บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36680985
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36698264
ถึงจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่คุณยังไม่อาจข่มตาลงให้หลับสักนิด เพราะต้องคอยระวังเจ้ายักษ์ปักหลั่นซึ่งไม่ยอมนอนเหมือนกัน หลังจากการถูกส่งให้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมด้วยกำปั้น เจ้านั่นดูเหมือนจะไม่กล้าวุ่นวายอะไรอีก นอกจากออกอาการเกรี้ยวกราดกับดินฟ้าอากาศ
คนสงบนิ่งที่สุดเป็นตาลุงผู้นั่งดูแลกองไฟอยู่กลางโรงนา ดูเหมือนว่าแก่ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากกองไฟ แม้แต่ขณะที่คุณใช้กำปั้นไล่ต้อนเจ้ายักษ์ถอยหลังผ่านเฉียดกองไฟของตาลุงไปเพียงนิดเดียว แกยังไม่สนใจแม้แต่จะมอง เจ้าหนุ่มนักเขียนสติแตกก็ยังไม่ยอมนอน แต่ไม่ได้สนใจเจ้ายักษ์ผู้นั่งอยู่มุมห้องด้านตรงกันข้ามสักเท่าไร ยังคงทำตาลอยสลับกับการก้มหน้าลงไปเขียนอะไรตามประสาบ้า
สายตาของคุณเห็นเจ้ายักษ์คว้าปืนลูกซองแฝดขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังทำความสะอาด และจงใจทำเสียงดังราวกับจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองมีปืน แต่คุณไม่ได้หนักใจอะไรมากนัก เพราะตำแหน่งมุมห้องเยื้องไปยังจุดที่เจ้ายักษ์นั่งอยู่ไม่ได้ไกลเกินระยะขว้างมีดเดินป่าของคุณแน่นอน แม้จะมีชายชราและกองไฟกั้นกลาง แต่ไม่เป็นปัญหา สำคัญว่าใครจะลงมือก่อนเท่านั้น ระหว่างมีดกับปืน
ทันใดนั้นเองมีเสียงปืนระเบิดตูมขึ้นสะท้านก้องไปทั้งโรงนา กระสุนลูกซองพุ่งขึ้นไปปะทะหลังไม้ของโรงนาซึ่งเป็นแผ่นไม้หนาจนเศษไม้กระเด็นเวียนว่อน
คุณลุงประหลาดไม่มีอาการสะดุ้งตกใจอะไรสักนิด หญิงสาวลึกลับข้างกายร้องด้วยความตกใจกอดคุณแน่นแบบไม่คิดชีวิต
เจ้าหนุ่มนักเขียนสะดุ้งแล้วอ้าปากหวอ แต่สายตาไม่ได้มีแววตื่นตกใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพอสิ้นกลิ่นควันเสียงปืนเขากับยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ตบมือฉาดใหญ่ร้องว่า
“สุดยอดเลยคุณพี่ เสียงปืนสะท้านกังวานโรงนา มันโคตรสะใจเลย ขออีกนัดได้ไหมพี่ แหม...มันซ่านซาบเข้าไปถึงขั้วตับขั้วไต ปลดปล่อยครับปลดปล่อย ผมรู้สึกอย่างนั้นเลย โอย...สะใจโว้ย.....ผมจะเอาไปเขียน”
“ปืนมันลั่นว่ะ...” เจ้ายักษ์หัวเราะร่าเหมือนกันก่อนห่อปากเป่าลมเข้าปากกระบอกปืนด้วยท่าทางยียวน ปากบอกว่าปืนลั่น แต่คงไม่มีใครเชื่อ เป็นการแสดงศักดาว่าตัวเองมีปืนมากกว่า “นัดต่อไปไม่รู้จะเผลอลั่นออกมาอีกเมื่อไร โดนหัวใครก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจโว้ย”
"ขออีกนัดได้ไหมพี่ แหม มันสะใจจริงๆ โดนใจครับโดนใจสุดๆ”
