สว้สดีค่ะ เรื่องที่เราจะเขียนต่อไปนี้ เราได้มีโอกาสเรียนวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ แล้วอาจารย์ให้เขียนสารคดี เราได้รับเป็นสารคดีท่องเที่ยว แต่จะเขียนออกมาในรูปแบบไหนก็ได้ที่เป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เราจึงอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพราะถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง
เรื่องนี้จะเขียนเชิงนิยาย มั้งนะ แฮ่! (มาจากเรื่องจริง มีเสริมแต่งเพื่อให้เกิดอรรถรสในการอ่าน)
ไปอ่านกัน...
.
.
.
ลำนำรัก ฉบับภูกระดึง
................"บางทีคนเราก็ออกเดินทาง...เพียงเพื่อจะได้กลับมายืนในจุดเดิมของตัวเองอย่างมีความสุขกว่าเก่า".................
ทันทีที่ฉันได้อ่านประโยคนี้ ทำให้ฉันคิดถึงคำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันรัก
"สัญญานะ ไปด้วยกัน"
"ค่ะ"
"อย่าลืมนะ"
"หนูไม่ลืมสัญญาหรอก"
ซึ่งฉันไม่เคยคิดเลยว่าสัญญาในวันนั้นจะทำให้ฉันได้มายืนอยู่ ณ ตรงนี้
4 ตุลาคม 59
ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ฉันยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่ขวักไขว่ไปมา ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่มาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ การขึ้นไปพิชิตยอดภูกระดึง เมื่อมาถึงที่ทำการอุทยานฯแล้ว ต้องติดต่อชำระค่าธรรมเนียมกันก่อน ค่าเข้าอุทยานฯ คนไทย ผู้ใหญ่ ซ 40 บาท เด็ก : 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ : 400 บาท เด็ก 200 บาท
"ไง"
เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลังของฉันพร้อมกับใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เชฟ!!
"รอนานไหม" เขายิ้มให้ฉันเป็นเชิงขอโทษ
"ไม่ค่ะ เป็นไงบ้างคะเรียบร้อยดีหรือเปล่า" ฉันหันไปพูดกับเขาพร้อมยิ้มให้
"อืม แต่คนเยอะน่ะ เลยช้า ไหนพี่ดูหน่อยสิว่าหนูเอาอะไรมาบ้าง" เขาพูดพลางมองดูด้านหลังของฉัน
"โห! เอาอะไรมาบ้างเนี่ย" เขาทำท่าคิดหนักเมื่อเห็นสัมภาระที่ฉันนำมาด้วย
"ก็หนูไม่รู้ว่าต้องเอาอะไรมาบ้างนี่นา" ฉันหันกลับไปมองสัมภาระของตัวเอง แล้วยิ้มอายๆ
"บอกว่าให้เอามาแต่ของสำคัญำม่ใช่หรอ"
"ก็มันสำคัญหมดนี่ หนูเลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรออกบ้าง" ฉันพูดเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด
"เอาล่ะ ของเยอะแบบนี้คงแบกขึ้นไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นไปจ้างลูกหาบก็แล้วกัน" เขาพูดพร้อมเอามือมาขยี้หัวฉันเบาๆ แล้วเดินนำไปยังจุดจำหน่ายบัตรติดสัมภาระ ซึ่งค่าลูกหาบปัจจุบันคิดราคาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 30 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
ก่อนที่นักพิชิตยอดเขาทั้งหลายจะขึ้นพิชิตยอดภูกระดึงนั้น จะต้องเดินผ่านซุ้มทางขึ้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตั๋วนั้นจะมีสมุดให้เซ็นเข้า (ไม่จำเป็นต้องเซ็นทุกคน) โดยระบุว่าขึ้นกี่คน มีผู้ชายกี่คน และผู้หญิงกี่คน เมื่อทำเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาเดินทางของนักพิชิตยอดเขา ดังนั้น ไปกันเลย!!
