คืนวิปริต......3

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36680985

บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36698264



             ถึงจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่คุณยังไม่อาจข่มตาลงให้หลับสักนิด เพราะต้องคอยระวังเจ้ายักษ์ปักหลั่นซึ่งไม่ยอมนอนเหมือนกัน หลังจากการถูกส่งให้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมด้วยกำปั้น เจ้านั่นดูเหมือนจะไม่กล้าวุ่นวายอะไรอีก นอกจากออกอาการเกรี้ยวกราดกับดินฟ้าอากาศ

             คนสงบนิ่งที่สุดเป็นตาลุงผู้นั่งดูแลกองไฟอยู่กลางโรงนา ดูเหมือนว่าแก่ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากกองไฟ แม้แต่ขณะที่คุณใช้กำปั้นไล่ต้อนเจ้ายักษ์ถอยหลังผ่านเฉียดกองไฟของตาลุงไปเพียงนิดเดียว แกยังไม่สนใจแม้แต่จะมอง เจ้าหนุ่มนักเขียนสติแตกก็ยังไม่ยอมนอน แต่ไม่ได้สนใจเจ้ายักษ์ผู้นั่งอยู่มุมห้องด้านตรงกันข้ามสักเท่าไร  ยังคงทำตาลอยสลับกับการก้มหน้าลงไปเขียนอะไรตามประสาบ้า

             สายตาของคุณเห็นเจ้ายักษ์คว้าปืนลูกซองแฝดขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังทำความสะอาด และจงใจทำเสียงดังราวกับจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองมีปืน  แต่คุณไม่ได้หนักใจอะไรมากนัก เพราะตำแหน่งมุมห้องเยื้องไปยังจุดที่เจ้ายักษ์นั่งอยู่ไม่ได้ไกลเกินระยะขว้างมีดเดินป่าของคุณแน่นอน  แม้จะมีชายชราและกองไฟกั้นกลาง แต่ไม่เป็นปัญหา สำคัญว่าใครจะลงมือก่อนเท่านั้น ระหว่างมีดกับปืน

             ทันใดนั้นเองมีเสียงปืนระเบิดตูมขึ้นสะท้านก้องไปทั้งโรงนา  กระสุนลูกซองพุ่งขึ้นไปปะทะหลังไม้ของโรงนาซึ่งเป็นแผ่นไม้หนาจนเศษไม้กระเด็นเวียนว่อน

             คุณลุงประหลาดไม่มีอาการสะดุ้งตกใจอะไรสักนิด หญิงสาวลึกลับข้างกายร้องด้วยความตกใจกอดคุณแน่นแบบไม่คิดชีวิต

             เจ้าหนุ่มนักเขียนสะดุ้งแล้วอ้าปากหวอ แต่สายตาไม่ได้มีแววตื่นตกใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพอสิ้นกลิ่นควันเสียงปืนเขากับยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ตบมือฉาดใหญ่ร้องว่า

             “สุดยอดเลยคุณพี่  เสียงปืนสะท้านกังวานโรงนา มันโคตรสะใจเลย ขออีกนัดได้ไหมพี่ แหม...มันซ่านซาบเข้าไปถึงขั้วตับขั้วไต ปลดปล่อยครับปลดปล่อย  ผมรู้สึกอย่างนั้นเลย โอย...สะใจโว้ย.....ผมจะเอาไปเขียน”

             “ปืนมันลั่นว่ะ...”   เจ้ายักษ์หัวเราะร่าเหมือนกันก่อนห่อปากเป่าลมเข้าปากกระบอกปืนด้วยท่าทางยียวน   ปากบอกว่าปืนลั่น แต่คงไม่มีใครเชื่อ เป็นการแสดงศักดาว่าตัวเองมีปืนมากกว่า   “นัดต่อไปไม่รู้จะเผลอลั่นออกมาอีกเมื่อไร โดนหัวใครก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจโว้ย”

             "ขออีกนัดได้ไหมพี่  แหม  มันสะใจจริงๆ โดนใจครับโดนใจสุดๆ”  