เจ้าหนุ่มนักเขียนยังไม่เลิก ร้องขอลูกปืนจนคุณเองชักจะเริ่มหมั่นไส้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะบ้าไปถึงไหน เจ้าของปืนลูกซองโบราณแยกเขี้ยวสบถออกมาคำหนึ่ง แต่ไม่ต่อปากต่อคำกับไอ้หนุ่มหน้ามลคนบ้าบอ ซึ่งยังคงเจื้อยแจ้วต่อไปด้วยสีหน้าท่าทางไม่สนโลก
“แบบว่าเสียงปืนในค่ำคืนเหน็บหนาว ในโรงนากลางดินแดนเปลี่ยวร้าง เสียงดังตูมสนั่นพร้อมประกายไฟวาบ ใจหัวผู้คนสั่นสะท้านเลือดลมพลุ่งพล่านราวคนอยู่ในอารมณ์รักร้อนเร่า พระเอกนางเอกของเรื่องพลอดรักกันท่ามกลางกลิ่นควันเปลวไฟเสียงปืน และความตายรอบข้าง โอ.....มันสุดยอด ฉากแบบนี้ไหนเลยจะพบเจอง่ายดาย”
“ข้าชักรำคาญแกมากทุกทีแล้วโว้ย เอาลูกปืนไปกินสักลูกยัดปากแกดีไหม”
เจ้ายักษ์ลุกพรวดพราดขึ้นอย่างคนเริ่มอารมณ์ฉุนเฉียว ยกปืนลูกซองเล็งไปยังเจ้าหนุ่มนักเขียน ผู้ยังคงนั่งมองด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มปนจินตนาการหลุดขั้ว
“ยิงเลยพี่ ผมจะได้ซึมซับรสชาติแห่งลูกปืนดูสักทีว่าดีขนาดไหน จะได้เอาไปเล่าให้พวกในนรกฟัง โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหน”
นิ้วของเจ้ายักษ์แตะไกปืนแล้ว แต่หลังจากยืนมองสักครู่ก็ลดปืนลงข้างกายนั่งลงแล้วหัวเราะเสียงโหดๆ เป็นเชิงบอกว่า ไม่อยากยิงคนบ้าให้เสียลูกปืน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณนั่งดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาเห็นแล้วอดยอมรับนับถือลูกบ้าของเจ้าหนุ่มนักเขียนไม่ได้ นี่มันบ้าขนาดไม่กลัวลูกปืนเลยหรืออย่างไร....
หลังจากนั้น คุณจึงเริ่มกลับมาสนใจหญิงสาวลึกลับผู้กำลังก้มหน้าก้มตากอดคุณแน่น ราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง
เธอเงยหน้าขึ้นมามอง คุณไม่แน่ใจว่าเห็นอะไรอยู่ใสแววตาของเธอ
ความเศร้า.....ความเหงา.....ความกลัว......ความสับสน.....ความปวดร้าว......หรือทุกอย่าง เธอมีลมหายใจ ร่างกายอบอุ่น มีชีวิตและความรู้สึก
หลังการพูดคุยทางสายตาเนิ่นนาน ก่อนคุณจะสัมผัสริมฝีปากเย็นชืดของเธอ
และเขี้ยวยาวคมกริบ
วูบนั้นคุณรู้สึกถึงรสชาติอันบรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง ทั้งความประหลาดใจและตกใจผสมผสานปนเปกันไปว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ใช่แล้ว.....เธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างแน่นอน แค่การปรากฏตัวของเธอก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
"คุณเป็นผีดูดเลือด..." คุณดันไหล่ของหล่อนให้ออกห่างจ้องตาเขม็ง น่าแปลกว่าคุณไม่ได้ออกอาการตื่นเต้นตกใจเท่าที่ควร และไม่ได้สัมผัสถึงเจตนาร้ายเลยสักนิด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
"ค่ะ.."