ซำแฮก : กับน้ำแข็งใส
เราเดินกันขึ้นมาสักพักถึจุดพักจุดแรก เขาก็ให้ฉันนั่งรออยู่ตรงขอนไม้ ส่วนตัวเขาเองนั้นเดินไปที่ร้านค้า ซื้อน้ำดื่ม และขนมมา ซึ่งฉันว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครหลายคนก็ทำเมื่อไปเที่ยวหรือต้องเดินทาง แต่อีกสิ่งที่เขาถือมาด้วยทำให้ฉันแปลกใจ คือน้ำแข็งใสสีชมพูที่ราดด้วยนมหวานๆ ชามนั้น ว้าว! เหมือนรู้ใจเลยอะ
"กินนี่จะช่วยให้ไม่เหนื่อยมาก" เขารีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉัน
"ขอบคุณนะคะเชฟ เหมือนรู้ใจหนูเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ "
"ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ไอ้หมู ดูหุ่นสิมีอะไรที่ไม่ชอบบ้าง ฮ่าๆ" เขาพูดพลางหัวเราะชอบใจ
ไอ้หมูหรอ เรียกแบบนี้ตลอดเลย นี่กะจะบอกว่าเรากินไม่เลือกสินะ ฉันได้แต่คิดในใจแล้วแอบยิ้มอย่างมีความสุข
ซำแฮก คือซำแรก ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นจุดพักจุดแรกที่ต้องผ่านในการเดินขึ้นภูกระดึง ซำนี้จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน สามารถเลือกกินได้ตามความชอบ มีห้องน้ำไว้คอยบริการ สำหรับใครที่ยังไม่กินข้าวมาแนะนำให้กินตั้งแต่ซำนี้ และที่ขาดไม่ได้ อย่าลืมอุดหนุนน้ำแข็งใสด้วยนะ
หลังจากที่พักกินน้ำแข็งใสจนหายเหนื่อยแล้ว ผู้พิชิตยอดเขาอย่างเราก็เดินทางต่อ
ซำบอน เป็นจุดพักที่ห่างจากซำแฮกประมาณ 800 เมตร ซำนี้ไม่มีร้านอาหาร หรือห้องน้ำไว้คอยบริการ เหมาะสำหรับการพักชมวิว ถ่ายภาพสวยๆ
ซำกกกอก ห่างจากซำบอนประมาณ 360 เมตร โล่งออกไปทีซำนี้มีร้านอาหารหลายร้านเลยแหละ แต่...
"หมู" เสียงเรียกของคนเดินข้างๆฉัน
"คะเชฟ มีอะไรหรอ" ฉันขานรับพร้อมทำหน้าสงสัย
"เหนื่อยไหม จะพักซำนี้ไหม หรือค่อยไปพักซำข้างหน้า"
เหนื่อยค่ะ หิวด้วย ไม่ไหวแล้ว นี่ฉันก็ได้แค่คิดในใจแล้วบอกเขาไป "ไม่ค่อยเหนื่อยค่ะ ไปต่อได้สบายมากอยากถึงที่พักเร็วๆ"
"งั้นเราไปพักซำข้างหน้ากันนะ" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ฉันพร้อมเดินต่อ
หลังจากที่เราเดินทางมาเรื่อยๆ ผ่านพร่านพรานแป
"เชฟคะ ซำนี้มีร้านอาหาร"
"ไปพักซำข้างหน้าดีไหม ใกล้จะถึงแล้ว" แล้วเราก็เดินต่อ ผ่านซำกกหว้าก็แล้ว ซำกกไผ่ก็แล้ว ขากับเท้าเริ่มไม่ไหวแล้วด้วย และแล้วสิ่งที่เฝ้ารอคอยก็มาถึง...ร้านอาหาร เย้!!!!
