นี่เป็นกระทู้แรกที่เกี่ยวกับเรื่องแปลกๆเคยได้แต่อ่านของคนอื่นมาบ้าง แต่วันนี้อยากจะแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองบ้าง หากไปขัดต่อความคิด ความเชื่อ หรือทัศนคติ หลักวิทยาศาสตร์ของใคร ก็ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงเพราะตัว จขกท. เองก็ไม่ได้หาคำตอบต่อจากนั้น และขอไม่พูดจาเสียดสีต่อว่ากันนะ ต่อไปนี้ขอแทนตัวเองว่าเรานะคะ ขอยืม Log in ลูกพี่ลูกน้องมาค่ะของตัวเองตั้งได้แต่กระทู้คำถามกำลังรอยืนยันบัตร ปชช. T_T
** ปกติจะได้ยินเรื่องลี้ลับจากมหาลัยนี้มาบ้างแต่ส่วนมากมาจากอีกศูนย์ซึ่งอยู่แถวๆรังสิต เรื่องนี้ประมาณต้นปี2560นี้เอง
ตัวเราตอนนี้ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งที่ค่าเทอมแพงลิบลิ่ว(สำหรับคนฐานะปานกลางแบบเรา เราว่ามันแพง) ในย่านฝั่งพระนครติดแม่น้ำเจ้าพระยา วันไหนมีเรียนจะเอารถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้าย่านปิ่นเกล้เพราะจอดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และใช้เส้นทางนั้นกลับบ้านอยู่แล้ว วันนั้นก็เป็นวันธรรมดาทั่วไปที่เรามีเรียนทั้งวัน เนื่องด้วยเป็นวันที่เรามีพรีเซนต์งานเป็นกลุ่มแรกๆเลยรีบมาเตรียมตัวซึ่งยังไม่ค่อยมีใครมาเป็นเวลา 7.00 พอดี คาบเรียนเช้าและบ่ายผ่านไปปกติบวกกับเราที่ไม่ค่อยได้นอนแล้วก็ง่วงตั้งแต่คาบบ่ายปกติก็จะกลับบ้านได้แล้วแต่วันนั้นเรามีเรียนชดเชยตั้งแต่ 16.30-19.30น. ปกติคณะเรา ช่วง6โมงนี่ก็เริ่มเงียบแล้วค่ะจะพอมีคนอยู่บ้างแถวๆสนามฟุตบอลและคณะบัญชีก็เรียนไปตามปกติจนใกล้ๆเลิกเรียนอาจารย์ปล่อยพักช่วงหกโมงกว่าๆใกล้ทุ่มนึงแล้วฟ้ามืดไปเรียบร้อยเรามองลงไปตรงลานโล่งๆของคณะคนหายหมดแล้ว
มีแต่ร้านถ่ายเอกสารเปิดอยู่เราเลยบอกเพื่อนต่างชาติว่าเข้าไปในห้องก่อนเลยก็ได้ไม่ต้องรอเพราะจะไปเข้าห้องน้ำง่วงด้วยอยากจะล้างหน้า พอเดินไปเข้าห้องน้ำเต็มค่ะเพื่อนในห้องต่อคิวกันเข้า เลยเดินขึ้นบันไดอีก2ชั้นคือห้องน้ำจะสลับชั้นระหว่างห้องน้ำชาย(ชั้นคี่)/หญิง(ชั้นคู่) ค่ะเท่ากับว่าเราต้องขึ้นไปชั้น4 แต่ว่าไม่มีทิชชู่และมันมืดๆพิกลเลยยอมเดินไปชั้น6อีก และแน่นอนมันต้องผ่านลิฟท์symbol ของมหาลัยนี้ซึ่งตั้งอยู่คณะเราทางขึ้นชั้น4-5หรือ 5-6เราไม่แน่ใจว่าเราจำชั้นถูกหรือเปล่า ถ้าผิดขออภัยสับสนเหมือนกันความจำไม่ค่อยดี แต่เราจำได้แม่นว่าเราเดินผ่านชั้นนี้เนื่องด้วยวันที่มีเรียนเราเดินผ่านขึ้นลงบ่อยไม่เคยเจออะไรและคิดว่าไม่มีอะไรด้วย ด้วยจิตใจที่ตั้งใจมาศึกษาเล่าเรียนก็ไม่น่าจะมีอะไรมั้งนะ วันนั้นชั้น4 มีเปิดไฟบ้างบางจุดเพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงมีอุปกรณ์ก่อสร้าง ฝุ่นเยอะแต่ก็รู้สึกว่ามันมืดอยู่ดี ส่วนชั้น5และ6นักศึกษา ป.