หล่อนพยักหน้ายอมรับง่ายๆ คุณรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นเธอยอมรับด้วยสีหน้าปกติราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่คุณเองก็ตระหนกตกใจเช่นกัน แต่ทำไมอะไรก็ดูเรียบง่ายไปเสียทุกอย่าง
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์เหมันต์นิวเคลียร์พวกผีดูดเลือดที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์กันไปจนหมดแล้วก็พากันออกมาเพ่นพ่านอีกครั้ง ตอนแรกรัฐบาลไม่ใส่ใจ แต่หลังจากพวกทหารถูกโจมตีด้วยบรรดาผีดูดเลือดบ่อยครั้งเข้า กฎหมายการปราบปรามอย่างรุนแรงจึงตามมา
สำคัญคือบรรดาผีดูดเลือดตอนกลางวันยังสามารถออกมาใช้ชีวิตตามธรรมดาของคนปกติเพราะสภาพกาลอากาศอันเป็นผลมาจากเหมันต์นิวเคลียร์มืดครึ้มตลอดเวลา ทำให้การจัดการกับผีดูดเลือดเป็นเรื่องยากขึ้น ความจริงพวกเขาเหล่านั้นควรจะอยู่กับมนุษย์ธรรมดาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารของพวกเขาคือเลือดของมนุษย์ และต้องยอมรับความจริงคือผีดูดเลือดส่วนหนึ่งแฝงกายอยู่ในสังคมมนุษย์ มันเป็นการยากในการจะระบุว่าใครเป็นผีดูดเลือด ความจริงผีดูดเลือดมีเงาในกระจก ไม่กลัวกางเขนและไม่สามารถแปลงกายเป็นค้างคาวได้ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าผิดเพี้ยนในนิยายเท่านั้น
ผีดูดเลือดแทบจะไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเพียงแต่แข็งแรงว่องไวกว่า รัฐบาลเชื่อว่ามันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพวกเขายังไม่มีวิธีรักษาป้องกัน
"คุณกำลังหิว."
"ใช่..." หล่อนรับคำอีกครั้งด้วยเสียงเศร้าหม่น
"ฉันไม่ได้ดื่มเลือดมานานนับเดือนแล้ว พยายามจะไม่ไปกัดคอใคร แต่ถ้าคืนนี้ยังไม่ดื่มเลือดฉันต้องตายแน่นอน คุณก็รู้นี่คะว่านอกจากแสงแดด ลิ่มไม้ตอกอก การขาดเลือดก็ทำให้เราตายได้เช่นกัน"
"คุณต้องการเลือด" คุณย้ำถาม จากประสบการณ์ส่วนตัว หญิงสาวลึกลับหลบตาเอ่ยเสียงสะท้าน
"ฉันไม่อยากทำและไม่เคยคิดจะกัดคุณเลย แต่พอหิวถึงจุดหนึ่งจะทำให้คุมตัวเองไม่อยู่ ความจริงแล้วฉันเองก็อยากมีชีวิตเป็นปกติอย่างคนธรรมดา แต่เมื่อมันถ่ายทอดมาจากทางสายเลือดคุณคงเข้าใจนะคะ"
เธอฟุบหน้าลงกับไหล่คุณและตัวสั่น อาจเป็นเพราะความหิวเพราะได้ยินเสียงเธอกัดฟันดังกรอดเหมือนคนป่วยกำลังได้รับความทุกข์ทรมาน จากการฝืนใจไม่ให้กระโดดงับต้นคอของคุณ และทันใดนั้นเอง คุณตัดสินใจบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเองก็แปลกใจกับการตัดสินใจนั้น
"เอาล่ะ...ถ้าคุณหิวและผมคงต้องเป็นเหยื่อของคุณล่ะก้อ..ขอให้คุณกัดผมตรงข้อมือได้ไหม มันก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก กับการที่คุณต้องดื่มเลือดจากคอของผม"