ซำกกโดน เป็นจุดพักที่มีร้านอาหารเป็นจุดสุดท้าย แต่เราไม่ได้โหยหาอาหาร หรือสิ่งอื่นใดนอกจาก น้ำแข็งใส! น้ำแข็งใสของซำนี้มีลักษณะเป็นก้อนน้ำแข็งเล็กๆผสมกับน้ำหวานสีชมพู มีส่วนประกอบเป็นขนมปัง วุ้นมะพร้าว เฉาก๊วย หรือแล้วแต่เราจะสั่งตามความชอบ ราคาถ้วยละ 25 บาท แถมแม่ค้าใจดีด้วยนะ
"ไงไอ้หมู เจอของชอบเข้าไปหายเหนื่อยบ้างยัง" เขาถามพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์
"แหม! ก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอก ถ้ามีเชฟเดินอยู่ข้างๆหนูก็เดินต่อได้สบายเลย ฮ่าๆ" ฉันพูดพลางหัวเราะ เขาจะรู้หรือเปล่านะว่าฉันมีความสุขขนาดไหนที่ได้มาด้วยกัน
"ฮ่าๆ อิ่มแล้วก็เดินทางต่อกัน ใกล้ถึงแล้ว"
จากนั้นเราเดินทางผานซำแคร่ ซึ่งเป็นซำสุดท้ายของการพิชิตยอดภูกระดึง
หลังแป : กับป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง
หลังจากที่เดินทางมาเกือบสามชั่วโมงกว่า ก็มาถึงจุดหมายของเรานั่นก็คือ หลังแป เป็นจุดสูงสุดของภูกระดึง เมื่อขึ้นมาถึงหลังแปแล้ว จะเห็นจุดชมวิวตัวอำเภอภูกระดึงและผานกเค้า ก่อนที่จะเดินทางเรีบยอีก 4 กิโลเมตร ไปถึงจุดหมายที่พัก เขาว่ากันว่าหากใครขึ้นมาบนหลังแปแล้วไม่ถ่ายภาพกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" จะถือว่าไม่เคยมาหรือมาไม่ถึงนั่นเอง
"เชฟถ่ายรูปให้หน่อย เดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึง ฮ่าๆ"
"จ้า แหม! ฮ่าๆ" เขาตอบรับพร้อมกับพากันหัวเราะเสียงดังจนใครแถวนั้นหันมาดู
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง
เมื่อเดินทางมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อันดับแรกต้องเข้าไปติดต่อลานกางเต้นท์หรือถ้าใครจองที่พักไว้ก็เข้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ที่นี่ค่ะ หลังจากได้ลานกางเต้นท์แล้ว สิ่งสำคัญของนักพิชิตยอดเขาที่ขาดไม่ได้คือ เราต้องมีพลังงาน การจะมีพลังงานได้คือ ราต้องเติมพลังงานด้วยการกิน เราสองคนเดินต่อไปที่ร้านอาหารธิดาน้อย เพื่อเติมพลังกันก่อน ซึ่งร้านตั้งอยู่ฝั่งทางไปน้ำตกวังกวาง (เป็นร้านอาหารตามสั่ง อาหารอร่อย ราคาจานละ 60 บาท ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับการแบกของขึ้นมาของพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ แม่ค้าใจดี มีน้ำชาให้จิบฟรีด้วยนะ) และเป็นการรอบลูกหาบที่เราให้หาบของขึ้นมา
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ไปเดินเล่นที่ลานองค์พระพุทธเมตตา ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เราเดินเที่ยวชมจุดต่างๆและฟังเรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าไปด้วย ทำให้ตลอดระยะเวลาที่เราเดินไปด้วยกันจะมีเสียงหัวเราะของเราไปทั่วทั้งป่า
วังกวาง : กับการกางเต้นท์
หลังจากที่เราใช้เวลาในการเดินเที่ยวไปพอสมควร ก็กลับมายังที่พักแล้วรับสัมภาระที่ฝากเจ้าหน้าที่รับไว้ให้แล้วมายังลานกางเต้นท์ เราใช้เวลาไปกับการกางเต้นท์พอประมาณ แล้วก็ถึงเวลาเติมพลังอีกรอบ เราเดินไปที่ร้านอาหารธิดาน้อยเช่นเคย
"เป็นไงอร่อยไหม "
"ก็ดีค่ะ แต่หนูอยากกินฝีมือเชฟมากกว่า"
"เดี๋ยวมีโอกาสจะทำให้กิน"
"เย้! สัญญานะ"
"จ้า ฮ่าๆ"
วังกวาง 22.00 น. : ราตรีสวัสดิ์
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว... ที่นี่เขามีไฟฟ้าให้ใช้ถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นจะตัดไฟและจะเปิดให้อีกทีตอนตีห้า ดังนั้นเราต้องรีบทำธุระทุกอย่างให้เสร็จ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะตัดไฟ (ยกเว้นแต่คนที่ชอบความมืดนะคะ) ราตรีสวัสดิ์คืนแรกบนยอดภูกระดึง
[CR] ลำนำรัก ฉบับภูกระดึง
.
