ทริปหนีช้างป่าบนภูกระดึง

ชีวิตนี้ผมขึ้นภูกระดึงมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2546 และครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2561 การขึ้นภูกระดึงครั้งที่ 2 เป็นการขึ้นภูกระดึงที่บันเทิงไม่ออกที่สุด เพราะเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง เมื่อ 20 ปีก่อนอย่าว่าแต่จักรยาน หรือหมูกะทะเลย แค่น้ำสะอาด ๆ จะกินบนภูยังแทบจะไม่มี ห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง มีอยู่ไม่ถึง 10 ห้อง นักท่องเที่ยวต้องเข้าไปทำกิจธุระในป่าเอา ทริปภูกระดึงปี 2546 จำได้ว่าเริ่มต้นจากการนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ในร้านอาหารที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต แล้วก็รวม ๆ กันขึ้นรถมาโผล่อยู่ที่โคราชเลย พวกเรานั่งรถทัวร์มาลงที่บ้านไอ้อ้วนราชันย์ในคืนวันที่ 4 ธันวาคม 2556 รอขึ้นรถโคราช/เชียงคานเที่ยวเที่ยงคืน ไปสว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2546 ซึ่งตรงกับวันพ่อ แต่ก่อนถนนจากโคราชไปภูกระดึงเป็นถนนสองเลนเล็ก ๆ ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง ผ่านชัยภูมิ ขอนแก่น ไปลงรถที่ผานกเค้าเพื่อขึ้นรถสองแถวไปยังที่ทำการอุทยานเหมือนทุกๆวันนี้ พวกเราไปถึงตีนภูกระดึงก็จ้างลูกหาบ ด้วยความที่วันนั้นเป็นวันหยุด คือเป็นวันพ่อ คนเยอะมาก เพื่อน 2 คน คือ ไอ้เก่ง ภาคภูมิ และอีบัว ชัยอนันต์ เลยตกลงจะล่วงหน้าไปจองเตนท์บนยอดภูกระดึงก่อน สมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต สัญญาณโทรศัพท์ก็มีแค่ตรงที่ทำการอุทยาน พอเริ่มเดินขึ้นภูไปแล้วจะไม่มีสัญญาณมือถืออีกเลยตลอดการเดินทาง คณะเราเลยแยกเป็น 2 ส่วน คือกลุ่มของไอ้เก่ง ที่ล่วงหน้าไปก่อน กับกลุ่มที่เหลือ ซึ่งค่อย ๆ เดินขึ้นภูกระดึงไป เพราะไอ้อ้วนราชันย์ตัวใหญ่มาก หนักร้อยกว่ากิโล ไอ้อ้วนเดินขึ้นเขาไปได้ไม่ถึง 10 เมตร ก็ตะคริวกินขา ต้องนั่งลงนวดเฟ้นให้มันพักใหญ่ ถึงเดินต่อได้ เดินไปได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ตะคริวกินอีก จนไอ้อ้วนมันบอกว่า พวกเราเปลี่ยนไปเที่ยวน้ำหนาวกันเถอะ เดี๋ยวมันจะออกค่ารถเอง ผมเลยวิ่งขึ้นเขา (ย้ำว่าวิ่งจริง ๆ วิ่งแบบสับขึ้นเขาชัน ๆ ไม่รู้ว่าทำไปได้ยังไง) เพราะจะรีบไปตามกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อนให้กลับลงมา แต่วิ่งยังไงก็ตามไม่ทัน คนก็เยอะมาก เดินขึ้นภูกันฝุ่นตลบไปหมด โทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ เลยต้องกลับลงมา