"ทำไมคะ" หล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจและไม่เชื่อหูของตัวเองว่าใครเขาจะยอมให้ผีดูดเลือดกินเลือด ประกายตาชองเธอเริ่มแตกซ่านมีแววพิศวงสงสัย คุณมีหน้าแววตาดูสงบเยือกเย็นก่อนบอกว่า
"ผมไม่ต้องการทุเรศตัวเองว่าถูกกัดคอจนตาย...คุณคงเข้าใจ"
"คุณน่าจะต่อสู้ หรือตัดคอของฉันเสียเลยนะคะ"
"ผมไม่ทำหรอกน่า” คุณตอบ ทั้งที่ความจริงทำได้
"ทำไมคะ"
"ช่างเถอะน่า รีบจัดการเข้าเถอะ" คุณตัดบทพลางถลกแขนเสื้อแขนซ้ายยื่นให้ สิ่งรบกวนในจิตใจทำให้คุณต้องทดลองทำบางอย่างแม้ว่าจะเป็นการอันตราย
ผีดูดเลือดสาวน้ำตาคลอ คุณเพิ่งรู้ว่าผีดูดเลือดทั้งหลายความจริงแล้วจิตใจของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคนมากนัก รู้จักเสียใจ ดีใจ ร้องไห้และก็หัวเราะได้และมีความเป็นคนมากกว่าหลายคนด้วยซ้ำไป
เสียงหนุ่มนักกวีเอื้อนเอ่ยบทกวีขึ้นมาสองสามบทเป็นการสร้างบรรยากาศ ไอ้หมอนี่ก็บ้าไม่ยอมหยุดจริงฟังแล้วทั้งขำทั้งหงุดหงิด คุณค่อยยกแขนส่งข้อมือซ้ายแนบกับริมฝีปากและเขี้ยวยาวอย่างไม่รู้สึกกลัว เธอร้องไห้ขณะอ้าปากกัดลงไปบริเวณเส้นเลือดคุณรู้สึกเจ็บตรงข้อมือ รู้สึกถึงเลือดกำลังไหลออกจากข้อมือทีละน้อย
คุณยังมีเวลานึกถึงเมื่อหลายเดือนที่แล้วมา
ในเมืองใหญ่ สังคมมนุษย์ยังคงพอมีเหลือ งานศพของคู่หมั้น หลังจากมีคนพบศพของเธออยู่ในห้องนอน ร่างของเธอขาวซีด บริเวณลำคอมีรอยเขี้ยวสองรอย ตัวเธอแทบไม่มีเลือดเหลืออยู่ ไม่มีใครคิดว่าผีดูดเลือดจะระบาดมาถึงในเมืองเร็วขนาดนี้
งานแต่งงานที่เตรียมไว้กลายเป็นงานศพ หัวใจคุณแหลกสลายแทบไม่สนใจว่าใครจะมาใครจะไป ร่างกายกับวิญญาณอยู่ด้วยกันแบบไร้ความหมาย
"ถ้าคุณต้องการให้เราช่วยเหลือ..." แขกผู้มาในงานศพคนหนึ่งยื่นนามบัตรให้ คุณมองอย่างงงงันเพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน
"คุณติดต่อเราได้ทุกเวลา"
เขาตบไหล่คุณแล้วไม่พูดอะไรอีกก่อนเดินจากไปท่ามกลางแขกเหรื่อมาในงาน แน่นอนว่าหลังจากการอ่านนามบัตรบอกรายละเอียดของงาน คุณไปติดต่อกับเขาถึงสำนักงานในงานต่อมา เป็นวันเดียวกับที่เหล็กรูปไม้กางเขนเผาไฟจนแดงถูกวางใส่หน้าอกกำยำ
สัญลักษณ์ของการยอมรับเข้าสังกัดสมาคมนักล่าผีดูดเลือด
ทันใดนั้นผีดิบสาวผละออกจากข้อมือของคุณ เมื่อได้สติกลับคืนมาหลังการดื่มเลือดไปส่วนหนึ่งปากยังแดงไปด้วยเลือด
คุณยังไม่ถูกดูดเลือดจนตาย เธอยกมือปิดหน้าร้องไห้ แต่ไม่นานก็โก่งคอส่งอาหารของเหลวสีเขียวออกมา ก่อนอ่อนแรงล้มฟุบลงไปกับพื้นครู่หนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นนั่งได้
"นี่มันอะไรกันคะ..." เธอครวญครางอย่างงุนงงสับสน
แทนการอธิบายคุณถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ให้เห็นรอยไหม้แผลเป็นรูปไม้กางเขนหราอยู่บริเวณอก เธอเบิกตากว้างอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง
"คุณเป็น....นักล่าผีดูดเลือด..."
.