.
................"บางทีคนเราก็ออกเดินทาง...เพียงเพื่อจะได้กลับมายืนในจุดเดิมของตัวเองอย่างมีความสุขกว่าเก่า".................
ทันทีที่ฉันได้อ่านประโยคนี้ ทำให้ฉันคิดถึงคำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันรัก
"สัญญานะ ไปด้วยกัน"
"ค่ะ"
"อย่าลืมนะ"
"หนูไม่ลืมสัญญาหรอก"
ซึ่งฉันไม่เคยคิดเลยว่าสัญญาในวันนั้นจะทำให้ฉันได้มายืนอยู่ ณ ตรงนี้
4 ตุลาคม 59
ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ฉันยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่ขวักไขว่ไปมา ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่มาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ การขึ้นไปพิชิตยอดภูกระดึง เมื่อมาถึงที่ทำการอุทยานฯแล้ว ต้องติดต่อชำระค่าธรรมเนียมกันก่อน ค่าเข้าอุทยานฯ คนไทย ผู้ใหญ่ ซ 40 บาท เด็ก : 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ : 400 บาท เด็ก 200 บาท
"ไง"
เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลังของฉันพร้อมกับใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดี เชฟ!!
"รอนานไหม" เขายิ้มให้ฉันเป็นเชิงขอโทษ
"ไม่ค่ะ เป็นไงบ้างคะเรียบร้อยดีหรือเปล่า" ฉันหันไปพูดกับเขาพร้อมยิ้มให้
"อืม แต่คนเยอะน่ะ เลยช้า ไหนพี่ดูหน่อยสิว่าหนูเอาอะไรมาบ้าง" เขาพูดพลางมองดูด้านหลังของฉัน
"โห! เอาอะไรมาบ้างเนี่ย" เขาทำท่าคิดหนักเมื่อเห็นสัมภาระที่ฉันนำมาด้วย
"ก็หนูไม่รู้ว่าต้องเอาอะไรมาบ้างนี่นา" ฉันหันกลับไปมองสัมภาระของตัวเอง แล้วยิ้มอายๆ
"บอกว่าให้เอามาแต่ของสำคัญำม่ใช่หรอ"
"ก็มันสำคัญหมดนี่ หนูเลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรออกบ้าง" ฉันพูดเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด
"เอาล่ะ ของเยอะแบบนี้คงแบกขึ้นไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นไปจ้างลูกหาบก็แล้วกัน" เขาพูดพร้อมเอามือมาขยี้หัวฉันเบาๆ แล้วเดินนำไปยังจุดจำหน่ายบัตรติดสัมภาระ ซึ่งค่าลูกหาบปัจจุบันคิดราคาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 30 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
ก่อนที่นักพิชิตยอดเขาทั้งหลายจะขึ้นพิชิตยอดภูกระดึงนั้น จะต้องเดินผ่านซุ้มทางขึ้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตั๋วนั้นจะมีสมุดให้เซ็นเข้า (ไม่จำเป็นต้องเซ็นทุกคน) โดยระบุว่าขึ้นกี่คน มีผู้ชายกี่คน และผู้หญิงกี่คน เมื่อทำเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาเดินทางของนักพิชิตยอดเขา ดังนั้น ไปกันเลย!!
