วัยเด็กกับเซ้นส์เรื่องผี

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ เราพึ่งมาตั้งกระทู้เป็นครั้งแรก ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เรื่องที่เราจะเล่าต่อจากนี้คือประสบการณ์ในวัยเด็ก คือเหมือนตอนเป็นเด็กเราจะมีเซ้นส์เรื่องนี้เป็นพิเศษ เริ่มเรื่องกันเลยนะคะ
    เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ รอบๆบ้านเราเป็นสวน ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นล้อมรอบบ้าน บรรยากาศแบบสุดจะบรรยาย ยิ่งกว่าบรรยากาศในหนังสยองขวัญซะอีก แล้วเราก็เจอกับเรื่องราวแปลกๆมากมาย เรื่องที่เราหยิบมาเล่านี้ เป็นเพียงบางส่วนที่เราจำฝังใจเท่านั้น มันอาจจะไม่สยองเท่าไหร่ เพราะเราเล่าไม่เก่ง แต่เราก็อยากจะแชร์ประสบการณ์นี้จริงๆนะคะ มันอาจจะดูเกินจริง แต่นี่คือสิ่งที่เราเจอมากับตัวจริงๆ เริ่มกันเลยนะคะ

   (EP.1 กุมารของยาย)
   ในคืนคืนหนึ่งซึ่งก็เป็นคืนที่ปกติธรรมดาเหมือนทุกคืน เราอาบน้ำ กินข้าว ดูทีวี และนอน ตอนนั้นเรานอนกับยาย ซึ่งต่างจังหวัดเค้าจะนอนในมุ่งกัน เพื่อที่จะกันยุงกัด เราก็เข้านอนกันปกติปิดประตูห้อง ยายเค้าจะนั่งสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน จะบอกว่ายายมีหิ้งพระอยู่ในห้อง ซึ่งเราก็หลับไปก่อนที่ยายจะสวดมนต์เสร็จ แต่เราก็ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะเราได้ยินเสียงเด็กร้อง (อุแว้ อุแว้ อุแว้ ) ในใจคิด.... เด็กที่ไหนมาร้อง พรางเหลือบตามองไปที่ประตู ประตูแง้มเปิดอยู่ไม่มาก พร้อมกับมีแสงส่องผ่านประตูเข้ามา มองดูข้างๆ ยายนอนกรนอยู่ (อุแว้ อุแว้ อุแว้ ) เสียงยังดังอยู่ ด้วยความเป็นเด็กยังไม่มีความกลัวเท่าไหร่แต่จะสงสัยมากกว่า เลยชะเง้อมองผ่านตัวย้าย ซึ่งยายจะนอนขวางเราอยู๋ เราก็ชะเง้อดู ไฟดวงใหญ่หน้าห้องเปิดอยู่พร้อมกับเด็กน้อยสองคนวิ่งเล่นไล่กจับกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ไฟดวงใหญ่หน้าห้องเลย เด็กตัวประมาณกำลังหัดเดินหัดวิ่งนะคะ ตอนนั้นเราตกใจมาก แต่ขยับตัวไม่ได้แล้ว เราจึงพยายามจะปลุกยาย แต่เสียงไม่ออก ได้ยินเสียงตัวเองแค่ (แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ) เสียงออกมาแค่เนี้ย ตอนนั้นตัวเราทับตัวยายอยู่ ตอนที่เราชะเง้อไปมองอ่ะค่ะ ตัวเราทับยาย เราขยับไปไหนไม่ได้เลย ตาก็ได้แต่มองเด็กพวกนั้นเล่นกัน เราพยายามดิ้นจนเหนื่อย แล้วก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ พอตื่นเช้าได้ยินเสียงยายบ่น เมื่อคืนลืมปิดไฟปิดประตูห้อง ก็ว่าปิดแล้วนะทำมัยไฟกับประตูห้องมันยังเปิดอยู่ แล้วเมื่อคืนมานอนทับตัวยายทำมัย ได้ยินแบบนั้นเราเลยเล่าเรื่องที่เราเจอเมื่อคืนให้ยายฟัง ยายทำหน้าตกใจ สักพักพอเราเล่าจบยายก็บอกว่าคงเป็นกุมารยายเอง เค้ามาขออยู่ด้วย 2 คน ยายเราก็ยอมให้อยู๋ (ชื่ออะไรไม่รู้เราจำไม่ได้) เค้าคงอยากเล่นด้วยมั้ง ......