คืนวิปริต......3
https://ppantip.com/topic/36680985
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36698264
ถึงจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่คุณยังไม่อาจข่มตาลงให้หลับสักนิด เพราะต้องคอยระวังเจ้ายักษ์ปักหลั่นซึ่งไม่ยอมนอนเหมือนกัน หลังจากการถูกส่งให้กลับมานั่งตำแหน่งเดิมด้วยกำปั้น เจ้านั่นดูเหมือนจะไม่กล้าวุ่นวายอะไรอีก นอกจากออกอาการเกรี้ยวกราดกับดินฟ้าอากาศ
คนสงบนิ่งที่สุดเป็นตาลุงผู้นั่งดูแลกองไฟอยู่กลางโรงนา ดูเหมือนว่าแก่ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากกองไฟ แม้แต่ขณะที่คุณใช้กำปั้นไล่ต้อนเจ้ายักษ์ถอยหลังผ่านเฉียดกองไฟของตาลุงไปเพียงนิดเดียว แกยังไม่สนใจแม้แต่จะมอง เจ้าหนุ่มนักเขียนสติแตกก็ยังไม่ยอมนอน แต่ไม่ได้สนใจเจ้ายักษ์ผู้นั่งอยู่มุมห้องด้านตรงกันข้ามสักเท่าไร ยังคงทำตาลอยสลับกับการก้มหน้าลงไปเขียนอะไรตามประสาบ้า
สายตาของคุณเห็นเจ้ายักษ์คว้าปืนลูกซองแฝดขึ้นมาทำท่าเหมือนกำลังทำความสะอาด และจงใจทำเสียงดังราวกับจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองมีปืน แต่คุณไม่ได้หนักใจอะไรมากนัก เพราะตำแหน่งมุมห้องเยื้องไปยังจุดที่เจ้ายักษ์นั่งอยู่ไม่ได้ไกลเกินระยะขว้างมีดเดินป่าของคุณแน่นอน แม้จะมีชายชราและกองไฟกั้นกลาง แต่ไม่เป็นปัญหา สำคัญว่าใครจะลงมือก่อนเท่านั้น ระหว่างมีดกับปืน
ทันใดนั้นเองมีเสียงปืนระเบิดตูมขึ้นสะท้านก้องไปทั้งโรงนา กระสุนลูกซองพุ่งขึ้นไปปะทะหลังไม้ของโรงนาซึ่งเป็นแผ่นไม้หนาจนเศษไม้กระเด็นเวียนว่อน
คุณลุงประหลาดไม่มีอาการสะดุ้งตกใจอะไรสักนิด หญิงสาวลึกลับข้างกายร้องด้วยความตกใจกอดคุณแน่นแบบไม่คิดชีวิต
เจ้าหนุ่มนักเขียนสะดุ้งแล้วอ้าปากหวอ แต่สายตาไม่ได้มีแววตื่นตกใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพอสิ้นกลิ่นควันเสียงปืนเขากับยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ตบมือฉาดใหญ่ร้องว่า
“สุดยอดเลยคุณพี่ เสียงปืนสะท้านกังวานโรงนา มันโคตรสะใจเลย ขออีกนัดได้ไหมพี่ แหม...มันซ่านซาบเข้าไปถึงขั้วตับขั้วไต ปลดปล่อยครับปลดปล่อย ผมรู้สึกอย่างนั้นเลย โอย...สะใจโว้ย.....ผมจะเอาไปเขียน”
“ปืนมันลั่นว่ะ...” เจ้ายักษ์หัวเราะร่าเหมือนกันก่อนห่อปากเป่าลมเข้าปากกระบอกปืนด้วยท่าทางยียวน ปากบอกว่าปืนลั่น แต่คงไม่มีใครเชื่อ เป็นการแสดงศักดาว่าตัวเองมีปืนมากกว่า “นัดต่อไปไม่รู้จะเผลอลั่นออกมาอีกเมื่อไร โดนหัวใครก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจโว้ย”
"ขออีกนัดได้ไหมพี่ แหม มันสะใจจริงๆ โดนใจครับโดนใจสุดๆ”
