ต้องเรียนทุกท่านด้วยความเคารพว่า มาเลเซียเป็นประเทศนอกสายตาของผมมาก ไม่มีความคิดที่จะไป อาจเป็นเพราะ อากาศ ภูมิประเทศ น่าจะมีความคล้ายคลึงกับประเทศเรา (ในความเห็นส่วนตัว) และคิดว่าการทานอาหาร น่าจะทานยาก จนกระทั่งแฟนผมต้องไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี เลยกะว่า จะหาทริปต่างประเทศสั้นๆ ไปเที่ยวกันก่อน แยกย้ายไปทำหน้าที่ โดยที่ตั๋วเครื่องบิน และ โรงแรมไม่แพง มาเลเซียจึงเป็นคำตอบสำหรับความต้องการนี้ครับ เป็นประเทศแรกในชีวิตที่ไม่รู้อะไรเลย และข้อมูลภาษาไทยน้อยมาก และ มีการอัพเดท ที่ท่องเที่ยวน่าจะประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว พยายามหาข้อมูลจากเว็บต่างชาติให้ได้มากที่สุด และการเดินทางแบบไม่รู้อะไรเลย (ที่เน้น-มากกว่าเดิน!) จากข้อมูลอันน้อยนิด ก็เริ่มขึ้น........
วันแรก ดอนเมือง – Genting highlands เมืองแห่งหมอก
ตี 4 ผมและแฟน มาถึงสนามบินดอนเมืองด้วยความเร่งรีบ ทันทีที่เท้าเหยียบสนามบิน ความสนุกก็เกิดขึ้นเลยครับ คือ ลืมมือถือไว้ที่บ้าน !! แต่ยังโชคดีที่เพื่อนรักสมัยมัธยม เป็นคนมาส่งจึงรบกวนให้มันไปบ้านและนำมือถือมาให้ ไฟล์ทของเราออก 7.10 ถึง กัวลาลัมเปอร์ 10.15 การที่เรามาเช้านั้นไม่ใช่เพราะกลัวตกเครื่องครับ แต่เป็นเพราะ สนามบินดอนเมืองนั้น เปิดตัว King Power lounge พอดี เลยต้องขอจัดกันซะหน่อยก่อนเครื่องขึ้นสู่น่านฟ้ามาเลเซียครับ ใครที่มีบัตร King Power เพียงแค่แสดงบัตรพร้อมตั๋วเครื่องบินก็สามารถเข้าได้เลยนะครับ พร้อมผู้ติดตามได้ 1 ท่าน
เนื่องจากเป็นช่วงเช้าก็จะมีคอนเฟลกให้ทาน พร้อมขนมต่างๆครับ
และเราก็มาถึง Kuala Lumpur International Airport 2 หรือ KLIA2 หรืออีกชื่อคือ Low-Cost Carrier Terminal หรือ LCCT
(โอ่ยยยยยยยย ย่อไรนักหนา) สนามบินนี้มีไว้เฉพาะสายการบิน Low Cost เท่านั้นครับ ไฮโซจะไปลงอีก ที่หนึ่งข้างๆกันครับ
จาก Gate ไป Immigration ใช้ระยะเวลานานพอสมควรครับ การเข้า ตม. ที่นี่ไม่ยากเลยครับ ไม่ต้องเขียนใบ Immigration แค่ถ่ายรูป และ สแกนลายนิ้วมือ คิดว่าน่าจะสะดวกสบายและเข้าเมืองง่ายใช่ไหมครับ ผมลง 10.15 แต่ปรากฏว่า ออกจาก ตม. 12.30 ครับ และที่สำคัญ ตม.ไม่พูดภาษาอังกฤษเลยครับ เราใช้อวจภาษากันล้วนๆ
หลังจากหลุดมาแล้ว อย่างแรกที่เราควรทำเลยครับคือ กิน ! แต่ด้วยความกลัวในรสชาตของอาหารต่างเมือง ทำให้เราเลือกอาหารที่เซฟๆกันก่อน นั่นคือ KFC ครับ ขอแนะนำ ทีเด็ดเลยครับ มาก็อยากให้ลองกินกันนั่นคือ Cheezy Twister อร่อยมากทุกอย่างคือลงตัว
(ที่นี่บ้าซอสพริกแบบน้ำจิ้มไก่แม่ประนอมด้วย เค้าจะเรียกว่า Chili Thai )