เอิ่ม....เราคงไม่อยากเล่นกับเค้าหรอก...... (ยังมีความสงสัยอยู่ในใจว่า ทำมัยกุมารยายต้องร้อง อุแว้ อุแว้ อุแว้ ด้วย ทั้งที่วิ่งเล่นกันได้แล้ว เสียงนั้นมันยังติดหูมาจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ) แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเห็นกุมารยายอีกเลย

   (EP.2 น้องสาวมาบอกลา)
   เรื่องนี้เป็นเรื่องของน้องสาวเราเอง เธอจากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ตอนเธออายุได้เพียง 1 ขวบเศษ ด้วยโรคหัวใจรั่วแต่กำเนิด ตอนนั้นเราเรียนอยู่อนุบาล 1 ซึ่งก็ยังพอจำความได้ เรามีน้องสาว เธอตัวเล็ก ขาว หน้าตาน่ารักเลยแหละ เราชอบเล่นกับน้องเรา ชอบทำให้น้องเราหัวเราะ ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลดีกับน้องเท่าไหร่ เพราะโรคหัวใจ หมอจะห้ามไม่ให้ดีใจจนเกินไป หรือว่าเสียใจจนเกินไป สำหรับเด็กแล้วมันห้ามกันยาก พ่อกับแม่เราจึงตัดสินใจส่งเราไปอยู่บ้านย่า ต้องขอท้าวความก่อนนะคะ ตอนแม่เราท้องน้องพ่อกับแม่กลับมาทำไร่อยู่ที่บ้าน และปลูกบ้านหลังเล็กๆอยู่กันสามคนพ่อ แม่ ลูก ไม่ไกลจากบ้านยายมากนัก ตัดมาที่เราถูกส่งไปอยู่บ้านย่า บ้านย่าจะอยู่จังหวัดนครสวรรค์ ติดกับโรงเรียนและวัด เราถูกส่งไปอยู่นั่นด้วยความที่เราไม่เต็มใจนัก เพราะเราคิดถึงน้องมาก สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์โทรหากันเลย ส่วนทางครอบครัวเราอยู่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมันก็เป็นระยะทางที่ไกลกันมาก ตอนนั้นเรารู้สึกว้าเหว่มาก คนเคยเล่นกับน้องทุกวัน อยู่ดีๆก็ได้อยู่กับคนที่ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันมาก่อนเลย พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เหมือนโดนปล่อยเกาะยังไงยังงั้น เพราะตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยได้ใกล้ชิด หรืออยู่กับปู่กับย่าเลย บ้านย่าเราเค้าเป็นร้านค้า ขายน้ำมันแบบเป็นถังแกลลอนแล้วมีหลอดเป็นลิตรอยู่ด้านบน แล้วก็จะมีขนมของใช้เหมือนพวกร้านโชว์ห่วยทั่วไปนั่นแหละ เราไปเรียนอยู่ที่นั้นได้ประมาณเทอมนึงได้ ก็มีอยู่วันหนึ่งเรารู้สึกเหมือนจะไม่สบาย อาการค่อนข้างหนักอยู่แหละ จำได้ว่าปู่กับย่าพาซ้อนมอเตอร์ไซค์จะพาไปหาหมอ แต่ไปได้นิดเดียวยังไม่พ้นหน้าบ้านดีเราก็อาเจียนอย่างหนัก ปู่เลยจอดรถให้เราอาเจียน เราอาเจียนจนหมดแรงแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย จำได้อีกที่เราอยู่บนเตียงมีบุรุษพยาบาลและพยาบาลพากันล้อมเตียงที่กำลังเข็นอยู่ แล้วภาพก็ดับวูบ ลืมตามาอีกที ก็มีพยาบาลยืนอยู่สองคนกำลังใช้อะไรบางอย่างเจาะที่นิ้ว แล้วก็มีพยาบาลกำลังใช้เข็มดูดเลือดจากแขนอีกข้าง ตอนนั้นเราหันไปพอดีกับที่เลือดพุ่งสวนเข็มขึ้นมา พยาบาลก็พากันโวยวายดึงเข็มออก แล้วใช้เข็มแทงไปที่ใหม่ ตอนนั้นเราไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเจ็บ สักพักมีเข็มให้น้ำเกลือมาเจาะที่หลังมือ ทุกอย่างชุลมุนกันไปหมดแล้วภาพเราก็ดับวูบไปอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาอีกทีในห้องพักคนไข้ พร้อมกับแม่และพ่ออยู่ข้างๆเตียง เราดีใจมากที่เห็นเค้าทั้งสองคน แต่สีหน้าเค้าไม่ค่อยดีนัก หมอให้เรากลับบ้านในวันนั้นพอดี เรานอนอยู่โรงพยาบาลนานแค่ไหนก็จำไม่ได้ หมอบอกว่าเราเป็นไข้มาราเรีย เราจำไม่ได้เลยจริงๆ และก็ไม่เคยได้ถามใคร เพราะเราไม่รู้สึกตัวตลอดระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลนั้นเลย จนพ่อกับแม่เรามาเราถึงรู้ว่าเรานอนอยู่บนเตียงที่มีสายน้ำเกลืออยู่ รู้สึกมีแรงหายป่วยในทันที ต้องบอกก่อนว่าพ่อกับแม่ไม่รู้ว่าเราป่วยนะ เราไม่มีโทรศัพท์โทรหากัน แต่ท่านทั้งสองมาได้งัยนั้น อันนี้มันมีที่ไปที่มา
   วันนั้นเราได้กลับไปบ้านของย่าพร้อมกับพ่อและแม่ เมื่อกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่เราสงสัยและแปลกใจคือ น้องอยู่ไหน ในตอนนั้นเราคิดแบบเด็กๆ เราคิดว่าแม่ต้องพาน้องไปซ้อนแน่ๆเลย เราพยายามตามหาน้องทุกที่ภายในบ้านแต่ก็ไม่พบ เราถามแม่แต่แม่ไม่ยอมตอบ ด้วยความเป็นเด็กจึงคิดว่าแม่ต้องเอาน้องไปซ้อนในกระเป๋าแน่เลย เราตรงไปที่กระเป๋าแล้วทำการรื้อเสื้อผ้าทุกชิ้นในนั้นออก จนแม่ต้องเดินมาห้าม "หนู น้องไม่ได้อยู่ในนั้นหลอกลูก" แม่ทำเสียงสั่น เราเกิดความสงสัยปนกับความรู้สึกแปลกๆ "น้องอยู่ไหนแม่ หนูอยากเล่นกับน้อง" เราด้วยความเป็นเด็กไม่ได้รู้อะไรซะเลย "น้องเค้าไม่อยู่กับเราแล้วลูก"
แม่ตอบพร้อมกับทำท่าเหมือนจะร้องไห้แล้วก็เดินหนีไป ตอนนั้นเราก็ยังคิดว่าน้องคงไม่ได้มาด้วยแล้วแหละ คงจะอยู่กับยายแน่ๆเลย แต่อะไรๆ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด หลังจากนั้น สองสามวันแม่กับพ่อพาเรากลับบ้าน พาถึงบ้านสิ่งแรกที่เราตามหาคือน้อง เราตรงไปที่บ้านยายเลย แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง บ้านยายไม่มีน้องอยู่ แล้วยายก็ไม่ยอมบอกอะไรกับเรา เราก็ยังคิดอยู่ว่าน้องต้องกลับไปบ้านแล้วแน่ๆเลย วิ่งกลับไปที่บ้าน