บอกพวกเราที่อยู่ข้างล่างว่าตามพวกที่ขึ้นไปแล้วไม่ทันจริง ๆ พวกเราที่เหลือเลยต้องค่อย ๆ เดินขึ้นภูกระดึงไปอย่างช้าที่สุด เดินได้ 10 นาที ต้องหยุดนวดขาให้ไอ้อ้วน 10 นาที เดินตั้งแต่สว่าง จนบ่าย 3 แล้ว เราเพิ่งจะถึงซำแฮก ทั้งที่คนทั่วไปเดินจากที่ทำการอุทยานมาถึงจุดนี้ใช้เวลาเพียงไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น พอเวลาเริ่มบ่ายลง คนเดินขึ้นเขาเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ จนไม่เหลือใคร เหลือแค่พวกเราบนเส้นทางกลุ่มเดียว ที่เดินไป 10 นาที หยุดพัก 10 นาที เดินแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มหนาวเย็น เราก็ยังเดินไปไม่มีวี่แววว่าใกล้จะถึงยอดภู ในใจผมเริ่มกลัว เพราะไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อะไรสำหรับจะยังชีพในป่ามาเลย ไม่มีแม้แต่มีดปอกผลไม้สักเล่ม พอตะวันตกดิน เรายังเดินต่อไปได้ เพราะเป็นคืนเดือนหงาย ฟ้าสว่างไม่ต่างจากเวลากลางวัน ยังพอคลำทางไปได้เรื่อย  ๆ แต่พอเราเดินไต่ระดับสูงขึ้น ภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนจากป่าเต็งรังโปร่ง ๆ เป็นป่าทึบ ต้นไม้สูงบังพระจันทร์จนมิด พื้นมืดสนิท ผมเริ่มค้นหาข้าวของในกระเป๋าเพื่อจะทำโคมไฟ ซึ่งตอนนั้นมีแค่ขวดน้ำพลาสติก กุญแจบ้าน และเทียนหัก ๆ เล่มเดียว ระหว่างที่ยืนค้นกระเป๋าตัวเองหาอุปกรณ์ทำโคมไฟอยู่ เพื่อนคนนึงวิ่งกลับมาจากทางข้างหน้าพร้อมกลับบอกว่า “ช้าง ๆ !!”  แล้วอยู่ ๆ ก็มีลูกหาบสองคนวิ่งตัวปลิวสวนทางเราตามกันมา คนนึงบอกเราว่าข้างหน้ามีช้าง แกเลยโยนสัมภาระที่รับจ้างขนมากับรองเท้าตัวเองทิ้งไปหมดแล้ว ถ้าเจอรองเท้าให้ช่วยเก็บไว้ให้แกด้วย !! ตอนนั้นพอได้ยินคำว่าช้างก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก มองซ้ายขวาก็มีแต่ป่าไผ่กับต้นไม้สูง ๆ ไม่มีกิ่งก้านให้ปีนขึ้นไปได้ และไอ้อ้วนเพื่อนเราก็เจ็บขา นั่งอยู่ที่โขดหินกับกองสัมภาระ หมดปัญญาจะหนี เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรวมกันอยู่ตรงทางมืด ๆ ตรงนั้น ระหว่างที่นั่งอยู่ ก็ได้ยินเสียงช้างเดินแหวกกอไผ่อยู่ไม่ไกล ประมาณ 15 เมตร แต่ไม่เห็นตัวของมัน เพราะตอนนั้นมืดมาก ช้างก็ดูเหมือนจะแกล้งเรา คือไม่ยอมหลีกไปจากเส้นทางเดินเข้าป่าไปสักที เรายังได้ยินเสียงตัวมันเดินถูกับกอไผ่อยู่อย่างนั้น นั่ง ๆ อยู่ก็มีผู้หญิง 2 คน เดินตามขึ้นมา เลยสอบถามได้ความว่าเป็นเจ้าของร้านขายของที่ระลึกบนภู กำลังขนของขึ้นไปขาย แกก็บอกว่าไม่ต้องกลัว ให้เอาของกินและขนมต่าง ๆ ไปกองไว้ห่าง ๆ ตัวเรา