หลังจากเราทานเสร็จก็เดินลงไปชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วรถบัส ช่องขายตั๋วรถบัสจะอยู่ตรงประตูทางออก 2 ซึ่งจริงๆแล้ว สามารถเลือกไปจุดหมายปลายทางอื่นๆได้อีก สามารถสอบถามผู้ขายได้เลยครับ ส่วนผมเลือกไป Genting highlands ค่าตั๋วอยู่ที่ 35 ริงกิตต่อคน ตกประมาณ 280 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง นั่งชมสองข้างทางกันเพลินๆเลยครับ
ขอบอกว่าการคมนาคมของประเทศมาเลเซีย ตรงเวลามากครับ ห้ามเหม่อ ห้ามช้า ไม่งั้นจะตกรถรอบนั้นๆได้ง่ายๆครับ ของผมซื้อรอบ 13.30น. 13.30 รถมาจอด 13.35 รถออกเลยครับ เพราะทุกคนมายืนรอที่ Platform ที่ระบุไว้ในตั๋วก่อนเวลา 15 นาทีครับ เป๊ะมาก
รถจะไปส่งเราที่ Awana Transport Hub เพื่อนั่งกระเช้า Awana Skyway ไปยังโรงแรม First World สามารถซื้อตั๋วได้ที่ ชั้น 4 ของอาคารที่รถบัสมาจอดได้เลยครับ เป็นตู้กดบัตรใช้ง่ายครับ ที่นี่มี กระเช้าพื้นคริสตัลด้วยนะครับ ราคาธรรมดา 8 ริงกิต พื้นคริสตัล 50 ริงกิต (64 บาท กับ 400 บาท) เลือกแบบที่ต้องการสอดเงินเข้าไปและบัตรจะปริ้นออกมา จากนั้นเข้ากระเช้าประตู C ได้เลยครับ
คนเยอะมากแต่การจัดการดีมากครับยืนรอแปปเดียว
เมื่อขึ้นไปได้ซักพักจะเริ่มเห็นหมอก และอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะแตกต่างจาก ด้านล่างมากเลยครับ นั่งกระเช้าได้ 10 นาที ก็ถึงสถานีปลายทาง ซึ่งระหว่างทางสามารถลงแวะ สถานี Chin Swee Caves Temple ได้ฟรีครับ
ถือว่าคุ้มมากกับเมื่อเทียบกับราคา 8 ริงกิต
สถานีปลายทางจะตั้งอยู่ในห้างที่ไม่รู้ชื่อ แต่อลังการมากครับ มีร้านแบรนด์เนม ร้านอาหารเยอะมาก ส่วนพระเอกของที่นี่คือคาสิโนที่คนมาต่อคิว เหมือนแจกของฟรีช่วยน้ำท่วม ส่วนผม ขอบายเล่นไม่เป็นครับเลยไม่ได้เข้า โดยโรงแรมของเราต้องลงไป ชั้น 1 เพื่อเดินไปทางเชื่อมเข้า โรงแรม ตอนแรกคิดว่าไกล แต่พอออกจากห้างปุ๊ปก็ถึงโรงแรมเลยครับ สังเกตว่าถ้าถึง Starbucks กับต้นไม้ปลอมห้อยไฟก็ถึงหน้าโรงแรมแล้วครับ
โรงแรม First World เค้าว่ากันว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีห้องพักประมาณ 6,000 ห้อง การเช็คอินที่นี่ค่อนข้างสะดวกมากครับ ไม่เกิน 10 นาที ใครที่จองห้อง หรือ Walk-in มา สามารถเดินไปที่ตู้ Kios และทำเองได้เลยครับ โดยการนำพาสปอตของเราสแกนหน้าที่เป็นรูปเราเหมือนตอนสแกนผ่านตม. ตู้Kios ก็จะประมวณผลตามการจองของเรา จะมีการถามว่าอยากได้ห้องที่มีวิวมั้ย อยากให้รวมอาหารเช้าไหม ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่ม (แต่เราไม่ได้เลือกนะครับเสียดายเงิน) หลังจากเลือกตามความต้องการแล้วกด OK บัตรห้องก็จะออกมาจากตู้ พร้อมสลิปแจ้งเลขห้องเลยครับ สะดวก และรวดเร็วมากๆ