เห็นแม่กำลังนั่งคลำเสื้อผ้าน้องที่อยู่ในตะกร้าสี่เหลี่ยมแบนๆ "แม่น้องไปไหน หนูหาน้องไม่เจอ" แม่ไม่ตอบ แต่แม่หยิบเสื้อตัวหนึ่งของน้องขึ้นมาทาบไว้กับอก แล้วก้มหน้าลง พลางสะอึกแต่ไม่ดัง เราเห็นว่ามันแปลกๆ เลยเดินไปหาแม่ "แม่เป็นรัย" น้ำตาแม่ไหล ซึ่งตอนนั้นเรารู้แล้วว่าต้องมีอะไรแน่ๆเลย "น้องเค้าไม่อยู่กับเราแล้วลูก เค้าไปสบายแล้ว เค้าไปอยู่บนสวรรค์แล้วลูก" ตอนนั้นแม่ปล่อยโฮเลย ทำให้เราสัมผัสได้ว่าน้องไม่อยู่กับเราแล้วจริงๆ เรากอดแม่แล้วเราสองคนแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้อยู่ตรงนั้น                                                                                                                                                                            
   เวลาผ่านไปได้สักพัก พ่อเราไปทำงานต่างจังหวัด เราอยู่กับแม่เราสองคน ตอนนั้นเราแยกมุ้งนอนกับแม่เราแล้ว โดยมุ้งของแม่เราจะเป็นแบบทึบ มองเข้าไปไม่เห็น ส่วนมุ้งเราเป็นแบบโปร่ง คือมองเห็นได้ เราจะนอนปลายเท้าแม่ทุกคืน จนคืนหนึ่งซึ่งเรากับแม่เรายังจำกันไม่ลืมลืมเลย กลางดึกคืนหนึ่งเราต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเหมือนอะไรกะโดดแล้วก็วิ่งโครมคราม บ้านเราเป็นบ้านไม้ ดังนั้นเสียงมันจึงดังและฟังชัดมาก ตอนนั้นคิดในใจว่าคงเป็นแมวหง่าว เพราะมันจะชอบแอบเข้าบ้านมาหาอะไรกินประจำ ไม่นานหลังจากนั้น เสียงนั้นดังขึ้นอีกทีนี่วิ่นไปทั่วบ้านเลยค่ะ พร้อมกับเสียงหัวเราะแบบสนุกสนานเสียงที่คุ้นเคย เรานอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ไม่กล้าหันหน้า ไม่รู้ตอนนั้นเป็นแบบเหมือนอยากเห็นก็อยากกลัวก็กลัว สักพักมีแสงดวงเล็กๆสีขาวปนฟ้าจางๆลอยมาข้างมุ้งเรา แล้วมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าเรา เรามองอยู่ แสงนั้นค่อยขยายออกและปรากฏเป็นรูปร่างของน้องเรา เค้ามองมาที่เราพร้อมกับยิ้มแบบเด็กน่ารัก แต่ตัวน้องเหมือนเป็นแสงโปร่งสีขาวฟ้าจางๆ แล้วค่อยๆหายไป ตอนนั้นเราร้องไห้ลั่นเลยค่ะ จู่ๆแม่ก็พุ่งพรวดมาเปิดมุ้งให้เราโผเข้ากอดแม่ทันทีทันได้ เราร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่ที่แปลกก็คือแม่เราก็ร้องไห้ด้วย เรากอดกันร้องไห้จนรุ่งสาง แม่ก็พาเราไปบ้านยายเลยค่ะ ยายถามว่ามาทำมัยกันแต่เช้า แม่ก็เล่าให้ยายฟังว่าแม่เจอะไร มันเหมือนแบบที่เราเจอเลย  แต่แม่ได้ยินแต่เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะเท่านั้น แต่เราน่ะเห็นน้องด้วย ยายเลยบอกว่า เค้าคงมาบอกลา แต่ด้วยความเป็นเด็ก และก็ยังพูดไม่ได้ ก็เลยต้องสื่อสารแบบนี้ และหลังจากวันนั้นเราก็ไม่เจอน้องอีกเลย