             เจ้าหนุ่มนักเขียนยังไม่เลิก  ร้องขอลูกปืนจนคุณเองชักจะเริ่มหมั่นไส้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะบ้าไปถึงไหน  เจ้าของปืนลูกซองโบราณแยกเขี้ยวสบถออกมาคำหนึ่ง แต่ไม่ต่อปากต่อคำกับไอ้หนุ่มหน้ามลคนบ้าบอ ซึ่งยังคงเจื้อยแจ้วต่อไปด้วยสีหน้าท่าทางไม่สนโลก

             “แบบว่าเสียงปืนในค่ำคืนเหน็บหนาว ในโรงนากลางดินแดนเปลี่ยวร้าง เสียงดังตูมสนั่นพร้อมประกายไฟวาบ ใจหัวผู้คนสั่นสะท้านเลือดลมพลุ่งพล่านราวคนอยู่ในอารมณ์รักร้อนเร่า พระเอกนางเอกของเรื่องพลอดรักกันท่ามกลางกลิ่นควันเปลวไฟเสียงปืน และความตายรอบข้าง  โอ.....มันสุดยอด  ฉากแบบนี้ไหนเลยจะพบเจอง่ายดาย”

             “ข้าชักรำคาญแกมากทุกทีแล้วโว้ย   เอาลูกปืนไปกินสักลูกยัดปากแกดีไหม”

            เจ้ายักษ์ลุกพรวดพราดขึ้นอย่างคนเริ่มอารมณ์ฉุนเฉียว ยกปืนลูกซองเล็งไปยังเจ้าหนุ่มนักเขียน ผู้ยังคงนั่งมองด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มปนจินตนาการหลุดขั้ว

             “ยิงเลยพี่ ผมจะได้ซึมซับรสชาติแห่งลูกปืนดูสักทีว่าดีขนาดไหน จะได้เอาไปเล่าให้พวกในนรกฟัง โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหน”

             นิ้วของเจ้ายักษ์แตะไกปืนแล้ว แต่หลังจากยืนมองสักครู่ก็ลดปืนลงข้างกายนั่งลงแล้วหัวเราะเสียงโหดๆ เป็นเชิงบอกว่า ไม่อยากยิงคนบ้าให้เสียลูกปืน  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณนั่งดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาเห็นแล้วอดยอมรับนับถือลูกบ้าของเจ้าหนุ่มนักเขียนไม่ได้   นี่มันบ้าขนาดไม่กลัวลูกปืนเลยหรืออย่างไร....

            หลังจากนั้น คุณจึงเริ่มกลับมาสนใจหญิงสาวลึกลับผู้กำลังก้มหน้าก้มตากอดคุณแน่น ราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง

             เธอเงยหน้าขึ้นมามอง  คุณไม่แน่ใจว่าเห็นอะไรอยู่ใสแววตาของเธอ

             ความเศร้า.....ความเหงา.....ความกลัว......ความสับสน.....ความปวดร้าว......หรือทุกอย่าง    เธอมีลมหายใจ ร่างกายอบอุ่น มีชีวิตและความรู้สึก

              หลังการพูดคุยทางสายตาเนิ่นนาน ก่อนคุณจะสัมผัสริมฝีปากเย็นชืดของเธอ
              
             และเขี้ยวยาวคมกริบ
          
             วูบนั้นคุณรู้สึกถึงรสชาติอันบรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง ทั้งความประหลาดใจและตกใจผสมผสานปนเปกันไปว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา  ใช่แล้ว.....เธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างแน่นอน แค่การปรากฏตัวของเธอก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
          
             "คุณเป็นผีดูดเลือด..."  คุณดันไหล่ของหล่อนให้ออกห่างจ้องตาเขม็ง  น่าแปลกว่าคุณไม่ได้ออกอาการตื่นเต้นตกใจเท่าที่ควร และไม่ได้สัมผัสถึงเจตนาร้ายเลยสักนิด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
            
             "ค่ะ.."
            