ส่วนคนที่จองผ่านเว็บจองโรงแรมต่างๆ ต้องติดต่อพนักงานที่ยืนหน้าตู้ Kios เค้าจะค้นหาชื่อเราจากในระบบการจอง และทำการ เช็คอินให้เราครับ ห้องที่โรงแรมนี้จะเป็นห้องพัดลม ทุกห้อง เพราะอากาศเย็นจนไม่ต้องใช้แอร์เลย แต่ด้วยความรีบจึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยครับ หลังจากได้ห้อง เก็บของเสร็จแล้วเราก็รีบไป วัด Chin Swee Caves
สามารถใช้รถบัสฟรี ของทางโรงแรมได้ อยู่บริเวณหน้าโรงแรม ช่องจอดคือ Line 2 สามารถสอบถาม Information ได้ครับ รถจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง
เดินทาง 15 นาที ก็ถึงวัดแล้วครับ กิจกรรมแรกที่เรามาถึงวัด นั่นก็คือ กิน!! เมื่อลงจากรถเรามุ่งหน้าเข้ามินิมาร์ทเลยครับ
ได้บะหมี่กึ่งรส Asam Laksa รสชาตคล้ายมาม่าต้มยำกุ้งบ้านเราแต่ไม่เผ็ดเลยครับ และเป็ปซี่ 1 กระป๋อง ซดน้ำร้อน+อากาศหนาว มันฟินมากครับ
หลังจากทานเสร็จ เราก็เดินชมวัด โดยสามารถขึ้นลิฟท์จากตัวตึก หรือออกมาขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้น 2 ได้เลยครับ สะดวกมากๆ ซึ่งที่วัดนี้จะมีหลายจุดให้เราได้สักการะ โดยไฮไลทของที่นี่คือ พระพุทธรูป และเจ้าแม่กวนอิม น่าจะเป็นหินแกะสลักองค์ใหญ่มาก สวยมากครับ เมื่อไหว้เสร็จก็เดิมตามป้ายวัดเพื่อชม เรื่องราว นรกสวรรค์ ผ่านรูปปั้น เพลินมากครับ นรกหลายขุมมากเลยครับ เลือกไม่ถูกเลยครับผม
หลังจากเดินชมวัดแล้ว เราก็เจอร้านของทอด เป็นคนแขกขาย โดยสามารถเลือกว่าอยากทานอะไร ราคาตามป้าย เลือกได้ด้วยว่าจะทอด หรือ ต้ม เราเลือกแบบทอด มีฟองเต้าหู ไส้กรอก และปลาเส้น ซึ่งทางร้านให้เลือกใส่น้ำจิ้มได้ตามใจชอบ เราเลือกน้ำจิ้มที่เหมือนพริกปั่นเผ็ดๆบ้านเรา + มายองเนส + ซอสมะเขือเทศ มั่วมากครับ แต่ปรากฏว่าอร่อยมาก เสียดายไม่ทันได้ถ่ายรูปหมดก่อนครับ ขากลับ มายืนรอที่เดิมที่ลงรถบัส และกลับเหมือนตอนแรกที่เรามาเลยครับ
จากนั้นเรามาเดินเล่นในห้างที่ไม่รู้ฃื่อ เพื่อตามหาร้านไก่ทอดสัญชาติมาเลเซีย ชื่อร้าน MarryBrown รสชาตของไก่นั้นค่อนข้างทั่วไป เนื้อนุ่ม มีกลิ่นเครื่องเทศครับ เราได้สั่ง Curry noodle และ Nasi ไก่ทอด 1 กล่อง เขาบอกว่ามา มาเลเซีย ให้ลองกิน Nasi ดูครับ ใน Nasi จะประกอบด้วย ข้าวสวย (ห่อในกระดาษ) ไก่ทอด ซอสคล้ายพริกเผาบ้านเรา ผักดอง และแผ่นแป้งกรอบๆ มาให้ พอลองทานแล้วรสชาตใช้ได้เลยครับ (ใน Genting ร้านนี้เรียกได้ว่าเซฟเงินเราดีเหมือนกันครับ)