*สาเหตุที่น้องเราเสียชีวิต เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่คุณหมอนัดให้ไปเอาใบส่งตัวเพื่อที่จะไปรักษาตัวต่อที่ กทม. น้องเรามีสิทหายถ้าได้รับการผ่าตัด คุณหมอเลยส่งตัวมาที่โรงพยาบาลเด็กที่ กทม. แต่ก็ไม่ทันที่จะไปถึง ด้วยตอนนั้นทางบ้านเราไม่มีรถยนต์ เลยต้องไปกับรถสองแถว แต่ว่าการเดินทางในครั้งนั้นมันก็พรากชีวิตน้องเราไปเช่นกัน ด้วยความที่ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆแม่เค้าไม่รู้ว่าน้องเราเป็นโรคหัวใจ เค้าก็เล่นหยอกล้อกับน้องเรา แต่เล่นกันอีท่าไหนไม่รู้น้องเราหัวเราะชอบใจแบบสุดๆ ไม่ทันไรเสียงน้องเราก็เงียบไป พร้อมกับเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ทุกคนบนรถช็อค เหตุการมันรวดเร็วมาก แม่เราบอกไม่ทันว่าเล่นไม่ได้ มันไม่ทันแล้ว น้องเราไปไม่ถึงโรงพยาบาล เธอจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่มีความสุข *อีกสาเหตุนึง ที่แม่เราไปรับเราที่โรงพยาบาล คือแม่เล่าว่า หลังจากที่จัดงานศพน้องเสร็จ ยังไม่ทันจะทำบุญเจ็ดวัน น้องเรามาเข้าฝันแม่ บอกให้แม่รีบไปหาพี่เร็วๆนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหนู ตอนนี้พี่ป่วยอาการหนักมาก ตอนนั้นแม่ก็ใจคอไม่ดีเช่นกัน แต่ก็อยู่จนทำบุญร้อยวันเสร็จ แล้วรีบไปหาเรา สรุปเรานอนอยู่โรงพยาบาลจริงๆ

   (EP.3 หญิงสาวใต้ต้นมะม่วง)
   จากบอกก่อนว่า สมัยนั้นบ้านเราจะเป็นบ้านสวน มีต้นผลไม้สูงใหญ่ปลูกรอบๆบ้าน บรรยากาศก็จะอึมครึม บ้านเราจะมีระเบียง เราชอบไปเล่นน้ำตรงนั้น วันนั้นเป็นคืนเดือนมืด อากาศร้อน เราเล่นน้ำอยู่นอกระเบียงเหมือนทุกที ตอนนั้นแม่เราก็นั่งเป็นเพื่อนหรอก แต่สักพักก็เข้าบ้านเพื่อไปทำกับข้าวเย็น เราก็นั่งเล่นคนเดียวสบายใจ นานพอควรอยู่ดีๆลมมาจากไหนไม่รู้ ไม่มีปี่มีปลุ่ย อยู่ดีๆก็พัดกระโชกแรงเลย จนรู้สึกหนาว เลยจะกลับเข้าบ้าน แต่สายตาเราเหลือบเห็นหญิงสาวผมยาวใส่ชุดสีขาวยาวถึงพื้น ไม่ได้ชัดเจนมากนัก เพราะตัวเธอเรืองแสงสีขาวซีดๆจางๆ เธอยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วง ระยะประมาณ 50 เมตรได้ เธอยืนมองมาที่เรา แบบยืนจ้องนิ่งไม่กระตุกกะดิก แต่ลมก็ยังพัดแรงอยู่นะ เรายืนนิ่งไปพักนึง คิดในใจว่าใครอะไรยังงัย พอฉุดสติตัวเองขึ้นมาได้ วิ่งเลยค่ะเข้าบ้านปิดประตูล็อคกลอนประตู เสร็จแล้วตั้งสติ เดินไปแอบดูที่ช่องเล็กๆข้างฝาบ้าน เธอยังยืนอยู่ที่เดิม เลยตะโกนเรียกแม่มาดูด้วย พอแม่มาเท่านั้นแหละเธอก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

   (EP.4 เงาใคร)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่