โทใช้ห้องตอนช่วงค่ำมีแสงสว่างบ้างแต่ก็ไกลจากห้องน้ำพอสมควร ในใจก็คิดว่า ‘ตั้งแต่ ม.ออกมาดูแลตัวเองนี่ประหยัดไฟจริงๆทิชชู่ในห้องน้ำก็ประหยัด’ (หรือประหยัดมานานแล้วก็ไม่รู้นะ) ตอนแรกจะเข้าชั้น5 ห้องน้ำชายแต่เห็นมีคนเข้าอยู่ไม่อยากจะเข้าไปเจองู
สรุปปวดฉี่มากถึงชั้น6รีบวิ่งไปห้องสุดท้าย เป็นโถนั่งยองๆไม่ชอบชักโครก ทิชชู่ไม่มีเหมือนเดิมปวดใจแท้ขึ้นมาทำม้ายยย เข้าได้สักพักโดนตีแตกทั้งป้อมเล็ก ป้อมใหญ่ เลยไลน์บอกเพื่อนว่านานหน่อยอาจารย์มาแล้วให้บอก เพื่อนก็ไลน์มาบอกว่า อาจารย์มาแล้วทุกคนอยู่ในห้องครบแล้วรีบมาเช็คชื่อท้ายคาบ เราก็เลยอ่านไม่ตอบเลื่อนไอจีดูต่อไปได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องน้ำ เริ่มใจชื้นขึ้นมาถ้าตัดเรื่องปวดหนักปวดเบาออกไปแล้วพิจารณาบรรยากาศดีๆมันวังเวงใช้ได้ฝั่งห้องน้ำเหมือนมีแค่แสงจากฝั่งโรงพยาบาลศิริราชส่องมาช่วยให้พอใจชื้น สักพักเสียงเท้าคนเดินลากส้นเข้ามาใกล้ๆห้องเราดัง ตึก ตึก ตึก จนเงียบไปเราก็เงียบ ยังไม่ทันได้คิดอะไร
ปัง ปัง ปัง!!! เสียงเคาะประตูหน้าห้องเรารัวมาดังและเร็วมาก เราตกใจเลยเผลอสบถว่า “E hiaaa คนเข้าอยู่เคาะทำไม”แบบว่าตกใจจริงๆค่ะห้องอื่นก็ว่างนี่คือมันเงียบและอยู่ดีๆมาเคาะรัวๆขี้หดตดหายหมด สักพักนึกได้ว่าเอ้ยเพื่อนมาตามเปล่าวะเลยตะโกนถามว่า “นิคหรอ”(เพื่อนต่างชาติ ผญ) ไม่มีเสียงตอบรับสักพักได้ยินเสียงหัวเราะ ฮี้ๆๆๆ ในใจก็คิดทำไมเพื่อนหัวเราะเหมือนม้าอุบาทว์อ่ะ เลยถามว่า “มีทิชชู่มั้ย” ก็เงียบ สักพักเพื่อนส่งภาพเลคเชอร์ในห้องมาให้ในไลน์เราก็เริ่มงง ถ้านิคอยู่ในห้องใครมาตามหรือเพื่อนคนอื่นมาเคาะแต่ เพื่อนคนอื่นเป็นผู้ชายจะมาตามในห้องน้ำหญิงเหรอ! เสียงเดินยังดังอยู่ในห้องน้ำทีนี้ดัง ครืดๆๆ ช้าๆเราจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ตัวไวกว่าความคิด เปิดประตู ผัวะ! หันไปประตูทางออกเห็นหลังผุ้หญิงในชุดนักศึกษาตัวใหญ่หลวมๆไม่ใส่รองเท้าไม่สูงผมดำยาวประมาณไหล่เดินออกจากห้องน้ำเลี้ยวไปทางซ้าย ซึ่งเป็นบันไดเราเลยรีบวิ่งไปดูว่าใคร คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินลงบันได มันห่างกันแค่ 1-2 วิเท่านั้นเรามองลงไปบันไดทันที