             หล่อนพยักหน้ายอมรับง่ายๆ คุณรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นเธอยอมรับด้วยสีหน้าปกติราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่คุณเองก็ตระหนกตกใจเช่นกัน   แต่ทำไมอะไรก็ดูเรียบง่ายไปเสียทุกอย่าง
            
             นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์เหมันต์นิวเคลียร์พวกผีดูดเลือดที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์กันไปจนหมดแล้วก็พากันออกมาเพ่นพ่านอีกครั้ง ตอนแรกรัฐบาลไม่ใส่ใจ  แต่หลังจากพวกทหารถูกโจมตีด้วยบรรดาผีดูดเลือดบ่อยครั้งเข้า กฎหมายการปราบปรามอย่างรุนแรงจึงตามมา
            
             สำคัญคือบรรดาผีดูดเลือดตอนกลางวันยังสามารถออกมาใช้ชีวิตตามธรรมดาของคนปกติเพราะสภาพกาลอากาศอันเป็นผลมาจากเหมันต์นิวเคลียร์มืดครึ้มตลอดเวลา ทำให้การจัดการกับผีดูดเลือดเป็นเรื่องยากขึ้น ความจริงพวกเขาเหล่านั้นควรจะอยู่กับมนุษย์ธรรมดาได้   ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารของพวกเขาคือเลือดของมนุษย์   และต้องยอมรับความจริงคือผีดูดเลือดส่วนหนึ่งแฝงกายอยู่ในสังคมมนุษย์ มันเป็นการยากในการจะระบุว่าใครเป็นผีดูดเลือด ความจริงผีดูดเลือดมีเงาในกระจก  ไม่กลัวกางเขนและไม่สามารถแปลงกายเป็นค้างคาวได้ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าผิดเพี้ยนในนิยายเท่านั้น
            
             ผีดูดเลือดแทบจะไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเพียงแต่แข็งแรงว่องไวกว่า รัฐบาลเชื่อว่ามันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพวกเขายังไม่มีวิธีรักษาป้องกัน
            
             "คุณกำลังหิว."
            
             "ใช่..."    หล่อนรับคำอีกครั้งด้วยเสียงเศร้าหม่น
            
             "ฉันไม่ได้ดื่มเลือดมานานนับเดือนแล้ว พยายามจะไม่ไปกัดคอใคร แต่ถ้าคืนนี้ยังไม่ดื่มเลือดฉันต้องตายแน่นอน คุณก็รู้นี่คะว่านอกจากแสงแดด ลิ่มไม้ตอกอก การขาดเลือดก็ทำให้เราตายได้เช่นกัน"
            
             "คุณต้องการเลือด"  คุณย้ำถาม จากประสบการณ์ส่วนตัว หญิงสาวลึกลับหลบตาเอ่ยเสียงสะท้าน
            
             "ฉันไม่อยากทำและไม่เคยคิดจะกัดคุณเลย แต่พอหิวถึงจุดหนึ่งจะทำให้คุมตัวเองไม่อยู่ ความจริงแล้วฉันเองก็อยากมีชีวิตเป็นปกติอย่างคนธรรมดา แต่เมื่อมันถ่ายทอดมาจากทางสายเลือดคุณคงเข้าใจนะคะ"
            
             เธอฟุบหน้าลงกับไหล่คุณและตัวสั่น อาจเป็นเพราะความหิวเพราะได้ยินเสียงเธอกัดฟันดังกรอดเหมือนคนป่วยกำลังได้รับความทุกข์ทรมาน  จากการฝืนใจไม่ให้กระโดดงับต้นคอของคุณ  และทันใดนั้นเอง คุณตัดสินใจบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเองก็แปลกใจกับการตัดสินใจนั้น
            
             "เอาล่ะ...ถ้าคุณหิวและผมคงต้องเป็นเหยื่อของคุณล่ะก้อ..ขอให้คุณกัดผมตรงข้อมือได้ไหม มันก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก  กับการที่คุณต้องดื่มเลือดจากคอของผม"
            
            "ทำไมคะ"      หล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจและไม่เชื่อหูของตัวเองว่าใครเขาจะยอมให้ผีดูดเลือดกินเลือด  ประกายตาชองเธอเริ่มแตกซ่านมีแววพิศวงสงสัย คุณมีหน้าแววตาดูสงบเยือกเย็นก่อนบอกว่า
            
             "ผมไม่ต้องการทุเรศตัวเองว่าถูกกัดคอจนตาย...คุณคงเข้าใจ"
            
             "คุณน่าจะต่อสู้ หรือตัดคอของฉันเสียเลยนะคะ"
          
             "ผมไม่ทำหรอกน่า”    คุณตอบ ทั้งที่ความจริงทำได้
            
            "ทำไมคะ"
            