ซำแฮก : กับน้ำแข็งใส
เราเดินกันขึ้นมาสักพักถึจุดพักจุดแรก เขาก็ให้ฉันนั่งรออยู่ตรงขอนไม้ ส่วนตัวเขาเองนั้นเดินไปที่ร้านค้า ซื้อน้ำดื่ม และขนมมา ซึ่งฉันว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครหลายคนก็ทำเมื่อไปเที่ยวหรือต้องเดินทาง แต่อีกสิ่งที่เขาถือมาด้วยทำให้ฉันแปลกใจ คือน้ำแข็งใสสีชมพูที่ราดด้วยนมหวานๆ ชามนั้น ว้าว! เหมือนรู้ใจเลยอะ
"กินนี่จะช่วยให้ไม่เหนื่อยมาก" เขารีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของฉัน
"ขอบคุณนะคะเชฟ เหมือนรู้ใจหนูเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ "
"ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ไอ้หมู ดูหุ่นสิมีอะไรที่ไม่ชอบบ้าง ฮ่าๆ" เขาพูดพลางหัวเราะชอบใจ
ไอ้หมูหรอ เรียกแบบนี้ตลอดเลย นี่กะจะบอกว่าเรากินไม่เลือกสินะ ฉันได้แต่คิดในใจแล้วแอบยิ้มอย่างมีความสุข
ซำแฮก คือซำแรก ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นจุดพักจุดแรกที่ต้องผ่านในการเดินขึ้นภูกระดึง ซำนี้จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน สามารถเลือกกินได้ตามความชอบ มีห้องน้ำไว้คอยบริการ สำหรับใครที่ยังไม่กินข้าวมาแนะนำให้กินตั้งแต่ซำนี้ และที่ขาดไม่ได้ อย่าลืมอุดหนุนน้ำแข็งใสด้วยนะ
หลังจากที่พักกินน้ำแข็งใสจนหายเหนื่อยแล้ว ผู้พิชิตยอดเขาอย่างเราก็เดินทางต่อ
ซำบอน เป็นจุดพักที่ห่างจากซำแฮกประมาณ 800 เมตร ซำนี้ไม่มีร้านอาหาร หรือห้องน้ำไว้คอยบริการ เหมาะสำหรับการพักชมวิว ถ่ายภาพสวยๆ
ซำกกกอก ห่างจากซำบอนประมาณ 360 เมตร โล่งออกไปทีซำนี้มีร้านอาหารหลายร้านเลยแหละ แต่...
"หมู" เสียงเรียกของคนเดินข้างๆฉัน
"คะเชฟ มีอะไรหรอ" ฉันขานรับพร้อมทำหน้าสงสัย
"เหนื่อยไหม จะพักซำนี้ไหม หรือค่อยไปพักซำข้างหน้า"
เหนื่อยค่ะ หิวด้วย ไม่ไหวแล้ว นี่ฉันก็ได้แค่คิดในใจแล้วบอกเขาไป "ไม่ค่อยเหนื่อยค่ะ ไปต่อได้สบายมากอยากถึงที่พักเร็วๆ"
"งั้นเราไปพักซำข้างหน้ากันนะ" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ฉันพร้อมเดินต่อ
หลังจากที่เราเดินทางมาเรื่อยๆ ผ่านพร่านพรานแป
"เชฟคะ ซำนี้มีร้านอาหาร"
"ไปพักซำข้างหน้าดีไหม ใกล้จะถึงแล้ว" แล้วเราก็เดินต่อ ผ่านซำกกหว้าก็แล้ว ซำกกไผ่ก็แล้ว ขากับเท้าเริ่มไม่ไหวแล้วด้วย และแล้วสิ่งที่เฝ้ารอคอยก็มาถึง...ร้านอาหาร เย้!!!!