ช้างมันมาหาของกิน มันไม่ทำร้ายเราหรอก เราก็เอาขนมกับของกินไปโยนรวมกันไว้ที่กลางทาง ห่างจุดที่พวกเรานั่งสัก 10 เมตร แล้วก็มานั่งรวมกันที่เดิม แต่มีพี่ผู้หญิงมานั่งเป็นเพื่อนด้วย สักพักก็มีลูกหาบเดินตามขึ้นมาอีก 2 คน คนนึงเป็นคนมีอายุ น่าจะสัก 50 ปลาย ๆ ได้ พอแกรู้ว่าเราติดช้างขวางทางอยู่ไปต่อไม่ได้ แกก็บอกว่าไม่ต้องกลัวให้เดินตามแกมา แล้วแกก็เดินแบกสัมภาระนำหน้าพวกเราไป พร้อมกับตะโกนโหวกเหวกไล่ช้างไปตลอดทาง เดินไปได้สักพักด้วยใจที่ระทึกมาก เพราะก็ยังได้ยินเสียงช้างอยู่ใกล้มาก ๆ ไม่เกิน 10 เมตร แต่ไม่เห็นตัว เดินไปได้หน่อยเดียวก็เห็นเจ้าหน้าที่อุทยานเดินนำขบวนลูกหาบประมาณเกือบ 20 คนเดินสวนลงมา แทบทุกคนถือคบเพลิง เป็นคบเพลิงจริง ๆ เหมือนกับกองทัพจะยกไปปราบแม่นากประมาณนั้น พอเจ้าหน้าที่อุทยานเจอเราก็รีบมาถามเลยว่า “มีเหล้ามามั้ย ขอกรึ้บหน่อย” เราก็บอกว่ามี แล้วก็เปิดเอาเหล้าในกระเป๋าที่พกไปกลมนึงเทใส่ฝาให้แกกิน แกกินแล้วเราก็ถามแกกลับไปว่ามีปืนมามั้ย แกบอกไม่มี แต่มีอะไรที่ดีกว่านั้น แล้วก็แกะกระเป๋าเอาถุงใส่น้ำใส ๆ ยื่นให้เราดู เราถามว่านี่อะไร แกก็ว่า “น้ำส้มสายชู ช้างมันกลัวมาก” เราก็มองหน้ากันประมาณว่า อิหยังวะ?? ระหว่างสนทนากัน  ใต้แสงคบเพลิง แสงไฟสาดไปเห็นกอไผ่ที่อยู่ข้างทางเดินจนสว่าง และก็ยังได้ยินเสียงช้างที่ยังเดินเบียดกอไผ่อยู่อีกฟากอย่างชัดเจน มันน่าจะอยู่ห่างเราไม่เกิน 5 เมตร ขบวนลูกหาบกับพวกเรารวมเกือบ 30 คนพร้อมกับคบเพลิงก็เริ่มขยับไปช้า ๆ แต่เหมือนเดินไปทางไหนช้างมันก็เดินขนานกับเราไปตลอด และแปลกที่ถึงจะอยู่ห่างกันแค่นั้นก็ได้ยินแค่เสียงตัวของมันถูกับกอไผ่ดังเอียดอาด ๆ แต่ไม่เห็นตัวของมันเลยเพราะป่าทึบมาก ๆ อึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงร้อง “แปร้นนน!!!!!” กับเสียงวิ่ง ตึก ๆๆๆ นาทีนี้คือทุกคนต่างวิ่งเอาตัวรอด พวกเราก็วิ่งขึ้นเขาชนิดที่ก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ขวางไว้ก็กระโดดพรวดเดียวข้ามพ้นเลยด้วยพลังของความกลัว ไอ้อ้วนที่ขาเป็นตะคริวมาตลอดทางก็ดันวิ่งขึ้นเขาได้ซะงั้น แล้วก็ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาว่าอย่าวิ่ง ๆ แต่เสียใจ ฉันมาไกลแล้ว ใครจะไปอยู่ พอพ้นช่วงที่เป็นโขดหินไอ้อ้วนก็ล้มตุบ หมดแรง พวกเราก็ต้องรีบไปปฐมพยาบาลมัน ด้วยการนวดขา แต่จนแล้วจนรอดคือ พ้นฝ่าตีนช้างมาได้ ไม่มีใครเป็นอะไร ส่วนผมเองมือถือตกหาย น่าจะเป็นตอนที่วิ่งหนี และไม่กล้ากลับไปหา เลยต้องทิ้งไป เจ้าหน้าทีอุทยานก็เดินตามขึ้นมา