[CR] Bromo Mountain :: ภูเขาไฟลมหายใจเเห่งเกาะชวา


สวัสดีค่า  
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกในชีวิตเลย อยากมาแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางที่แสนประทับใจกับเค้าบ้าง
ซึ่งทริปนี้เป็นทริปที่เดินทางไม่ใกล้ไม่ไกลเลย เป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา
นั่นก็คือ “อินโดนีเซีย”นั่นเอง

บอกก่อนเลยว่าเคยไปอินโดมาหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไป คือไปทำงาน ที่จากาตาร์บ้าง ไปที่เมดานบ้าง
ส่วนตัวตอนแรกๆ ไม่ได้ประทับใจอะไรอินโดนัก เพราะทุกครั้งที่ไปก็จะอยู่แต่ในห้องประชุม ได้ออกไปเดินเล่นชอปปิ้ง กินข้าวนิดๆ หน่อยๆ
พอมีหนึ่งเรื่องที่ประทับใจคือ ค่าอาหารถูกมากกกกกกก 555+ (เรื่องกินขอให้บอก)

มาต่อกันที่เรื่องของการเดินทางค่ะ

ทริปนี้แพลนของเราคือ การได้เดินทางไปเห็นภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่ นั่นก็คือ ภูเขาไฟโบรโม่ และ ภูเขาไฟอีเจี้ยน นั่นเอง
ซึ่งโบรโม่เนี่ย อยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโม่เทงเกอร์เซเมรู เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทงเกอร์มาสซีฟ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากความสูงไม่มากนัก และเดินทางถึงยอดเขาได้โดยง่าย  ภูเขาไฟโบรโม่เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ การปะทุครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2547 และตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2553 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน (สาระก็มา 555+)

ส่วนการเดินทางของเรา ก็ไม่ได้ง่ายดายดั่งใจนึก กว่าจะได้มาเห็นภาพภูเขาไฟอันยิ่งใหญ่ เราต้องเตรียมตัวมาเป็นแรมเดือน เนื่องจากว่าผู้ร่วมทริปหลายๆ คนได้ขู่ไว้ว่าการเดินทางขึ้นเขานี้ไม่ง่ายนะ จะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการเดินขึ้นเขาหลายชั่วโมง ที่สำคัญต้องเดินดมกลิ่นกำมะถัน และเดินตอนมืดด้วย เราก็กลัวสิคะ กลัวจะไปเป็นภาระต่อผู้ร่วมเดินทาง สมัครฟิตเนสเลยค่ะ 1 เดือน ได้ไปวิ่งประมาณ 3-4 ครั้ง (นอกนั้นอู้ค่ะ ขี้เกียจล้วนๆ) จวบจนกระทั่งวันเดินทางมาถึง.... ร่างกายก็ยังไม่พร้อมค่ะ แต่ใจพร้อมซะอย่าง เราทำได้ อิอิ

ทริปนี้เราขอเรียกว่าเป็น “ทริปเที่ยวกลางคืน” ละกันนะคะ 555+  เพราะว่า เวลา 24 ชั่วโมงเนี่ย เราได้นอนแค่ 3-4 ชั่วโมงเองค่ะ นอกนั้นคือการใช้เวลาตอนกลางคืนเพื่อการเดินทางและการเตรียมตัวขึ้นเขา จุดมุ่งหมายแรกของเราคือโบรโม่ คืนแรกนั้นเราเดินทางถึงที่พัก (ในอุทยานแห่งชาติ) ราวๆ ห้าทุ่ม ซึ่งเป็นที่พักคล้ายๆ รีสอร์ทเล็กๆ ตามอุทยานบ้านเรา และที่พักที่นี่มีเครื่องทำน้ำร้อนทุกห้องนะคะ และน้ำร้อนมากกกก ย้ำว่าน้ำร้อน นะคะ ไม่ใช่น้ำอุ่น เพราะปรับอุณหภูมิไม่ได้เลย ฮือออ T___T แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพราะว่าอากาศด้านนอกหนาวมากเช่นกัน ร้อนมากก็อาบไหวค่ะ คืนนั้นเรารีบอาบน้ำ และเข้านอน เพราะเรามีนัดปีนเขากันตอนตีสองค่า ใช่แล้ววว ตีสองอ่านไม่ผิดค่ะ เรามีเวลานอนให้หลับประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนที่จะลุยกันต่อค่ะ