ซำกกโดน เป็นจุดพักที่มีร้านอาหารเป็นจุดสุดท้าย แต่เราไม่ได้โหยหาอาหาร หรือสิ่งอื่นใดนอกจาก น้ำแข็งใส! น้ำแข็งใสของซำนี้มีลักษณะเป็นก้อนน้ำแข็งเล็กๆผสมกับน้ำหวานสีชมพู มีส่วนประกอบเป็นขนมปัง วุ้นมะพร้าว เฉาก๊วย หรือแล้วแต่เราจะสั่งตามความชอบ ราคาถ้วยละ 25 บาท แถมแม่ค้าใจดีด้วยนะ
"ไงไอ้หมู เจอของชอบเข้าไปหายเหนื่อยบ้างยัง" เขาถามพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์
"แหม! ก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอก ถ้ามีเชฟเดินอยู่ข้างๆหนูก็เดินต่อได้สบายเลย ฮ่าๆ" ฉันพูดพลางหัวเราะ เขาจะรู้หรือเปล่านะว่าฉันมีความสุขขนาดไหนที่ได้มาด้วยกัน
"ฮ่าๆ อิ่มแล้วก็เดินทางต่อกัน ใกล้ถึงแล้ว"
จากนั้นเราเดินทางผานซำแคร่ ซึ่งเป็นซำสุดท้ายของการพิชิตยอดภูกระดึง
หลังแป : กับป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง
หลังจากที่เดินทางมาเกือบสามชั่วโมงกว่า ก็มาถึงจุดหมายของเรานั่นก็คือ หลังแป เป็นจุดสูงสุดของภูกระดึง เมื่อขึ้นมาถึงหลังแปแล้ว จะเห็นจุดชมวิวตัวอำเภอภูกระดึงและผานกเค้า ก่อนที่จะเดินทางเรีบยอีก 4 กิโลเมตร ไปถึงจุดหมายที่พัก เขาว่ากันว่าหากใครขึ้นมาบนหลังแปแล้วไม่ถ่ายภาพกับป้าย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" จะถือว่าไม่เคยมาหรือมาไม่ถึงนั่นเอง
"เชฟถ่ายรูปให้หน่อย เดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึง ฮ่าๆ"
"จ้า แหม! ฮ่าๆ" เขาตอบรับพร้อมกับพากันหัวเราะเสียงดังจนใครแถวนั้นหันมาดู
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง
เมื่อเดินทางมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อันดับแรกต้องเข้าไปติดต่อลานกางเต้นท์หรือถ้าใครจองที่พักไว้ก็เข้ามาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้ที่นี่ค่ะ หลังจากได้ลานกางเต้นท์แล้ว สิ่งสำคัญของนักพิชิตยอดเขาที่ขาดไม่ได้คือ เราต้องมีพลังงาน การจะมีพลังงานได้คือ ราต้องเติมพลังงานด้วยการกิน เราสองคนเดินต่อไปที่ร้านอาหารธิดาน้อย เพื่อเติมพลังกันก่อน ซึ่งร้านตั้งอยู่ฝั่งทางไปน้ำตกวังกวาง (เป็นร้านอาหารตามสั่ง อาหารอร่อย ราคาจานละ 60 บาท ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับการแบกของขึ้นมาของพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ แม่ค้าใจดี มีน้ำชาให้จิบฟรีด้วยนะ) และเป็นการรอบลูกหาบที่เราให้หาบของขึ้นมา
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็ไปเดินเล่นที่ลานองค์พระพุทธเมตตา ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เราเดินเที่ยวชมจุดต่างๆและฟังเรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าไปด้วย ทำให้ตลอดระยะเวลาที่เราเดินไปด้วยกันจะมีเสียงหัวเราะของเราไปทั่วทั้งป่า
วังกวาง : กับการกางเต้นท์
หลังจากที่เราใช้เวลาในการเดินเที่ยวไปพอสมควร ก็กลับมายังที่พักแล้วรับสัมภาระที่ฝากเจ้าหน้าที่รับไว้ให้แล้วมายังลานกางเต้นท์ เราใช้เวลาไปกับการกางเต้นท์พอประมาณ แล้วก็ถึงเวลาเติมพลังอีกรอบ เราเดินไปที่ร้านอาหารธิดาน้อยเช่นเคย
"เป็นไงอร่อยไหม "
"ก็ดีค่ะ แต่หนูอยากกินฝีมือเชฟมากกว่า"
"เดี๋ยวมีโอกาสจะทำให้กิน"
"เย้! สัญญานะ"
"จ้า ฮ่าๆ"
วังกวาง 22.00 น. : ราตรีสวัสดิ์
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว... ที่นี่เขามีไฟฟ้าให้ใช้ถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นจะตัดไฟและจะเปิดให้อีกทีตอนตีห้า ดังนั้นเราต้องรีบทำธุระทุกอย่างให้เสร็จ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะตัดไฟ (ยกเว้นแต่คนที่ชอบความมืดนะคะ) ราตรีสวัสดิ์คืนแรกบนยอดภูกระดึง
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น