คืนวิปริต......1

กระทู้สนทนา
มัดมือชก ให้คุณสวมบทบาท พระเอก ของเรื่องนี้


..................


มืดแล้ว                

               
              
             พายุฝนทำท่าจะกระหน่ำลงมาเป็นครั้งแรกในรอบสองปี ฟ้าคำรามกระหึ่มครืนครั่นเต็มไปด้วยพลานุภาพมหาศาล อสนีบาตตวัดกราดเกรี้ยวฟากฟ้ามืดมนสยบสรรพสิ่ง
            
             คุณ
          
             หมายถึงบุรุษกร้านเกรียมแข็งแรงกำยำบนเรือนร่างสูงเกือบหกฟุต ในเสื้อผ้าชุดเดินป่าคร่ำคร่า อาศัยแสงของสายฟ้าที่แลบอยู่เป็นระยะ นำทางลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบรกร้าง ต้นไม้ยืนต้นเหยียดกิ่งก้านสาขาหงิกงอราวหล่อเลี้ยงด้วยความทุกข์ทรมาน ปรากฏให้เห็นตามรายทางทุกครั้งเมื่อประกายสายฟ้าสว่างวาบ
          
             บริเวณนี้คงเป็นท้องทุ่งนานอกเมืองที่ตายไปแล้วจากการขาดน้ำฝนเป็นเวลานาน คุณสังเกตเห็นแสงไฟริบหรี่จากเนินเขาข้างหน้า อาจเป็นโรงนา กระต๊อบ บ้านหรืออะไรสักอย่างที่พอพำนักพักพิงได้ ถ้าคุณไม่ต้องการเดินโดดเดี่ยวกลางผืนทุ่งนารกร้างตายซาก ก็ต้องตรงไปยังแหล่งของแสงไฟ ซึ่งหมายถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตแบบใดก็ตาม คุณมาถึงโรงนาเก่าตอนพายุฝนเริ่มกระหน่ำลงมาพอดี
            
             ความจริงพายุฝนตั้งเค้ามาหลายวันแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้มตลอดวันตลอดคืน เวลากลางวันเมื่อคุณมองท้องฟ้าจะเห็นกลุ่มเมฆหมอกควันสีเทาหนาทึบ  ปิดบังแสงอาทิตย์จนบรรยากาศสลัวรางเหมือนยามค่ำคืน ความจริงคุณไม่เคยเห็นแสงอาทิตย์สว่างจ้าเต็มที่มาหลายปีแล้วตั้งแต่เริ่มเกิดเหมันต์นิวเคลียร์
            
             คุณคงจำได้ถึงวันขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์หลายลูกหลุดออกมาจากฐานโดยไร้การบังคับควบคุม มันเป็นภัยร้ายแรงสำหรับมวลมนุษยชาติ  ไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุแท้จริงคืออะไร ประชากรโลกลดลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในร้อย หลายพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตอันตราย  หรือเขตควบคุมเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีและโรคร้ายภัยพิบัติ
          
             ทั่วโลกเต็มไปด้วยความวิปริตของดินฟ้าอากาศและสังคมมนุษย์  อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โลกตกอยู่ในความมืดมัวหนาวเย็นอันเป็นผลจากฝุ่นจำนวนมหาศาลในชั้นบรรยากาศ  ลดทอนความร้อนจากดวงอาทิตย์
            
             เป็นโรงนาอย่างที่คิดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรก
            
             แสงไฟลอดวับแวมออกมาจากรอยแตกของผนังโรงนา  บอกว่ามีคนอยู่ข้างใน เม็ดฝนเริ่มเทลงมาอย่างหนัก  ทำให้คุณไม่มีเวลาลังเลในการเปิดประตูไม้เข้าไป  พร้อมการก้มศีรษะแสดงการขออภัยต่อสถานที่ หรือใคร อะไรก็ตามที่อยู่ข้างในมาก่อน
            
             กลิ่นควันไฟกลิ่นฟางข้าวเก่าปนกับกลิ่นเหม็นอับสาบสางลอยอยู่ในบรรยากาศ กองไฟขนาดย่อมก่อบนพื้นดินกลางโรงนา  ปล่อยควันสีขาวออกไปทางช่องระบายอากาศ ชายชราซูบผอมในชุดเสื้อผ้าซีดเก่าท่าทางเหมือนพวกขอทาน  หรือคนจรจัดกำลังนั่งเอาไม้เขี่ยกองไฟให้ลุกโชนอย่างเงียบงัน  ถ้ามีคนบอกว่าแกเพิ่งหลุดออกมาจากโลกหลังความตายคงไม่มีใครกังขา แสงไฟสาดส่องใบหน้าซีดเหลืองเหมือนผีตายซาก แกหันมามองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ชีวิตจิตใจ  ก่อนก้มหน้าทำธุระของแกต่อไปอย่างไม่สนใจอะไรเลย ในโลกไม่มีอะไรมีค่ามากกว่ากองไฟเบื้องหน้า
            