และแล้วก็ได้เวลาปีนเขาค่ะ คนที่กลัวความสูงไม่ต้องกลัวเลยนะคะ เพราะคุณจะไม่เห็นอะไรระหว่างทางเลยค่า มืดสนิท อ้อ ทริปนี้เราเดินทางกันประมาณ 10 คน ค่ะ ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขากันไปนั้นจะมีไกด์โลคัลคอยนำทางพวกเราไม่ให้หลงหรือพลัดเดินตกเขาเป็นผีเฝ้าโบรโม่ค่า แหะๆ  

**ข้อแนะนำระหว่างการเดินทางขึ้นโบรโม่นะคะ**
แนะนำว่า ควรสะพายเป้เล็กๆ ไปคนละใบแต่ต้องไม่หนักมากนะคะ ไม่งั้นจะเป็นภาระของเราเวลาเดินขึ้นเขาค่ะ โดยควรพกผ้าขนหนูผืนเล็ก หน้ากากปิดจมูก (ใช้ตอนอยู่ใกล้ปล่องภูเขาไฟค่ะ) น้ำดื่มขวดเล็ก และเสบียงเล็กๆ น้อยๆ กันหิว สุดท้ายก็ ลูกอม ยาดม ยาหม่องตามชอบเลยค่า ฮ่าๆๆๆ อ้อ แล้วก็ที่สำคัญรองเท้า ควรเป็นรองเท้าผ้าใบที่กันลื่น หรือลื่นน้อยค่ะ เพราะระหว่างทางจะมีบางช่วงที่มีดินสไลด์อยู่บ้าง ถ้ารองเท้าลื่นๆ นี่ก็สไลด์ไหลไปเลยคร่า คุณจะได้รับอรรถรสในการเล่นสไลเดอร์บนเขาอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน อิอิ

ส่วนระยะเวลาในการเดินทางขึ้นเขาจนถึงจุดชมวิวประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ แต่ไม่ได้รู้สึกเป็น 2 ชั่วโมงที่ยาวนานเลย เพราะเราเดินไป คุยกันไป เหนื่อยก็พัก ได้มิตรภาพในการเดินทางก็ตอนนี้หล่ะค่ะ และอย่างที่บอก เราไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย พอได้มาเดินอย่างนี้ หอบค่ะ แต่ความเหนื่อยทั้งหลายกำลังจะมลายหายไป เพราะว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆค่ะ

การเดินทางขึ้นไปดูปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่จะต้องขี่ม้าหรือเดินขึ้นไป  แต่ม้าไปส่งได้แค่ไหล่เขาชั้นต้นเท่านั้นค่ะ
ช่วงถัดไปต้องเดินตามขั้นบันไดด้วยตัวเอง  เป็นระยะทางประมาณ 200 เมตร  ระหว่างทางมีที่พักกลางทางให้นั่งพักเหนื่อย  
ภาพนี้เรากำลังจะไต่ขึ้นไปนะคะ เห็นความสูงชันไหมมม ??? ขาสั่น และ ยาอม ยาดม ยาหม่อง หน้ากาก พร้อมมม !!

