เพื่อความสะดวกลิ้นของผู้อ่านคนไทย จึงขอแผลงสันสกฤตอินเดียเป็นไทยนะครับ
คำว่า อินเดีย (ประเทศ),ฮินดู (ศาสนา) และ ฮินดี (ภาษา) ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าแผลงมาจากคำว่า "สินธุ" อันเป็นแม่น้ำแหล่งเริ่มต้นอารยธรรมทั้งหมดของเอเชียใต้ และนั้นก็หมายถึงว่า 3 คำนี้ คือนิยามของคำว่า "อินเดีย" ในปัจจุบัน
#
หลายร้อยปีก่อน จักรวรรดิมุกัล ภายใต้การนำของจักรพรรดิบาบูร์แห่งติมูริต ได้เข้ายึดครองทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย และสืบต่อเนื่องตั้งแต่ยุคจักรพรรดิอักบาร์ จนถึงยุค จักรพรรดิชาห์จาฮาน เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ศาสนาอิสลามได้อยู่เหนือแผ่นดินอินเดียทางตอนเหนือ ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังนับถือศาสนาฮินดูอยู่ คล้ายคลึงกับที่ประเทศจีนเคยมีชนเผ่าแมนจูปกครองชาวฮั่นมาแล้ว และเมื่อจีนมีซุนยัตเซนเพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของฮั่น อินเดียก็ต้องมีศิวาจีมหาราชผู้ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาวฮินดู
#
จักรพรรดิศิวาจีมหาราช หรือพระนามเดิม ศิวาจี โภสเล ประสูติเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1630 (บ้างว่า 6 เมษายน ค.ศ. 1627) ณ ป้อมภูเขาศิวเนรี ใกล้เมืองจุนนา เขตปูเน รัฐมหาราษฏระ ในปัจจุบัน พระนามของพระองค์มีที่มาจากเทพเจ้าศิวาอีซึ่งพระนางชีชาบาอีได้บูชาอยู่ตลอดเวลาที่ทรงครรภ์ศิวาจีอยู่ โดยพระบิดามีพระนามว่า ศาหจี โภสเล เป็นนักรบมราฐีผู้รับใช้อาณาจักรสุลต่านทักขิน (เดคกัน) พระมารดามีพระนามว่า ชีชาบาอี (หรือ ชีชาไบ) บุตรีของราชาลาขุชีราว ชาธัวแห่งสินทเขท ในเวลานั้น อำนาจในแผ่นดินทักขินถูกปกครองร่วมโดยอาณาจักรอิสลาม 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรพีชปุร , อาณาจักรอาเหม็ดนคร และ อาณาจักรโคลโกณทา ศาหจีมักจะเลือกจงรักภักดีอยู่ระหว่าง นิซัมชาห์ฮี แห่ง อาเหม็ดนคร, อทิลศาห์ แห่ง พีชปุร และจักรวรรดิมุคัล แต่ก็ยังครอบครองชาคีร์ (เขตศักดินา) และกองทัพไว้กับตัวอยู่ตลอด
#
ศิวาจีทรงทุ่มเทเวลากับพระมารดาผู้ศรัทธาและเลื่อมใสต่อศาสนาไว้อย่างหนักแน่น สภาพแวดล้อมทางศาสนาส่งผลกระทบต่อศิวาจีเป็นอย่างมาก และยังได้ทรงศึกษาเรื่องราววรรณคดีฮินดูที่ยิ่งใหญ่ 2 เรื่องคือ รามายณะ (รามเกียรติ์) และ มหาภารตะ อย่างหนักแน่น ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ทำให้ศิวาจีทรงปกป้องความเชื่อทางศาสนาฮินดูไว้ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงสนพระทัยในคำสอนทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง และมักจะแสวงหาเรื่องราวของศาสนาฮินดูและอิสลามนิกายซูฟีอย่างลึกซึ้ง