             สำหรับคุณแล้วการมองแวบเดียว  คือคำทักทายและเข้าใจในสถานการณ์
            
             มุมห้องลึกสุดทางขวามือของโรงนา บางคนนั่งก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังทำธุระง่วนอยู่ด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ เขาไม่สนใจแม้แต่จะเงยหน้ามอง  แต่คุณก็ไม่สนใจจะซักถามทักทายเช่นกัน อยู่ใครอยู่มันเป็นการดีที่สุด  จึงเดินเลี่ยงไปยังมุมด้านซ้ายมือข้างใน ปลดถุงใบเขื่องออกจากบ่าวางพิงผนังไม้ด้านหลัง ปลดเป้สะพายหลังตามออกไปก่อนถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ปูพื้น
            
             ความจริงมุมโรงนาก็มีฟางข้าวอยู่เต็มแต่คุณมีทางเลือกดีมากกว่าการนอนกับพื้นฟาง
            
             สภาพโดยทั่วไปของโรงนาแม้จะเก่าแก่รกร้างจนบางส่วนของผนังแตกปริ แต่ยังคงแข็งแรงจากแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่  รายเรียงกันเป็นผนังกันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี หลังคาทำมาจากแผ่นไม้หนาวางซ้อนเรียงกันเหมือนแผ่นกระเบื้อง ต่ำลงมามีช่องลมเล็กเรียงรายรอบด้านเป็นทางระบายควันไฟออกไปหรือรับลมฝนให้สาดเข้ามาได้บ้าง
    
             คุณทรุดตัวลงนั่งพิงผนังไม้ของโรงนา จึงค่อยเริ่มสังเกตได้ว่า  คนนั่งอยู่มุมห้องด้านซ้ายเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมใส่ชุดเรียบร้อยเหมือนพนักงานบริษัทหน้าตาท่าทางดี  กำลังนั่งเขียนอะไรอยู่อย่างเงียบงัน โดยอาศัยแสงเทียนสามสี่เล่ม  จุดวางบนกล่องไม้ในตำแหน่งได้รับการกำบังลมจากเศษของลังไม้ผุกร่อน  และเขาก็อาศัยลังไม้แทนโต๊ะเขียนหนังสือ
          
             เจ้าหนุ่มหน้ามลดูไปแล้วไม่น่ามีพิษมีภัย  และคงจะบ้าเขียนหนังสือสุดขั้ว เพราะในสถานการณ์อันชวนไม่น่าไว้วางใจยังมีหน้ามานั่งเขียนหนังสือได้อย่างเหลือเชื่อ   ด้วยสีหน้าท่าทางเปี่ยมสุขผิดวิสัยคนปกติเป็นอย่างมาก   เขียนหนังสือหรือบทกวีในสภาวะโลกวิบัติใครเขาจะมาเสียเวลาอ่าน
            
             เวลาผ่านไปสิบกว่านาทีเจ้าหนุ่มนักเขียนค่อยเงยหน้าขึ้นมาดูโลก ตามองกันโดยบังเอิญ เขาค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย
            
             “ผมเป็นนักเขียน..เป็นนักกวี"
            
             เขาคงบอกออกมาอย่างนั้นเพราะเสียงลมฝนกระหน่ำดังกลบเสียงของเขา  จนได้ยินไม่ค่อยชัดแต่ก็พอจับใจความได้   ใครถามแกวะ... คุณนึกในใจ  ฉันไม่คุยกับแกโว๊ย...แต่อีกฝ่ายอย่างคงยิ้มพลางพูดต่อไป
            
             "นักเขียนกว่าจะเค้นถ้อยคำและความคิดออกมาได้  บางทีต้องอาศัยบรรยากาศอันเหมาะสม พอดีคืนนี้เป็นบรรยากาศเป็นใจมากเหลือเกิน โอ..ให้ตายเถอะ "
            
             นักเขียน นักกวี ในยุคโลกวิบัติ และคืนวิปริตมันไม่แปลกไปหรืออย่างไร
          
             "เขียนเกี่ยวกับอะไร"
            