หลังจากไต่ขึ้นไปแล้ว มองลงมา ว้าวววว สวยเหมือนกันนะเนี่ยยย

ถ่ายภาพเพื่อนร่วมทริปซะหน่อยย

กิจกรรมที่เราเห็นนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบทำกันก็คือเดินบนขอบปากปล่องภูเขาไฟที่มีลักษณะเป็นสันกว้างสามารถเดินได้โดยรอบ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงเลยค่ะเพราะขอบปากปล่องภูเขาไฟเป็นทรายที่ค่อนข้างลื่น ใกล้ๆ กันนั้นจะมองเห็นภูเขาไฟบาต๊อกอยู่ใกล้แค่เอื้อมกับภูเขาไฟเซเมรูนิ่งสงบน่าเกรงขาม
เอาภาพปากปล่องภูเขาไฟมาฝากค่ะ เห็นควันไฟที่พวยพุ่งไหมคะ ปะทุเดือดปุดๆ เลย

วิวจากบนนี้สวยมากกกกกก เหมือนอยู่นอกโลกเลย
เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกซักหน่อย

หลังจากอิ่มเอมจากการปีนขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว เราก็เดินลงมาเพื่อเดินทางไปยังจุดต่อไปค่ะ

พวกเราเดินมาเพื่อขึ้นรถ JEEP คู่ใจไปกันต่อค่ะ ใครจะคาดคิดว่า หลังภูเขาลูกนี้ไปจะมีความงามซ่อนอยู่

พวกเรามาเจอทุ่งสะวันนาสีเขียวสดกว้างไกลสุดตาเลยค่ะ
สาวๆ จูงมือกันมุ้งมิ้งๆ
หนุ่มๆ ก็โดดกันหน่อยยย
เราชอบภาพนี้มากเลยค่ะ เป็นภาพที่เราแอบถ่ายผู้ร่วมทริปที่ต่างกำลังมีโมเมนท์ของตัวเอง เก็บภาพความประทับใจของตัวเองกันไป ในอิริยาบทต่างๆ
ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมคะ จากดินแดนที่ดูแห้งแล้งเมื่อกี้นี้ เคลื่อนตัวมาไม่ไกล จะพบความเขียวขจีสวยงามเช่นนี้
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่เรารักการเดินทางค่ะ ต่อให้เห็นจากภาพสวยขนาดไหน แต่ความรู้สึกที่ได้มาเห็นด้วยตาตนเองนี่มันเทียบกันไม่ได้เลยค่ะ

จากโบรโม่ไปสู่อีกจุดมุ่งหมายนึงของการเดินทางในครั้งนี้คือภูเขาไฟอีเจี้ยน หรือ ชื่อเต็มๆ ว่าคาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นหนึ่งในหลากหลายภูเขาไฟที่ยังไม่ดับของ ประเทศอินโดนีเซีย หลุมปล่องภูเขาไฟของคาวาอีเจี้ยนมีความกว้างใหญ่เป็นกิโลเมตร มีแหล่งทะเลสาบภูเขาไฟสีเขียวขุ่น
เทอควอยซ์ที่สามารถเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางวัน และทะเลสาบยังมีมีส่วนผสมของกรดรั่วไหลของก๊าซกำมะถันอย่างต่อเนื่อง

การเดินทางของอีเจี้ยนก็ถือว่าโหดพอๆ กันกับโบรโม่เลยหล่ะค่ะ แต่เราได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตโบรโม่มาแล้ว เพราะฉะนั้น เราสู้ตายค่ะ !!!
เราเริ่มปีนเขาตั้งแต่กลางดึกเหมือนเคยและมาถึงเวลาใกล้รุ่งเช้าเพื่อรอชมสิ่งนี้ค่ะ

ความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟแห่งนี้คือ ในตอนกลางคืนก๊าซร้อนจะเกิดการเผาไหม้ปะทุเปล่งแสงขึ้นมาเป็นลาวาซึ่งมีสีฟ้าน้ำเงินอันน่าตกตะลึง แตกต่างจากสีของลาวาทั่วไป เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภูเขาไฟที่ผู้คนให้ความสนใจกับความอัศจรรย์ธรรมชาติซึ่งมีอยู่ให้เห็นจริงๆบนโลกของเราเองนี่แหละค่ะ  ไกด์โลคัลนำทางพวกเราลงไปใกล้ปล่องภูเขาไฟมากขึ้น โดยพวกเราก็เกาะกลุ่ม ค่อยๆ เดินกึ่งเกาะหิน และไถลตัวกันลงไปช้าๆ คอยส่งเสียงเรียกหากันด้วยความเป็นห่วงว่าทีมของพวกเราอยู่ครบไหม มีใครถูกหินบาดหรือเจ็บตรงไหนบ้างรึป่าว
และแล้วพวกเราทุกคนก็เดินทางลงไปด้านล่างของปล่องภูเขาไฟอย่างปลอดภัย และปักหลักรอจนกว่าแสงแรกของวันจะเริ่มต้นขึ้น
ที่เห็นเป็นจุดดำๆ เล็กๆ ด้านล่างนี้เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้นนะค้า ไม่ใช่มดน๊าาา อิอิ
พอแสงสว่างมากขึ้น จากฟ้าเทอควอยซ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียวค่ะ
ที่นี่ไม่ได้มีแค่ที่ท่องเที่ยวอย่างเดียวนะคะ ระหว่างทางเราจะเห็นมีคนงานคอยขนแร่กำมะถันขึ้นมาด้วยค่ะ ซึ่งทางก็ชันมาก และแร่สีเหลืองๆ นั่นมองดูเหมือนจะไม่ได้มีน้ำหนักมาก แต่จริงๆ หนักมากกกกเลยหล่ะค่ะ เราลองไปขอเค้ายกมา ยกไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย T____T นับถือเค้าจริงๆ เลยค่ะ ที่ยกไหว และเดินอย่างคล่องแคล่วเลย
ภาพนี้เป็นภาพมุมสูงที่เราถ่ายจากด้านล่างค่ะ ด้านบนไกลๆ นั้นก็เป็นบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่ จะเห็นได้ว่า ทางเดินค่อนข้างสมบุกสมบันมาก บางช่วงมีบันได บางช่วงไม่มีค่ะ เราก็ต้องคลำๆ ทางกันมา ทั้งขึ้นและลงค่ะ ขาขึ้นนี่จะสบายหน่อย เพราะว่าสว่างแล้ว แต่ขาลงมานี่มืดมิดสนิทใจเลยทีเดียวเชียวค่ะ

แอบถ่ายเพื่อนอีกละค่ะ มุมมันได้ ^^
ภาพนี้ถ่ายบนสันเขาค่ะ  
ขากลับก็เดินไปชมวิวไปได้อีกค่า
ระหว่างทางลงก็จะมีของที่ระลึกขาย ให้เลือกชม เลือกซื้อได้ตามใจชอบเลยค่ะ

สำหรับเรา ทริปนี้เป็นทริปที่ประทับใจมาก ทริปหนึ่งของชีวิตเลยค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่า อินโดนีเซีย มีภูมิประเทศที่สวยงามขนาดนี้ จนกระทั่งได้มีโอกาสมาเห็นด้วยสองตาตัวเองนี่แหละค่ะ อมยิ้ม01
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนร่วมทางที่เดินทางด้วยกันก็สำคัญ หลังจากการเดินทางครั้งนี้ทำให้เราได้รับมิตรภาพใหม่ๆ ที่ยั่งยืนและยาวนานมาจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่ามิตรภาพเกิดขึ้นตอนที่ได้ลำบากด้วยกัน ได้ช่วยเหลือกันระหว่างทริปนี้เลยแหละค่ะ
ทริปนี้เราเลือกเดินทางกับ Memoria Travel ที่นำพวกเราทุกคนเดินทางถึงจุดหมายปลายทางที่สวยงามได้อย่างตั้งใจ
พร้อมทั้งดูแลด้วยความจริงใจ ประทับใจจริงๆ ค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านเรื่องราวที่เราอยากแบ่งปันให้ฟังนะคะ แล้วเจอกันใหม่เมื่อได้ออกเดินทางค่ะ
สวัสดีค่ะ
ชื่อสินค้า:   รีวิวท่องเที่ยว อินโดนีเซีย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่