#
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาหจี ได้สมรสกับตุกาบาอี โมฮีเต เขาได้ย้ายไปอาณาจักรพีชปุรเพื่อเป็นแม่นำในกองทัพของอทิลศาห์ เขาทิ้งศิวาจีและชีชาบาอีไว้ในปูเน และฝากฝังศิวาจีไว้กับ ทาโทจี โกทเทวะ ผู้ดูแลชาคีร์ ซึ่งได้คอยเลี้ยงดูและสอนสั่งศิวาจี ซึ่งศิวาจีเมื่อทรงพระเยาว์มักทรงโปรดอยู่นอกป้อม (สำหรับพวกชนชั้นกษัตริย์อินเดียในสมัยก่อน ป้อมคือวัง วังคือป้อม พูดง่ายๆก็ทำนองเอาปราสาทเป็นทั้งวังและป้อมปราการของยุโรป แต่อินเดียมักไม่ค่อยเรียกว่าวัง เรียกว่าป้อม) และดูเหมือนจะไม่ทรงโปรดทรงพระอักษร แต่พระองค์มักจะทรงบอกเสมอว่าทรงรู้มาก นอกจากนี้ พระองค์ทรงนำพระสหายที่ทรงไว้พระทัยพร้อมทหารจำนวนมากมาจากเขตมาวัฬ โดยในกลุ่มพระสหายชาวมาวัฬ พระองค์มักจะทรงชอบฝึกฝนพระองค์เองอยู่ในแถบป่าเขาของภูเขาสหยาทรีอยู่เสมอ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อการทหารในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ความประพฤตินอกลู่นอกทางทำให้ทาโทจีมักจะไม่สบอารมณ์และมักจะบ่นอยู่ตลอดเวลาอยู่กับศาหจีว่าเลี้ยงได้ไม่ดีเท่าใดนัก
#
เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา ได้ทรงย้ายไปเมืองเบงการูลู (บังคาลอร์) กับพระเชษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดา และได้ฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างเต็มเปี่ยม พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับสาอีบาอีจากตระกูลนิมบัลการ์ในปี ค.ศ. 1640 ประมาณ ค.ศ. 1645-1646 ศิวาจีในวัยหนุ่ม เกิดความคิด ฮินทวี สวาราชยะ (ฮินดูปกครองตนเอง) อันเป็นแนวคิดชาตินิยมแรกๆของอินเดียฮินดู โดยมีการกล่าวถึงในจดหมายที่ส่งไปให้ดาดาจี นาราส ปราภู
จักรพรรดิศิวาจีมหาราช จักรพรรดิผู้ฟื้นฟูศาสนาฮินดู
เพื่อความสะดวกลิ้นของผู้อ่านคนไทย จึงขอแผลงสันสกฤตอินเดียเป็นไทยนะครับ
คำว่า อินเดีย (ประเทศ),ฮินดู (ศาสนา) และ ฮินดี (ภาษา) ในปัจจุบัน เชื่อกันว่าแผลงมาจากคำว่า "สินธุ" อันเป็นแม่น้ำแหล่งเริ่มต้นอารยธรรมทั้งหมดของเอเชียใต้ และนั้นก็หมายถึงว่า 3 คำนี้ คือนิยามของคำว่า "อินเดีย" ในปัจจุบัน
#
หลายร้อยปีก่อน จักรวรรดิมุกัล ภายใต้การนำของจักรพรรดิบาบูร์แห่งติมูริต ได้เข้ายึดครองทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย และสืบต่อเนื่องตั้งแต่ยุคจักรพรรดิอักบาร์ จนถึงยุค จักรพรรดิชาห์จาฮาน เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ศาสนาอิสลามได้อยู่เหนือแผ่นดินอินเดียทางตอนเหนือ ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ยังนับถือศาสนาฮินดูอยู่ คล้ายคลึงกับที่ประเทศจีนเคยมีชนเผ่าแมนจูปกครองชาวฮั่นมาแล้ว และเมื่อจีนมีซุนยัตเซนเพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของฮั่น อินเดียก็ต้องมีศิวาจีมหาราชผู้ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของชาวฮินดู
#
จักรพรรดิศิวาจีมหาราช หรือพระนามเดิม ศิวาจี โภสเล ประสูติเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1630 (บ้างว่า 6 เมษายน ค.ศ. 1627) ณ ป้อมภูเขาศิวเนรี ใกล้เมืองจุนนา เขตปูเน รัฐมหาราษฏระ ในปัจจุบัน พระนามของพระองค์มีที่มาจากเทพเจ้าศิวาอีซึ่งพระนางชีชาบาอีได้บูชาอยู่ตลอดเวลาที่ทรงครรภ์ศิวาจีอยู่ โดยพระบิดามีพระนามว่า ศาหจี โภสเล เป็นนักรบมราฐีผู้รับใช้อาณาจักรสุลต่านทักขิน (เดคกัน) พระมารดามีพระนามว่า ชีชาบาอี (หรือ ชีชาไบ) บุตรีของราชาลาขุชีราว ชาธัวแห่งสินทเขท ในเวลานั้น อำนาจในแผ่นดินทักขินถูกปกครองร่วมโดยอาณาจักรอิสลาม 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรพีชปุร , อาณาจักรอาเหม็ดนคร และ อาณาจักรโคลโกณทา ศาหจีมักจะเลือกจงรักภักดีอยู่ระหว่าง นิซัมชาห์ฮี แห่ง อาเหม็ดนคร, อทิลศาห์ แห่ง พีชปุร และจักรวรรดิมุคัล แต่ก็ยังครอบครองชาคีร์ (เขตศักดินา) และกองทัพไว้กับตัวอยู่ตลอด
#
ศิวาจีทรงทุ่มเทเวลากับพระมารดาผู้ศรัทธาและเลื่อมใสต่อศาสนาไว้อย่างหนักแน่น สภาพแวดล้อมทางศาสนาส่งผลกระทบต่อศิวาจีเป็นอย่างมาก และยังได้ทรงศึกษาเรื่องราววรรณคดีฮินดูที่ยิ่งใหญ่ 2 เรื่องคือ รามายณะ (รามเกียรติ์) และ มหาภารตะ อย่างหนักแน่น ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ทำให้ศิวาจีทรงปกป้องความเชื่อทางศาสนาฮินดูไว้ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงสนพระทัยในคำสอนทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง และมักจะแสวงหาเรื่องราวของศาสนาฮินดูและอิสลามนิกายซูฟีอย่างลึกซึ้ง
#
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาหจี ได้สมรสกับตุกาบาอี โมฮีเต เขาได้ย้ายไปอาณาจักรพีชปุรเพื่อเป็นแม่นำในกองทัพของอทิลศาห์ เขาทิ้งศิวาจีและชีชาบาอีไว้ในปูเน และฝากฝังศิวาจีไว้กับ ทาโทจี โกทเทวะ ผู้ดูแลชาคีร์ ซึ่งได้คอยเลี้ยงดูและสอนสั่งศิวาจี ซึ่งศิวาจีเมื่อทรงพระเยาว์มักทรงโปรดอยู่นอกป้อม (สำหรับพวกชนชั้นกษัตริย์อินเดียในสมัยก่อน ป้อมคือวัง วังคือป้อม พูดง่ายๆก็ทำนองเอาปราสาทเป็นทั้งวังและป้อมปราการของยุโรป แต่อินเดียมักไม่ค่อยเรียกว่าวัง เรียกว่าป้อม) และดูเหมือนจะไม่ทรงโปรดทรงพระอักษร แต่พระองค์มักจะทรงบอกเสมอว่าทรงรู้มาก นอกจากนี้ พระองค์ทรงนำพระสหายที่ทรงไว้พระทัยพร้อมทหารจำนวนมากมาจากเขตมาวัฬ โดยในกลุ่มพระสหายชาวมาวัฬ พระองค์มักจะทรงชอบฝึกฝนพระองค์เองอยู่ในแถบป่าเขาของภูเขาสหยาทรีอยู่เสมอ ทำให้เป็นประโยชน์ต่อการทหารในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ความประพฤตินอกลู่นอกทางทำให้ทาโทจีมักจะไม่สบอารมณ์และมักจะบ่นอยู่ตลอดเวลาอยู่กับศาหจีว่าเลี้ยงได้ไม่ดีเท่าใดนัก
#
เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา ได้ทรงย้ายไปเมืองเบงการูลู (บังคาลอร์) กับพระเชษฐาและพระอนุชาต่างพระมารดา และได้ฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างเต็มเปี่ยม พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับสาอีบาอีจากตระกูลนิมบัลการ์ในปี ค.ศ. 1640 ประมาณ ค.ศ. 1645-1646 ศิวาจีในวัยหนุ่ม เกิดความคิด ฮินทวี สวาราชยะ (ฮินดูปกครองตนเอง) อันเป็นแนวคิดชาตินิยมแรกๆของอินเดียฮินดู โดยมีการกล่าวถึงในจดหมายที่ส่งไปให้ดาดาจี นาราส ปราภู