สวัสดีค่ะ เราอยากเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะว่าอยากจะให้ข้อมูลเพื่อเป็นการช่วยในการตัดสินใจของใครหลายๆคนสำหรับการเรียนภาษาที่ประเทศจีน เมืองฮาร์บิน
แต่!! ถ้าเกิดเข้ามาหวังว่าจะเห็นรูปหิมะตกสวยงาม สถานที่ท่องเที่ยวอันหลายหลายเราคิดว่ากระทู้นี้อาจไม่เหมาะนะคะ เพราะเราจะเน้นไปที่การเรียนการสอน บรรยากาศในห้องเรียนและกิจกรรมของมหาวิยาลัย แบบว่าเป็นชีวิตนักเรียนภาษาประเภทตื่นเช้ากินข้าวโรงอาหาร เข้าเรียน
แล้วกลับมานอนหอ ไร้ความตื่นเต้นใดๆทั้งปวง
(ท้ายๆอาจะแปะรูปที่เคยไปเที่ยวและอื่นๆ แต่จะเน้นที่การเรียนค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เริ่มจากที่เราเริ่มเรียนภาษาจีนด้วยตัวเองจนกระทั่งถึงทางตัน ตันในที่นี้คือมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ และไม่สามารถใช้กูเกิ้ลช่วยเหลือได้อีกต่อไป จึงเริ่มคิดอยากเรียนภาษาจีนขึ้นมาค่ะ ด้วยความที่คุณแม่ค่อนข้างสนับสนุนให้ไปเรียนที่แผ่นดินใหญ่ เราก็เริ่มค้นหาข้อมูลทันที
1.
เป้าหมายเราคืออยากไปเรียนจริงๆ (เรียนหนักไม่เกี่ยง ขอแค่คุ้มค่า) ไม่ชอบเมืองใหญ่ ไม่ชอบคนเยอะวุ่นวาย อยากได้ที่ค่าครองชีพต่ำๆ เพราะฉะนั้นเราตัดเมืองใหญ่ปักกิ่ง กว่างโจว เซี่ยงไฮ้ รวมถึงเมืองที่เริ่มเป็นที่นิยมอย่างเช่น ชิงเต่า หังโจว ออกไปด้วยค่ะ ตัวเลือกก็จะแคบลงมาเหลือไม่กี่เมืองเท่านั้น
2.
สำเนียงสำหรับเราเป็นสิ่งที่สำคัญ ด้วยความที่ภาษาจีนมีหลายจีน และในภาษาจีนกลางก็มีหลายสำเนียง เราจึงเล็งเมืองที่อยู่ทางเหนือ (ถึงแม้เหล่าซือจะบอกว่า เนี่ยนะก่อนที่บรรดาเหล่าซือจะมาสอนภาษาได้ จะต้องสอบการพูดจีนกลางหรือผู่ทงฮว่า 普通话 ให้ผ่านก่อน ไม่งั้นก็อด!) แต่เราก็ยังอยากจะไปทางเหนืออยู่ดีค่ะ เพราะคิดว่าการฟังและพูดนอกห้องเรียนก็สำคัญเช่นกัน
3.
ค่าที่พัก แต่ละเมืองแต่ละมหาลัยจะมีการเก็บที่พักแตกต่างกัน บางที่จะเก็บเป็นรายวันเหมือนโรงแรม ซึ่งเราว่ามันแพงมากกกกกกกกกกก จึงพยายามหาที่ที่คิดเป็นเดือนหรือเทอม จะถูกลงมามากกว่า แม้จะต้องนอนกันสองหรือสี่คนเราก็ไม่หวั่นค่ะ
4.
การเรียนการสอน บอกตรงๆว่าตอนแรกไม่รู้เลยว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง พยายามหาข้อมูลและอ่านรีวิวของคนอื่นมานานนับชาติก็ไม่ค่อยเจอคนที่รีวิวในห้องเรียนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราเลือกมหาลัยไม่ได้สักที เลยเริ่มหารีวิวภาษาอังกฤษค่ะ ทำให้เห็นว่าเวลาคนพูดถึง harbin institute of technology (ชื่อย่อคือ HIT หรือ 哈工大 ฮากงต้า)เนี่ย เรื่องเรียนจะมาก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงเริ่มเอนไปทางมอนี้อย่างง่ายดาย
ทั้งที่ตอนแรกบอกแม่ว่าจะไปไม่ขึ้นไปฮาร์บินเด็ดขาด -20 องศา -30 องศาใครจะไปอยู่ได้ แต่ก็ไปจนได้ !