ไม่มีใครเลยอารมณ์แบบมืดและว่างเปล่ามากเรานิ่งไปแปบเดียว แปบเดียวจริงๆรีบเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปซึ่งผ่านลิฟท์สีแดงที่มีพวงมาลัยแห้งๆอยู่บนลิฟท์ ตกลงมาดัง ตุบ! ตอนเราเดินผ่านเราสะดุ้งรีบวิ่งลงไปชั้น4 ได้ยินเสียงหัวเราะ ฮี้ๆๆ เหมือนในห้องน้ำไล่ตามหลังมาใจนี่แทบระเบิดในใจคิดแต่ว่ารีบลงให้ถึงชั้น2เร็วๆ แทบไม่ได้วิ่งกลัวสับขาไม่ทันแต่ใช้การกระโดดข้ามบันไดหลายๆขั้นแทนไม่กลัวล้ม กลัวเสียงหัวเราะหลอนๆหูนี่มากกว่าขนนี่ลุกเสียวสันหลังวาบๆ จนถึงชั้น 2 รีบวิ่งไปห้องเรียนเจอเพื่อนเปิดประตูออกมาพอดี เพื่อนบอกว่า “อ้าวกำลังจะไปตาม” เราก็ทำหน้าตื่นๆใส่เพื่อน แต่ไม่ได้พูดอะไร เวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ เรียนไม่รู้เรื่องเลยค่ะและในวันนั้นทั้งห้องไม่มีใครใส่ชุดนักศึกษาแน่นอน ในใจก็ยังคิดว่าคนแหละคนสงสัยเอกอื่นเรียนชดเชยแต่ขนนี่ลุกไม่ลงสักที พอเลิกเรียนปุ๊บเรารีบเก็บของเพราะอยากกลับบ้านเร็วๆขับรถกลับตอนกลางคืนลำบากเลยวิ่งลงไปลานโล่งๆคณะมองขึ้นไปชั้น 6 และ 5 ไฟปิดสนิททั้งสองชั้น หน้าคณะก็ปิดไฟไปเรียบร้อย ก็ยังคงคาใจมาถึงทุกวันนี้ว่า ผี หรือ คน แต่จะอะไรก็ช่างไม่มีเจตนาร้ายใดๆทั้งสิ้นพอถึงบ้านก็เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเกิดวันอังคารวันแข็งไม่เจอง่ายๆหรอกแต่ที่ห้องน้ำนี่ตัวดีเลยนะและแม่ก็ขำบอกว่าล้อเล่น บอกว่าคิดมากไป ก็ใช่ว่าเจอเรื่องแปลกๆครั้งแรก อย่าไปหาคำตอบเลย
แต่ด้วยความว่างและคาใจอีกวันนึงเรียนเช้าก็ไปเร็วเห็นป้าแม่บ้าน เลยถามป้าแม่บ้านว่า “เมื่อวานเรียนชดเชยตอนคํ่าพวงมาลัยมันตกจากลิฟท์มีคนเก็บขึ้นไปยังป้า” ป้าแม่บ้านบอกว่า “ป้านี่มาตึกคนแรกไม่เห็นอะไรตกวางอยู่เหมือนเดิม...”
ประสบการณ์เรียนชดเชยตอนคํ่าที่มหาลัยติดแม่นํ้าเจ้าพระยา
** ปกติจะได้ยินเรื่องลี้ลับจากมหาลัยนี้มาบ้างแต่ส่วนมากมาจากอีกศูนย์ซึ่งอยู่แถวๆรังสิต เรื่องนี้ประมาณต้นปี2560นี้เอง
ตัวเราตอนนี้ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งที่ค่าเทอมแพงลิบลิ่ว(สำหรับคนฐานะปานกลางแบบเรา เราว่ามันแพง) ในย่านฝั่งพระนครติดแม่น้ำเจ้าพระยา วันไหนมีเรียนจะเอารถไปจอดที่ห้างสรรพสินค้าย่านปิ่นเกล้เพราะจอดฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และใช้เส้นทางนั้นกลับบ้านอยู่แล้ว วันนั้นก็เป็นวันธรรมดาทั่วไปที่เรามีเรียนทั้งวัน เนื่องด้วยเป็นวันที่เรามีพรีเซนต์งานเป็นกลุ่มแรกๆเลยรีบมาเตรียมตัวซึ่งยังไม่ค่อยมีใครมาเป็นเวลา 7.00 พอดี คาบเรียนเช้าและบ่ายผ่านไปปกติบวกกับเราที่ไม่ค่อยได้นอนแล้วก็ง่วงตั้งแต่คาบบ่ายปกติก็จะกลับบ้านได้แล้วแต่วันนั้นเรามีเรียนชดเชยตั้งแต่ 16.30-19.30น. ปกติคณะเรา ช่วง6โมงนี่ก็เริ่มเงียบแล้วค่ะจะพอมีคนอยู่บ้างแถวๆสนามฟุตบอลและคณะบัญชีก็เรียนไปตามปกติจนใกล้ๆเลิกเรียนอาจารย์ปล่อยพักช่วงหกโมงกว่าๆใกล้ทุ่มนึงแล้วฟ้ามืดไปเรียบร้อยเรามองลงไปตรงลานโล่งๆของคณะคนหายหมดแล้ว