เจ้าหนุ่มนักเขียนยังไม่เลิก ร้องขอลูกปืนจนคุณเองชักจะเริ่มหมั่นไส้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะบ้าไปถึงไหน เจ้าของปืนลูกซองโบราณแยกเขี้ยวสบถออกมาคำหนึ่ง แต่ไม่ต่อปากต่อคำกับไอ้หนุ่มหน้ามลคนบ้าบอ ซึ่งยังคงเจื้อยแจ้วต่อไปด้วยสีหน้าท่าทางไม่สนโลก
“แบบว่าเสียงปืนในค่ำคืนเหน็บหนาว ในโรงนากลางดินแดนเปลี่ยวร้าง เสียงดังตูมสนั่นพร้อมประกายไฟวาบ ใจหัวผู้คนสั่นสะท้านเลือดลมพลุ่งพล่านราวคนอยู่ในอารมณ์รักร้อนเร่า พระเอกนางเอกของเรื่องพลอดรักกันท่ามกลางกลิ่นควันเปลวไฟเสียงปืน และความตายรอบข้าง โอ.....มันสุดยอด ฉากแบบนี้ไหนเลยจะพบเจอง่ายดาย”
“ข้าชักรำคาญแกมากทุกทีแล้วโว้ย เอาลูกปืนไปกินสักลูกยัดปากแกดีไหม”
เจ้ายักษ์ลุกพรวดพราดขึ้นอย่างคนเริ่มอารมณ์ฉุนเฉียว ยกปืนลูกซองเล็งไปยังเจ้าหนุ่มนักเขียน ผู้ยังคงนั่งมองด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มปนจินตนาการหลุดขั้ว
“ยิงเลยพี่ ผมจะได้ซึมซับรสชาติแห่งลูกปืนดูสักทีว่าดีขนาดไหน จะได้เอาไปเล่าให้พวกในนรกฟัง โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายที่ไหน”
นิ้วของเจ้ายักษ์แตะไกปืนแล้ว แต่หลังจากยืนมองสักครู่ก็ลดปืนลงข้างกายนั่งลงแล้วหัวเราะเสียงโหดๆ เป็นเชิงบอกว่า ไม่อยากยิงคนบ้าให้เสียลูกปืน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณนั่งดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาเห็นแล้วอดยอมรับนับถือลูกบ้าของเจ้าหนุ่มนักเขียนไม่ได้ นี่มันบ้าขนาดไม่กลัวลูกปืนเลยหรืออย่างไร....
หลังจากนั้น คุณจึงเริ่มกลับมาสนใจหญิงสาวลึกลับผู้กำลังก้มหน้าก้มตากอดคุณแน่น ราวกับว่าทำแบบนั้นแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง
เธอเงยหน้าขึ้นมามอง คุณไม่แน่ใจว่าเห็นอะไรอยู่ใสแววตาของเธอ
ความเศร้า.....ความเหงา.....ความกลัว......ความสับสน.....ความปวดร้าว......หรือทุกอย่าง เธอมีลมหายใจ ร่างกายอบอุ่น มีชีวิตและความรู้สึก
หลังการพูดคุยทางสายตาเนิ่นนาน ก่อนคุณจะสัมผัสริมฝีปากเย็นชืดของเธอ
และเขี้ยวยาวคมกริบ
วูบนั้นคุณรู้สึกถึงรสชาติอันบรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง ทั้งความประหลาดใจและตกใจผสมผสานปนเปกันไปว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ใช่แล้ว.....เธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างแน่นอน แค่การปรากฏตัวของเธอก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
"คุณเป็นผีดูดเลือด..." คุณดันไหล่ของหล่อนให้ออกห่างจ้องตาเขม็ง น่าแปลกว่าคุณไม่ได้ออกอาการตื่นเต้นตกใจเท่าที่ควร และไม่ได้สัมผัสถึงเจตนาร้ายเลยสักนิด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
"ค่ะ.."