             คุณถามไปอย่างนั้นเองไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังขณะพยายามถอดรองเท้าหนังหุ้มข้อออก   และพบว่ามันเต็มไปด้วยฝุ่นดินสกปรกจากการเดินทางยาวนาน  เจ้าหนุ่มนักกวีไม่ตอบในทันที  หันไปวางปากกาลงควานมือไปหยิบซองบุหรี่ออกมา  บรรจงดึงมวนบุหรี่อย่างพิถีพิถันจนน่าถีบก่อนจุดสูบด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ดูเหมือนตัวเขาเองก็ไม่สนใจว่าคุณจะพูดอะไร  แต่สักพักหนึ่งก็พูดออกมาหลังม่านควันพ่นออกจากปาก
            
             "บรรยากาศเหมาะกับเรื่องของความตาย  ความมืด การฆาตกรรม ภูตผีปีศาจ ผมจะไม่แปลกใจเลยว่าบรรยากาศอย่างนี้ถ้าจะมีพวกผีสางนางไม้ทั้งหลายเดินเข้ามาร่วมหลบฝนด้วย แหม..บรรยากาศมันเป็นใจนี่ครับ  และก็จะไม่แปลกใจเลยล่ะครับว่าลุงขอทานที่กำลังนั่งเฝ้ากองไฟอยู่กลางห้อง  ตกดึกพอพวกเราหลับแกจะลุกขึ้นมา  กลายเป็นฆาตกรโรคจิตจับขวานมาสับพวกเราออกเป็นชิ้น ก่อนเฉือนเอาเนื้อไปย่างไฟกินหรือไม่ก็กินเครื่องในเราสด ๆ อ้อ... ผมล้อเล่น ขอโทษด้วยถ้ามันจะทำให้คุณกลัว"
         
             คุณไม่กล่าวว่ากระไรกับคำพูดชวนประสาทเสียของเจ้าหนุ่มนักเขียนหลุดโลก เขาหยุดพล่ามไปพักหนึ่งเพราะสนใจอยู่กับควันบุหรี่  และการครุ่นคิดเหมือนพยายามหาความหมายจากควันบุหรี่ครู่ใหญ่จึงหันมาบอกด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
              
             "ลืมบอกไป ลุงแกหูหนวก แกไม่ได้ยินเราหรือใครพูดหรอกครับ"
            
             ว่าแล้วเจ้าหนุ่มนักเขียนเขี่ยบุหรี่กับลังไม้ ก่อนหยิบปากกาสร้างงานต่อไป คุณเพิ่งสังเกตเห็นวิธีการเขียนหนังสือของนักเขียนว่าเป็นแบบนี้เอง บทจะเขียนก็ก้มหน้าก้มตาเขียนบางทีก็หยุดนั่งทำตาลอยยิ้ม หรือไม่ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดสลับไปมา  หวังว่าเขาคงไม่เผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นห้องเต็มไปด้วยเศษฟางรอบตัวเขา
            
             เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงพร้อมลมกระโชก  โรงนาสะท้านสะเทือนเหมือนจะพังทลาย คุณภาวนาในใจ อย่าให้เป็นพายุสายฟ้า
            
             ไม่ใช่พายุธรรมดาแต่มันเป็นกลุ่มสายฟ้าผ่าต่อเนื่องไม่ขาดสาย มองดูคล้ายบิดเป็นเกลียวส่ายงวงลงมาจากฟ้า  ลากผ่านทำลายสรรพสิ่งท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นวินาศสันตะโร  ราวระเบิดนิวเคลียร์ถล่ม  ทิ้งร่องรอยความพินาศ เปลวไฟ ความตายไว้เบื้องหลังพลิกแผ่นดินแตกแยกลุกไหม้เป็นทางยาว ปรากฏการณ์ธรรมชาติพิสดารเพิ่งเกิดหลังจากโลกตกอยู่ในยุคมืด
            
             น้ำฝนไหลหยดลงมาบ้างจากหลังคาตามรอยแตก คุณขยับตัวหลบน้ำฝนรั่วจากหลังคา อากาศคืนนี้เย็นจัดจนหายใจออกมาเป็นไอสีขาว อาศัยไอร้อนกองไฟของลุงขอทานก็แทบไม่มีผลอะไร   ฝนกระหน่ำหนักไม่นานก็ค่อยซาลง  แต่เสียงหวิดหวิวของลมผ่านช่องลมและรอยแตกของผนังบอกให้ทราบว่าคืนนี้พักอยู่ในโรงนาดีที่สุด  
            
             ตัวเมืองอยู่ห่างเกินกว่าจะเดินฝ่าลมฝนและความมืดไปถึง ตอนกลางคืนทั้งเมืองถูกตัดพลังงานจึงตกอยู่ในความมืด ผู้คนพากันปิดบ้านมิดชิดไม่มีใครกล้าเดินออกมาตามถนน ถ้าไปถึงก็ทำธุระอะไรไม่ได้อยู่แล้ว คุณเอนหลังพิงผนังโรงนา หลับตาพยายามข่มใจให้สงบ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งลืมตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงตะเบ็งลั่นของเจ้าหนุ่มนักเขียนสติแตกว่า