มีแต่ร้านถ่ายเอกสารเปิดอยู่เราเลยบอกเพื่อนต่างชาติว่าเข้าไปในห้องก่อนเลยก็ได้ไม่ต้องรอเพราะจะไปเข้าห้องน้ำง่วงด้วยอยากจะล้างหน้า พอเดินไปเข้าห้องน้ำเต็มค่ะเพื่อนในห้องต่อคิวกันเข้า เลยเดินขึ้นบันไดอีก2ชั้นคือห้องน้ำจะสลับชั้นระหว่างห้องน้ำชาย(ชั้นคี่)/หญิง(ชั้นคู่) ค่ะเท่ากับว่าเราต้องขึ้นไปชั้น4 แต่ว่าไม่มีทิชชู่และมันมืดๆพิกลเลยยอมเดินไปชั้น6อีก และแน่นอนมันต้องผ่านลิฟท์symbol ของมหาลัยนี้ซึ่งตั้งอยู่คณะเราทางขึ้นชั้น4-5หรือ 5-6เราไม่แน่ใจว่าเราจำชั้นถูกหรือเปล่า ถ้าผิดขออภัยสับสนเหมือนกันความจำไม่ค่อยดี แต่เราจำได้แม่นว่าเราเดินผ่านชั้นนี้เนื่องด้วยวันที่มีเรียนเราเดินผ่านขึ้นลงบ่อยไม่เคยเจออะไรและคิดว่าไม่มีอะไรด้วย ด้วยจิตใจที่ตั้งใจมาศึกษาเล่าเรียนก็ไม่น่าจะมีอะไรมั้งนะ วันนั้นชั้น4 มีเปิดไฟบ้างบางจุดเพราะอยู่ในช่วงปรับปรุงมีอุปกรณ์ก่อสร้าง ฝุ่นเยอะแต่ก็รู้สึกว่ามันมืดอยู่ดี ส่วนชั้น5และ6นักศึกษา ป.โทใช้ห้องตอนช่วงค่ำมีแสงสว่างบ้างแต่ก็ไกลจากห้องน้ำพอสมควร ในใจก็คิดว่า ‘ตั้งแต่ ม.ออกมาดูแลตัวเองนี่ประหยัดไฟจริงๆทิชชู่ในห้องน้ำก็ประหยัด’ (หรือประหยัดมานานแล้วก็ไม่รู้นะ) ตอนแรกจะเข้าชั้น5 ห้องน้ำชายแต่เห็นมีคนเข้าอยู่ไม่อยากจะเข้าไปเจองู
สรุปปวดฉี่มากถึงชั้น6รีบวิ่งไปห้องสุดท้าย เป็นโถนั่งยองๆไม่ชอบชักโครก ทิชชู่ไม่มีเหมือนเดิมปวดใจแท้ขึ้นมาทำม้ายยย เข้าได้สักพักโดนตีแตกทั้งป้อมเล็ก ป้อมใหญ่ เลยไลน์บอกเพื่อนว่านานหน่อยอาจารย์มาแล้วให้บอก เพื่อนก็ไลน์มาบอกว่า อาจารย์มาแล้วทุกคนอยู่ในห้องครบแล้วรีบมาเช็คชื่อท้ายคาบ เราก็เลยอ่านไม่ตอบเลื่อนไอจีดูต่อไปได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องน้ำ เริ่มใจชื้นขึ้นมาถ้าตัดเรื่องปวดหนักปวดเบาออกไปแล้วพิจารณาบรรยากาศดีๆมันวังเวงใช้ได้ฝั่งห้องน้ำเหมือนมีแค่แสงจากฝั่งโรงพยาบาลศิริราชส่องมาช่วยให้พอใจชื้น สักพักเสียงเท้าคนเดินลากส้นเข้ามาใกล้ๆห้องเราดัง ตึก ตึก ตึก จนเงียบไปเราก็เงียบ ยังไม่ทันได้คิดอะไร