หล่อนพยักหน้ายอมรับง่ายๆ คุณรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นเธอยอมรับด้วยสีหน้าปกติราบเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่คุณเองก็ตระหนกตกใจเช่นกัน แต่ทำไมอะไรก็ดูเรียบง่ายไปเสียทุกอย่าง
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์เหมันต์นิวเคลียร์พวกผีดูดเลือดที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์กันไปจนหมดแล้วก็พากันออกมาเพ่นพ่านอีกครั้ง ตอนแรกรัฐบาลไม่ใส่ใจ แต่หลังจากพวกทหารถูกโจมตีด้วยบรรดาผีดูดเลือดบ่อยครั้งเข้า กฎหมายการปราบปรามอย่างรุนแรงจึงตามมา
สำคัญคือบรรดาผีดูดเลือดตอนกลางวันยังสามารถออกมาใช้ชีวิตตามธรรมดาของคนปกติเพราะสภาพกาลอากาศอันเป็นผลมาจากเหมันต์นิวเคลียร์มืดครึ้มตลอดเวลา ทำให้การจัดการกับผีดูดเลือดเป็นเรื่องยากขึ้น ความจริงพวกเขาเหล่านั้นควรจะอยู่กับมนุษย์ธรรมดาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารของพวกเขาคือเลือดของมนุษย์ และต้องยอมรับความจริงคือผีดูดเลือดส่วนหนึ่งแฝงกายอยู่ในสังคมมนุษย์ มันเป็นการยากในการจะระบุว่าใครเป็นผีดูดเลือด ความจริงผีดูดเลือดมีเงาในกระจก ไม่กลัวกางเขนและไม่สามารถแปลงกายเป็นค้างคาวได้ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าผิดเพี้ยนในนิยายเท่านั้น
ผีดูดเลือดแทบจะไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเพียงแต่แข็งแรงว่องไวกว่า รัฐบาลเชื่อว่ามันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพวกเขายังไม่มีวิธีรักษาป้องกัน
"คุณกำลังหิว."
"ใช่..." หล่อนรับคำอีกครั้งด้วยเสียงเศร้าหม่น
"ฉันไม่ได้ดื่มเลือดมานานนับเดือนแล้ว พยายามจะไม่ไปกัดคอใคร แต่ถ้าคืนนี้ยังไม่ดื่มเลือดฉันต้องตายแน่นอน คุณก็รู้นี่คะว่านอกจากแสงแดด ลิ่มไม้ตอกอก การขาดเลือดก็ทำให้เราตายได้เช่นกัน"
"คุณต้องการเลือด" คุณย้ำถาม จากประสบการณ์ส่วนตัว หญิงสาวลึกลับหลบตาเอ่ยเสียงสะท้าน
"ฉันไม่อยากทำและไม่เคยคิดจะกัดคุณเลย แต่พอหิวถึงจุดหนึ่งจะทำให้คุมตัวเองไม่อยู่ ความจริงแล้วฉันเองก็อยากมีชีวิตเป็นปกติอย่างคนธรรมดา แต่เมื่อมันถ่ายทอดมาจากทางสายเลือดคุณคงเข้าใจนะคะ"
เธอฟุบหน้าลงกับไหล่คุณและตัวสั่น อาจเป็นเพราะความหิวเพราะได้ยินเสียงเธอกัดฟันดังกรอดเหมือนคนป่วยกำลังได้รับความทุกข์ทรมาน จากการฝืนใจไม่ให้กระโดดงับต้นคอของคุณ และทันใดนั้นเอง คุณตัดสินใจบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเองก็แปลกใจกับการตัดสินใจนั้น
"เอาล่ะ...ถ้าคุณหิวและผมคงต้องเป็นเหยื่อของคุณล่ะก้อ..ขอให้คุณกัดผมตรงข้อมือได้ไหม มันก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก กับการที่คุณต้องดื่มเลือดจากคอของผม"