เมื่อทานเสร็จเราก็เข้าเซเว่นว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างครับ สิ่งที่เจอคือ Twiggies tiramisu เหมือนขนมเค้กสอดไส้อร่อยมากครับ อารมณ์คล้าย ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก และที่น่าสนใจ คือ เบียร์Lemonade มีให้เลือก 2 ยี่ห้อด้วยกัน ผมเลยจัดมาทั้งคู่ครับ ในความรู้สึกให้ยี่ห้อ Anglla เนื่องจากมันหอม หวาน อร่อย กลมกล่อมมากเลยครับ ส่วนอีกยี่ห้อ รู้สึกว่ามันอ่อนไปหน่อยครับ ใครไปถึงก็ลองกันดูนะครับ
มาเลเซีย ::::: 3 วัน 2 คืน แบบไม่รู้ส้น ... อะไรเลย :::::
วันแรก ดอนเมือง – Genting highlands เมืองแห่งหมอก
ตี 4 ผมและแฟน มาถึงสนามบินดอนเมืองด้วยความเร่งรีบ ทันทีที่เท้าเหยียบสนามบิน ความสนุกก็เกิดขึ้นเลยครับ คือ ลืมมือถือไว้ที่บ้าน !! แต่ยังโชคดีที่เพื่อนรักสมัยมัธยม เป็นคนมาส่งจึงรบกวนให้มันไปบ้านและนำมือถือมาให้ ไฟล์ทของเราออก 7.10 ถึง กัวลาลัมเปอร์ 10.15 การที่เรามาเช้านั้นไม่ใช่เพราะกลัวตกเครื่องครับ แต่เป็นเพราะ สนามบินดอนเมืองนั้น เปิดตัว King Power lounge พอดี เลยต้องขอจัดกันซะหน่อยก่อนเครื่องขึ้นสู่น่านฟ้ามาเลเซียครับ ใครที่มีบัตร King Power เพียงแค่แสดงบัตรพร้อมตั๋วเครื่องบินก็สามารถเข้าได้เลยนะครับ พร้อมผู้ติดตามได้ 1 ท่าน
และเราก็มาถึง Kuala Lumpur International Airport 2 หรือ KLIA2 หรืออีกชื่อคือ Low-Cost Carrier Terminal หรือ LCCT
(โอ่ยยยยยยยย ย่อไรนักหนา) สนามบินนี้มีไว้เฉพาะสายการบิน Low Cost เท่านั้นครับ ไฮโซจะไปลงอีก ที่หนึ่งข้างๆกันครับ
จาก Gate ไป Immigration ใช้ระยะเวลานานพอสมควรครับ การเข้า ตม. ที่นี่ไม่ยากเลยครับ ไม่ต้องเขียนใบ Immigration แค่ถ่ายรูป และ สแกนลายนิ้วมือ คิดว่าน่าจะสะดวกสบายและเข้าเมืองง่ายใช่ไหมครับ ผมลง 10.15 แต่ปรากฏว่า ออกจาก ตม. 12.30 ครับ และที่สำคัญ ตม.ไม่พูดภาษาอังกฤษเลยครับ เราใช้อวจภาษากันล้วนๆ
หลังจากหลุดมาแล้ว อย่างแรกที่เราควรทำเลยครับคือ กิน ! แต่ด้วยความกลัวในรสชาตของอาหารต่างเมือง ทำให้เราเลือกอาหารที่เซฟๆกันก่อน นั่นคือ KFC ครับ ขอแนะนำ ทีเด็ดเลยครับ มาก็อยากให้ลองกินกันนั่นคือ Cheezy Twister อร่อยมากทุกอย่างคือลงตัว
(ที่นี่บ้าซอสพริกแบบน้ำจิ้มไก่แม่ประนอมด้วย เค้าจะเรียกว่า Chili Thai )
หลังจากเราทานเสร็จก็เดินลงไปชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วรถบัส ช่องขายตั๋วรถบัสจะอยู่ตรงประตูทางออก 2 ซึ่งจริงๆแล้ว สามารถเลือกไปจุดหมายปลายทางอื่นๆได้อีก สามารถสอบถามผู้ขายได้เลยครับ ส่วนผมเลือกไป Genting highlands ค่าตั๋วอยู่ที่ 35 ริงกิตต่อคน ตกประมาณ 280 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง นั่งชมสองข้างทางกันเพลินๆเลยครับ