             "ช่างเถอะน่า รีบจัดการเข้าเถอะ"    คุณตัดบทพลางถลกแขนเสื้อแขนซ้ายยื่นให้ สิ่งรบกวนในจิตใจทำให้คุณต้องทดลองทำบางอย่างแม้ว่าจะเป็นการอันตราย
            
             ผีดูดเลือดสาวน้ำตาคลอ คุณเพิ่งรู้ว่าผีดูดเลือดทั้งหลายความจริงแล้วจิตใจของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคนมากนัก รู้จักเสียใจ ดีใจ ร้องไห้และก็หัวเราะได้และมีความเป็นคนมากกว่าหลายคนด้วยซ้ำไป
              
             เสียงหนุ่มนักกวีเอื้อนเอ่ยบทกวีขึ้นมาสองสามบทเป็นการสร้างบรรยากาศ ไอ้หมอนี่ก็บ้าไม่ยอมหยุดจริงฟังแล้วทั้งขำทั้งหงุดหงิด คุณค่อยยกแขนส่งข้อมือซ้ายแนบกับริมฝีปากและเขี้ยวยาวอย่างไม่รู้สึกกลัว เธอร้องไห้ขณะอ้าปากกัดลงไปบริเวณเส้นเลือดคุณรู้สึกเจ็บตรงข้อมือ รู้สึกถึงเลือดกำลังไหลออกจากข้อมือทีละน้อย
            
             คุณยังมีเวลานึกถึงเมื่อหลายเดือนที่แล้วมา
            
             ในเมืองใหญ่ สังคมมนุษย์ยังคงพอมีเหลือ  งานศพของคู่หมั้น  หลังจากมีคนพบศพของเธออยู่ในห้องนอน ร่างของเธอขาวซีด บริเวณลำคอมีรอยเขี้ยวสองรอย ตัวเธอแทบไม่มีเลือดเหลืออยู่   ไม่มีใครคิดว่าผีดูดเลือดจะระบาดมาถึงในเมืองเร็วขนาดนี้
            
             งานแต่งงานที่เตรียมไว้กลายเป็นงานศพ หัวใจคุณแหลกสลายแทบไม่สนใจว่าใครจะมาใครจะไป  ร่างกายกับวิญญาณอยู่ด้วยกันแบบไร้ความหมาย
            
             "ถ้าคุณต้องการให้เราช่วยเหลือ..." แขกผู้มาในงานศพคนหนึ่งยื่นนามบัตรให้   คุณมองอย่างงงงันเพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน
                       
             "คุณติดต่อเราได้ทุกเวลา"
          
             เขาตบไหล่คุณแล้วไม่พูดอะไรอีกก่อนเดินจากไปท่ามกลางแขกเหรื่อมาในงาน แน่นอนว่าหลังจากการอ่านนามบัตรบอกรายละเอียดของงาน คุณไปติดต่อกับเขาถึงสำนักงานในงานต่อมา เป็นวันเดียวกับที่เหล็กรูปไม้กางเขนเผาไฟจนแดงถูกวางใส่หน้าอกกำยำ

             สัญลักษณ์ของการยอมรับเข้าสังกัดสมาคมนักล่าผีดูดเลือด
                         
             ทันใดนั้นผีดิบสาวผละออกจากข้อมือของคุณ เมื่อได้สติกลับคืนมาหลังการดื่มเลือดไปส่วนหนึ่งปากยังแดงไปด้วยเลือด
            
             คุณยังไม่ถูกดูดเลือดจนตาย เธอยกมือปิดหน้าร้องไห้  แต่ไม่นานก็โก่งคอส่งอาหารของเหลวสีเขียวออกมา  ก่อนอ่อนแรงล้มฟุบลงไปกับพื้นครู่หนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นนั่งได้
            
             "นี่มันอะไรกันคะ..."   เธอครวญครางอย่างงุนงงสับสน
            
             แทนการอธิบายคุณถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก  ให้เห็นรอยไหม้แผลเป็นรูปไม้กางเขนหราอยู่บริเวณอก เธอเบิกตากว้างอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง
            
             "คุณเป็น....นักล่าผีดูดเลือด..."




.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่