             “เฮ้...ผมนึกออกแล้ว บรรยากาศดีๆ มันต้องมีตัวละครเข้ามาเพิ่มเติมอีก  แค่นี้ไม่พอหรอกครับ มีตาลุงประหลาดหูตึง  มีนักเขียนปีศาจอย่างผม  มีคนท่าทางนักล่านรกอย่างคุณ  ยังครับ ยังไม่พอ  ต้องหาตัวละครมาอีก”

             มองไปเห็นเจ้าหนุ่มหน้ามลลุกขึ้นยืน กำหมัดแน่น สายตาท่าทางราวพยายามสะกดพลังแห่งจินตนาการไม่ให้เอ่อล้นทะลักขึ้นมาจนควบคุมไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองทะลุหลังตาออกไปไกลแสนไกล ก่อนส่ายหัวพลางยิ้มให้กับตัวเอง นั่งลงเขียนหนังสือต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

             ไอ้บ้าเอ๊ย....คุณนึกในใจ  ทำไมต้องมาอยู่กับคนบ้าด้วยวะ ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็ท่าทางไม่มีอะไรนอกจากทำความรำคาญให้เท่านั้น แต่ก็ชวนสงสัยว่า   เจ้านักเขียนจิตหลุดทะลึ่งมาอยู่ในโรงนาเปล่าเปลี่ยวห่างไกลผู้คนได้อย่างไร

             “นี่คุณ  ขอบอ่านนิยายผีๆไหม”

             ไม่ทันเท่าไรเขาก็ตะโกนถามมาอีก  ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรเจ้าของคำถามกวนประสาทก็หัวเราะแล้วพูดต่อไปว่า

             “ไม่ต้องตอบก็พอจะรู้ว่าคุณคงไม่ชอบอ่านหนังสือหรอก  แบบว่าผมเป็นนักเขียนมีโสตสัมผัสพิเศษเกี่ยวกับงานศิลปะ จะบอกให้นะครับ ว่า เรื่องเล่าเก่าแก่เราเรามักคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เช่นเรื่องภูตผีปีศาจ วิญญาณหลอน แต่พอเวลาผ่านไป ความคิดความเชื่อก็เปลี่ยนไปด้วย ดูอย่างในคืนนี้รับรองเลยว่าพวกผีสางต่างๆ ออกมาเผ่นพ่านกันเต็มไปหมดล่ะครับ แหม..บรรยากาศมันเชิญชวน”

             หลังพูดจบเขาก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงกับพื้นไม้อย่างสุดแสนเสียดาย ราวกับว่าสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตมอดหายไปด้วย แน่นอนว่าคุณไม่ได้ตอบอะไรให้มากเรื่อง
          
              เสียงกรอบแกรบดังออกมาจากกองฟืนข้างผนัง คุณเอื้อมมือลงแตะมีดที่เอว นั่นเป็นอาวุธอย่างเดียวถ้าหากมันเป็นงู  หรือสัตว์มีพิษมีภัย ลองเอาเท้าถีบไปกองฟืนหยั่งเชิง ไม่ใช่งู...แต่เป็นหนูนาตัวใหญ่สามสี่ตัววิ่งหน้าตาตื่นออกมา บางทีมันอาจหลบฝนจากข้างนอกก็เป็นได้หรือไม่ก็อาศัยในโรงนามาก่อนแล้วออกมาประท้วงการรุกราน
            
             ชายชราขอทานบังเอิญเห็นพอดีแกทำตาวาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก ค่อยหยิบไม้เท้าวางอยู่ข้างตัวขึ้นอย่างระมัดระวังรอคอยอย่างอดทนจนหนูเคราะห์ร้ายตัวหนึ่งบังเอิญวิ่งผ่านเข้าไปใกล้จึงตีเปรี้ยงเดียว  แม่นยังกับจับวาง หนูชะตาขาดชักกระตุกดิ้นพราดอยู่ครู่หนึ่งก่อนคอพับไปตาของมันลืมโพลงขาวขุ่น คุณยังเห็นเลือดไหลออกมาจากปากเป็นลิ่ม
            
             ชายชราหยิบหางของมันชูขึ้นดูกับแสงไฟอย่างพอใจ   เลียริมฝีปากไปมาก่อนเลือกไม้ขนาดพอเหมาะ เสียบจากก้นทะลุปากเจ้าหนูเคราะห์ร้ายยื่นวางเหนือ
            
             เปลวไฟ  กลิ่นเหม็นไหม้ของขน หนังและเนื้อเริ่มกระจายไปทั่วโรงนา
            
             อาหารเย็นของชายชรา
              


.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่