ขอบอกว่าการคมนาคมของประเทศมาเลเซีย ตรงเวลามากครับ ห้ามเหม่อ ห้ามช้า ไม่งั้นจะตกรถรอบนั้นๆได้ง่ายๆครับ ของผมซื้อรอบ 13.30น. 13.30 รถมาจอด 13.35 รถออกเลยครับ เพราะทุกคนมายืนรอที่ Platform ที่ระบุไว้ในตั๋วก่อนเวลา 15 นาทีครับ เป๊ะมาก
รถจะไปส่งเราที่ Awana Transport Hub เพื่อนั่งกระเช้า Awana Skyway ไปยังโรงแรม First World สามารถซื้อตั๋วได้ที่ ชั้น 4 ของอาคารที่รถบัสมาจอดได้เลยครับ เป็นตู้กดบัตรใช้ง่ายครับ ที่นี่มี กระเช้าพื้นคริสตัลด้วยนะครับ ราคาธรรมดา 8 ริงกิต พื้นคริสตัล 50 ริงกิต (64 บาท กับ 400 บาท) เลือกแบบที่ต้องการสอดเงินเข้าไปและบัตรจะปริ้นออกมา จากนั้นเข้ากระเช้าประตู C ได้เลยครับ
เมื่อขึ้นไปได้ซักพักจะเริ่มเห็นหมอก และอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะแตกต่างจาก ด้านล่างมากเลยครับ นั่งกระเช้าได้ 10 นาที ก็ถึงสถานีปลายทาง ซึ่งระหว่างทางสามารถลงแวะ สถานี Chin Swee Caves Temple ได้ฟรีครับ
ถือว่าคุ้มมากกับเมื่อเทียบกับราคา 8 ริงกิต
สถานีปลายทางจะตั้งอยู่ในห้างที่ไม่รู้ชื่อ แต่อลังการมากครับ มีร้านแบรนด์เนม ร้านอาหารเยอะมาก ส่วนพระเอกของที่นี่คือคาสิโนที่คนมาต่อคิว เหมือนแจกของฟรีช่วยน้ำท่วม ส่วนผม ขอบายเล่นไม่เป็นครับเลยไม่ได้เข้า โดยโรงแรมของเราต้องลงไป ชั้น 1 เพื่อเดินไปทางเชื่อมเข้า โรงแรม ตอนแรกคิดว่าไกล แต่พอออกจากห้างปุ๊ปก็ถึงโรงแรมเลยครับ สังเกตว่าถ้าถึง Starbucks กับต้นไม้ปลอมห้อยไฟก็ถึงหน้าโรงแรมแล้วครับ
โรงแรม First World เค้าว่ากันว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีห้องพักประมาณ 6,000 ห้อง การเช็คอินที่นี่ค่อนข้างสะดวกมากครับ ไม่เกิน 10 นาที ใครที่จองห้อง หรือ Walk-in มา สามารถเดินไปที่ตู้ Kios และทำเองได้เลยครับ โดยการนำพาสปอตของเราสแกนหน้าที่เป็นรูปเราเหมือนตอนสแกนผ่านตม. ตู้Kios ก็จะประมวณผลตามการจองของเรา จะมีการถามว่าอยากได้ห้องที่มีวิวมั้ย อยากให้รวมอาหารเช้าไหม ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่ม (แต่เราไม่ได้เลือกนะครับเสียดายเงิน) หลังจากเลือกตามความต้องการแล้วกด OK บัตรห้องก็จะออกมาจากตู้ พร้อมสลิปแจ้งเลขห้องเลยครับ สะดวก และรวดเร็วมากๆ
ส่วนคนที่จองผ่านเว็บจองโรงแรมต่างๆ ต้องติดต่อพนักงานที่ยืนหน้าตู้ Kios เค้าจะค้นหาชื่อเราจากในระบบการจอง และทำการ เช็คอินให้เราครับ ห้องที่โรงแรมนี้จะเป็นห้องพัดลม ทุกห้อง เพราะอากาศเย็นจนไม่ต้องใช้แอร์เลย แต่ด้วยความรีบจึงไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลยครับ หลังจากได้ห้อง เก็บของเสร็จแล้วเราก็รีบไป วัด Chin Swee Caves