ปัง ปัง ปัง!!! เสียงเคาะประตูหน้าห้องเรารัวมาดังและเร็วมาก เราตกใจเลยเผลอสบถว่า “E hiaaa คนเข้าอยู่เคาะทำไม”แบบว่าตกใจจริงๆค่ะห้องอื่นก็ว่างนี่คือมันเงียบและอยู่ดีๆมาเคาะรัวๆขี้หดตดหายหมด สักพักนึกได้ว่าเอ้ยเพื่อนมาตามเปล่าวะเลยตะโกนถามว่า “นิคหรอ”(เพื่อนต่างชาติ ผญ) ไม่มีเสียงตอบรับสักพักได้ยินเสียงหัวเราะ ฮี้ๆๆๆ ในใจก็คิดทำไมเพื่อนหัวเราะเหมือนม้าอุบาทว์อ่ะ เลยถามว่า “มีทิชชู่มั้ย” ก็เงียบ สักพักเพื่อนส่งภาพเลคเชอร์ในห้องมาให้ในไลน์เราก็เริ่มงง ถ้านิคอยู่ในห้องใครมาตามหรือเพื่อนคนอื่นมาเคาะแต่ เพื่อนคนอื่นเป็นผู้ชายจะมาตามในห้องน้ำหญิงเหรอ! เสียงเดินยังดังอยู่ในห้องน้ำทีนี้ดัง ครืดๆๆ ช้าๆเราจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ตัวไวกว่าความคิด เปิดประตู ผัวะ! หันไปประตูทางออกเห็นหลังผุ้หญิงในชุดนักศึกษาตัวใหญ่หลวมๆไม่ใส่รองเท้าไม่สูงผมดำยาวประมาณไหล่เดินออกจากห้องน้ำเลี้ยวไปทางซ้าย ซึ่งเป็นบันไดเราเลยรีบวิ่งไปดูว่าใคร คิดในแง่ดีอย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินลงบันได มันห่างกันแค่ 1-2 วิเท่านั้นเรามองลงไปบันไดทันที
ไม่มีใครเลยอารมณ์แบบมืดและว่างเปล่ามากเรานิ่งไปแปบเดียว แปบเดียวจริงๆรีบเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปซึ่งผ่านลิฟท์สีแดงที่มีพวงมาลัยแห้งๆอยู่บนลิฟท์ ตกลงมาดัง ตุบ! ตอนเราเดินผ่านเราสะดุ้งรีบวิ่งลงไปชั้น4 ได้ยินเสียงหัวเราะ ฮี้ๆๆ เหมือนในห้องน้ำไล่ตามหลังมาใจนี่แทบระเบิดในใจคิดแต่ว่ารีบลงให้ถึงชั้น2เร็วๆ แทบไม่ได้วิ่งกลัวสับขาไม่ทันแต่ใช้การกระโดดข้ามบันไดหลายๆขั้นแทนไม่กลัวล้ม กลัวเสียงหัวเราะหลอนๆหูนี่มากกว่าขนนี่ลุกเสียวสันหลังวาบๆ จนถึงชั้น 2 รีบวิ่งไปห้องเรียนเจอเพื่อนเปิดประตูออกมาพอดี เพื่อนบอกว่า “อ้าวกำลังจะไปตาม” เราก็ทำหน้าตื่นๆใส่เพื่อน แต่ไม่ได้พูดอะไร เวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ เรียนไม่รู้เรื่องเลยค่ะและในวันนั้นทั้งห้องไม่มีใครใส่ชุดนักศึกษาแน่นอน ในใจก็ยังคิดว่าคนแหละคนสงสัยเอกอื่นเรียนชดเชยแต่ขนนี่ลุกไม่ลงสักที พอเลิกเรียนปุ๊บเรารีบเก็บของเพราะอยากกลับบ้านเร็วๆขับรถกลับตอนกลางคืนลำบากเลยวิ่งลงไปลานโล่งๆคณะมองขึ้นไปชั้น 6 และ 5 ไฟปิดสนิททั้งสองชั้น หน้าคณะก็ปิดไฟไปเรียบร้อย ก็ยังคงคาใจมาถึงทุกวันนี้ว่า ผี หรือ คน แต่จะอะไรก็ช่างไม่มีเจตนาร้ายใดๆทั้งสิ้นพอถึงบ้านก็เล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเกิดวันอังคารวันแข็งไม่เจอง่ายๆหรอกแต่ที่ห้องน้ำนี่ตัวดีเลยนะและแม่ก็ขำบอกว่าล้อเล่น บอกว่าคิดมากไป ก็ใช่ว่าเจอเรื่องแปลกๆครั้งแรก อย่าไปหาคำตอบเลย
แต่ด้วยความว่างและคาใจอีกวันนึงเรียนเช้าก็ไปเร็วเห็นป้าแม่บ้าน เลยถามป้าแม่บ้านว่า “เมื่อวานเรียนชดเชยตอนคํ่าพวงมาลัยมันตกจากลิฟท์มีคนเก็บขึ้นไปยังป้า” ป้าแม่บ้านบอกว่า “ป้านี่มาตึกคนแรกไม่เห็นอะไรตกวางอยู่เหมือนเดิม...”