"ทำไมคะ" หล่อนเงยหน้าขึ้นมามอง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจและไม่เชื่อหูของตัวเองว่าใครเขาจะยอมให้ผีดูดเลือดกินเลือด ประกายตาชองเธอเริ่มแตกซ่านมีแววพิศวงสงสัย คุณมีหน้าแววตาดูสงบเยือกเย็นก่อนบอกว่า
"ผมไม่ต้องการทุเรศตัวเองว่าถูกกัดคอจนตาย...คุณคงเข้าใจ"
"คุณน่าจะต่อสู้ หรือตัดคอของฉันเสียเลยนะคะ"
"ผมไม่ทำหรอกน่า” คุณตอบ ทั้งที่ความจริงทำได้
"ทำไมคะ"
"ช่างเถอะน่า รีบจัดการเข้าเถอะ" คุณตัดบทพลางถลกแขนเสื้อแขนซ้ายยื่นให้ สิ่งรบกวนในจิตใจทำให้คุณต้องทดลองทำบางอย่างแม้ว่าจะเป็นการอันตราย
ผีดูดเลือดสาวน้ำตาคลอ คุณเพิ่งรู้ว่าผีดูดเลือดทั้งหลายความจริงแล้วจิตใจของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากคนมากนัก รู้จักเสียใจ ดีใจ ร้องไห้และก็หัวเราะได้และมีความเป็นคนมากกว่าหลายคนด้วยซ้ำไป
เสียงหนุ่มนักกวีเอื้อนเอ่ยบทกวีขึ้นมาสองสามบทเป็นการสร้างบรรยากาศ ไอ้หมอนี่ก็บ้าไม่ยอมหยุดจริงฟังแล้วทั้งขำทั้งหงุดหงิด คุณค่อยยกแขนส่งข้อมือซ้ายแนบกับริมฝีปากและเขี้ยวยาวอย่างไม่รู้สึกกลัว เธอร้องไห้ขณะอ้าปากกัดลงไปบริเวณเส้นเลือดคุณรู้สึกเจ็บตรงข้อมือ รู้สึกถึงเลือดกำลังไหลออกจากข้อมือทีละน้อย
คุณยังมีเวลานึกถึงเมื่อหลายเดือนที่แล้วมา
ในเมืองใหญ่ สังคมมนุษย์ยังคงพอมีเหลือ งานศพของคู่หมั้น หลังจากมีคนพบศพของเธออยู่ในห้องนอน ร่างของเธอขาวซีด บริเวณลำคอมีรอยเขี้ยวสองรอย ตัวเธอแทบไม่มีเลือดเหลืออยู่ ไม่มีใครคิดว่าผีดูดเลือดจะระบาดมาถึงในเมืองเร็วขนาดนี้
งานแต่งงานที่เตรียมไว้กลายเป็นงานศพ หัวใจคุณแหลกสลายแทบไม่สนใจว่าใครจะมาใครจะไป ร่างกายกับวิญญาณอยู่ด้วยกันแบบไร้ความหมาย
"ถ้าคุณต้องการให้เราช่วยเหลือ..." แขกผู้มาในงานศพคนหนึ่งยื่นนามบัตรให้ คุณมองอย่างงงงันเพราะไม่เคยรู้จักมาก่อน
"คุณติดต่อเราได้ทุกเวลา"
เขาตบไหล่คุณแล้วไม่พูดอะไรอีกก่อนเดินจากไปท่ามกลางแขกเหรื่อมาในงาน แน่นอนว่าหลังจากการอ่านนามบัตรบอกรายละเอียดของงาน คุณไปติดต่อกับเขาถึงสำนักงานในงานต่อมา เป็นวันเดียวกับที่เหล็กรูปไม้กางเขนเผาไฟจนแดงถูกวางใส่หน้าอกกำยำ
สัญลักษณ์ของการยอมรับเข้าสังกัดสมาคมนักล่าผีดูดเลือด
ทันใดนั้นผีดิบสาวผละออกจากข้อมือของคุณ เมื่อได้สติกลับคืนมาหลังการดื่มเลือดไปส่วนหนึ่งปากยังแดงไปด้วยเลือด
คุณยังไม่ถูกดูดเลือดจนตาย เธอยกมือปิดหน้าร้องไห้ แต่ไม่นานก็โก่งคอส่งอาหารของเหลวสีเขียวออกมา ก่อนอ่อนแรงล้มฟุบลงไปกับพื้นครู่หนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นนั่งได้
"นี่มันอะไรกันคะ..." เธอครวญครางอย่างงุนงงสับสน
แทนการอธิบายคุณถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ให้เห็นรอยไหม้แผลเป็นรูปไม้กางเขนหราอยู่บริเวณอก เธอเบิกตากว้างอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง
"คุณเป็น....นักล่าผีดูดเลือด..."
.