สามารถใช้รถบัสฟรี ของทางโรงแรมได้ อยู่บริเวณหน้าโรงแรม ช่องจอดคือ Line 2 สามารถสอบถาม Information ได้ครับ รถจะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง
เดินทาง 15 นาที ก็ถึงวัดแล้วครับ กิจกรรมแรกที่เรามาถึงวัด นั่นก็คือ กิน!! เมื่อลงจากรถเรามุ่งหน้าเข้ามินิมาร์ทเลยครับ
ได้บะหมี่กึ่งรส Asam Laksa รสชาตคล้ายมาม่าต้มยำกุ้งบ้านเราแต่ไม่เผ็ดเลยครับ และเป็ปซี่ 1 กระป๋อง ซดน้ำร้อน+อากาศหนาว มันฟินมากครับ
หลังจากทานเสร็จ เราก็เดินชมวัด โดยสามารถขึ้นลิฟท์จากตัวตึก หรือออกมาขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้น 2 ได้เลยครับ สะดวกมากๆ ซึ่งที่วัดนี้จะมีหลายจุดให้เราได้สักการะ โดยไฮไลทของที่นี่คือ พระพุทธรูป และเจ้าแม่กวนอิม น่าจะเป็นหินแกะสลักองค์ใหญ่มาก สวยมากครับ เมื่อไหว้เสร็จก็เดิมตามป้ายวัดเพื่อชม เรื่องราว นรกสวรรค์ ผ่านรูปปั้น เพลินมากครับ นรกหลายขุมมากเลยครับ เลือกไม่ถูกเลยครับผม
หลังจากเดินชมวัดแล้ว เราก็เจอร้านของทอด เป็นคนแขกขาย โดยสามารถเลือกว่าอยากทานอะไร ราคาตามป้าย เลือกได้ด้วยว่าจะทอด หรือ ต้ม เราเลือกแบบทอด มีฟองเต้าหู ไส้กรอก และปลาเส้น ซึ่งทางร้านให้เลือกใส่น้ำจิ้มได้ตามใจชอบ เราเลือกน้ำจิ้มที่เหมือนพริกปั่นเผ็ดๆบ้านเรา + มายองเนส + ซอสมะเขือเทศ มั่วมากครับ แต่ปรากฏว่าอร่อยมาก เสียดายไม่ทันได้ถ่ายรูปหมดก่อนครับ ขากลับ มายืนรอที่เดิมที่ลงรถบัส และกลับเหมือนตอนแรกที่เรามาเลยครับ
จากนั้นเรามาเดินเล่นในห้างที่ไม่รู้ฃื่อ เพื่อตามหาร้านไก่ทอดสัญชาติมาเลเซีย ชื่อร้าน MarryBrown รสชาตของไก่นั้นค่อนข้างทั่วไป เนื้อนุ่ม มีกลิ่นเครื่องเทศครับ เราได้สั่ง Curry noodle และ Nasi ไก่ทอด 1 กล่อง เขาบอกว่ามา มาเลเซีย ให้ลองกิน Nasi ดูครับ ใน Nasi จะประกอบด้วย ข้าวสวย (ห่อในกระดาษ) ไก่ทอด ซอสคล้ายพริกเผาบ้านเรา ผักดอง และแผ่นแป้งกรอบๆ มาให้ พอลองทานแล้วรสชาตใช้ได้เลยครับ (ใน Genting ร้านนี้เรียกได้ว่าเซฟเงินเราดีเหมือนกันครับ)
เมื่อทานเสร็จเราก็เข้าเซเว่นว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างครับ สิ่งที่เจอคือ Twiggies tiramisu เหมือนขนมเค้กสอดไส้อร่อยมากครับ อารมณ์คล้าย ยูโร่คัสตาร์ดเค้ก และที่น่าสนใจ คือ เบียร์Lemonade มีให้เลือก 2 ยี่ห้อด้วยกัน ผมเลยจัดมาทั้งคู่ครับ ในความรู้สึกให้ยี่ห้อ Anglla เนื่องจากมันหอม หวาน อร่อย กลมกล่อมมากเลยครับ ส่วนอีกยี่ห้อ รู้สึกว่ามันอ่อนไปหน่อยครับ ใครไปถึงก็ลองกันดูนะครับ