พาเราไปด่านของอุทยานที่ไม่ไกลจากตรงนั้นมาก ชื่อว่า ซำกกโดน และเขาก็ให้เราพักในที่พักตรงด่านนั้น ส่วนพวกเขาพากันไปผูกเปลนอนผิงไฟที่ใต้ต้นไม้หน้าด่าน พวกเราเลยยกเหล้าให้เขาเป็นการขอบคุณ ที่ได้ช่วยชีวิตพวกเราไว้ และพาเรามาพักในที่พักที่ดีมาก มีที่นอน มีห้องน้ำ ถึงจะไม่ได้สวยหรู แต่ก็ดีกว่าที่ลานกางเตนท์โข พอเราอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันเสร็จ ก็ออกมานั่งเล่นกันด้านหน้าที่พัก ซึ่งตรงนั้นเป็นหน้าผา มีศาลา 1 หลัง คืนวันนั้นเป็นวันพ่อ เราจึงมีโอกาสเห็นพลุวันพ่อที่จุดจากสนามหน้าที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แต่พอมองจากบนภูกระดึงลงไป พลุเหลือขนาดเพียงลูกเท่ากำปั้นของเราเท่านั้น สวยงามมาก เหมือนมองจากบนสวรรค์ลงไปโลกมนุษย์ เจ้าหน้าที่อุทยานก็เล่าให้เราฟังว่า พวกลูกหาบที่เราเจอเยอะ ๆ นั้นเขาก็ติดช้างขวางทางอยู่ลงเขาไม่ได้เหมือนกัน พอเช้าขึ้นเราก็พากันเดินขึ้นเขาต่อ ไปถึงยอดเขาหรือหลังแปเกือบเที่ยง และโดนกลุ่มที่ขึ้นมาหลังเรา 1 วันแซงหน้าไปตลอดทาง พอใกล้จะถึงหลังแป จะมีช่วงที่ต้องปีนหน้าผา ก็เห็นพวกเพื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนมาชะเง้อดู พร้อมกับสายตาดุด่า 555 มันบอกว่าเมื่อวานพอมันมาถึงยอดภู ไปจองเตนท์เสร็จก็รอเราแล้วรอเราอีก จนเดินย้อนจากลานกางเตนท์มารอที่หลังแป ก็ไม่เจอเราสักที มันรออยู่จนเย็นเลยไปแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามีเพื่อนหายไป แล้วกลับไปนอนรอ เช้าก็เดินจากลานกางเตนท์มารอพวกเราใหม่ มันคิดว่าเราคงทิ้งพวกมันกลับโคราชไปแล้ว มันบอกว่าถ้าวันนี้ยังไม่เจอเรา รุ่งขึ้นจะเก็บของนั่งรถทัวร์กลับไปด่าเราที่โคราช ก็เลยเล่าประสบการณ์ผจญภัยในป่าลึกให้พวกมันฟัง แล้วพากันเดินไปพักที่เตนท์ ... 
อีกเกือบ 20 ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2561 ผมได้มีโอกาสขึ้นภูกระดึงอีกครั้ง อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกหนแห่ง ห้องน้ำสะอาดสะอ้าน มีของกินอุดมสมบูรณ์ มีแม้แต่หมูกระทะ บนภูกระดึงเดี๋ยวนี้มีรถยนต์ด้วย เป็นรถที่ได้ข่าวว่าลูกหาบช่วยกันหาบชิ้นส่วนขึ้นไปประกอบทีละชิ้น ๆ ... ส่วนป่าไผ่ที่ผมเคยหนีช้างนั้นได้ถูกไฟป่าไหม้ไปหมดแล้ว แต่ด่านซำกกโดนที่ผมเคยค้างคืนยังอยู่ดีและถูกปรับปรุงซ่อมแซมทาสีให้สวยงามมากขึ้น แต่ข่าวช้างทำร้ายนักท้องเที่ยวก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมครับ 
แด่เพื่อน ๆ เจ้าหน้าที่อุทยาน และลูกหาบทุกคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่