เมื่อเราเลือกมหาลัยไว้ในใจแล้วต่อไปก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปเอง หรือไปกับเอเจนซี่ แต่เนื่องจากฮากงต้ามีเอเจนซี่เพียงรายเดียว พอโทรสอบถามก็ได้ความว่าเราบินไปเจอเขาที่นั่นเอง และมีค่าบริการเล็กน้อยในการพาซื้อของ พาทำเรื่องต่างๆ เราเลยเริ่มอยากไปเองซะมากกว่า หาไปหามาก็เจอเพจของพี่เอ็มในเฟสบุ๊คค่ะ
Study in Harbin [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/StudyinHarbin/
เมื่อเราติดต่อไปพี่เขาก็ให้แอดวีแชทและโทรคุยเพื่อให้เราได้สอบถามสิ่งที่เราอยากรู้ พร้อมกับให้คำแนะนำต่างๆ ตอนนั้นในเมืองฮาร์บินที่สอนภาษาจีนจะมีสองแห่งดังๆคือ HEU กับ HIT อยากรู้ว่ามันต่างกันยังไง เพราะค่าที่พัก ค่าเทอม ทำเล อะไรทุกอย่างแทบจะเหมือนกันหมด พี่เขาเลยบอกว่าที่ HEU จากหอเดินไปตึกเรียนและรถไฟใต้ดินค่อนข้างไกลมาก เดินกันอย่างต่ำก็ครึ่งชั่วโมง ส่วนที่ HIT ห่างแค่ประมาณ 500 เมตร หน้าหนาวมันจะสะดวกกว่า และการเรียนก็มีหลายคนที่บอกว่า HIT จะเข้มข้นกว่ามาก
สุดท้ายเราจึงตัดสินใจขึ้นไปหนาว คิดซะว่าอยู่ที่นี่ได้ ที่ไหนบนโลกก็น่าจะอยู่ไหวแหละวะ
พอวันเดินทางพี่เอ็มก็นัดเจอที่สนามบินค่ะ บินไปพร้อมกันกับคนอื่นๆที่เรียนในเทอมเดียวกัน พอจะอุ่นใจหน่อยเพราะอย่างน้อยถ้าเกิดเครื่องมีปัญหาก็ยังมีคนช่วยดูแล ภาษาจีนและภาษาอังกฤษระดับเราแล้ว......ข้ามตรงนี้ไปเถอะะะะะะ
ที่นี่แบ่งระดับคลาสเป็น
A > B > C > C+ > D > E > F > G เมื่อถึงวันลงทะเบียนเขาจะให้เราเลือกคลาสที่ต้องการเรียน ถ้าหากไม่มีพื้นฐานเลยก็จะได้ไปเรียนที่คลาส A แต่ถ้าต้องการไปคลาสอื่น ต้องทำการสอบพูดก่อน และวันต่อมาค่อยสอบข้อเขียน
เราเคยผ่านมาทั้งหมด 4 คลาสในสองเทอมคือ A B C+ และ D เนื่องจากย้ายคลาสไปมา (ด้วยความอยากลองและอยากรู้อยากเห็น) แต่สุดท้ายคลาสที่เรียนจริงๆคือ B และ C+ ค่ะ
นี่คือสภาพวันลงทะเบียนของฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 ซึ่งเป็นระบบเก่า วุ่นวายมากกกกกกก ต่อแถวกันคนแทบจะล้นตึก แต่ตอนนี้เป็นแบบใหม่ซึ่งเร็วและสะดวกขึ้น ทำให้ไม่ต้องไปเบียดและมุงวุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว ในการลงทะเบียนก็จะเช็ควีซ่า จ่ายค่าเทอม ทำบัตรนักเรียน เลือกคลาสเรียนและสอบพูดค่ะ
ทุกคลาสจะเรียนเพียงครึ่งวันคือ 8.00-12.00 หรือ 13.00-16.50
วันละ 2 วิชา วิชาละ 2 คาบ คาบละ 50 นาที
เวลาพักระหว่างคาบคือ 10 นาที ยกเว้นเรียนตอนเช้า จะได้พักระหว่างวิชา 20 นาที
(จะแนบตารางเรียนไว้ให้ที่คลาส C+ และ D ค่ะ)
เนื้อหาการเรียนจะขออธิบายเป็นคลาสไล่ไปตั้งแต่ต้นจนถึงระดับ D ที่เราเคยผ่านมานะคะ (E กำลังจะขึ้นเทอมหน้า ส่วน F G นั้น คงไม่ได้สัมผัส T_T)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.
คลาส A เป็นคลาสที่เราเข้าตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก เนื่องจากตอนลงทะเบียนเราขอลองไปสอบคลาส B แต่เพราะการต้องสอบพูดก่อนมันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรามาก เราฟังเหล่าซือพูดไม่ออกกกก (เห็นใจหนูบ้าง หนูอ่านเป็นอย่างเดียวอะะะ
) เลยต้องโดนบังคับให้มาเรียนที่คลาสนี้ค่ะ มีเรียนทั้งหมด 3 วิชาได้แก่ 综合(ไวยากรณ์) 阅读(การอ่าน) 听力(การฟัง)
หนังสือที่ใช้จะเป็นของ BLCU ทั้งหมด (ถ่ายมาให้ดูได้แค่ 听力 เพราะอย่างอื่นไม่อยู่กับตัวเลย) วิชาไวยากรณ์จะเริ่มเรียนตั้งแต่อ่านพินอิน การออกเสียง คำศัพท์พื้นๆง่ายๆในตอนเริ่ม พอหลังๆก็จะเริ่มยากขึ้น เราคิดว่าถ้าหากเรียนจบคลาสนี้ก็จะพอๆกับ HSK 2-3 ค่ะ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนๆที่เรียนคลาสเอกันน่าสงสารมาก เพราะการบ้านคัดเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก เราเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน คัดศัพท์ แก้ศัพท์ สอบทิงเสี่ย คัดตัวบท การบ้านเขียนอีก ไม่ต้องนอนกันพอดี
สำหรับวิชา 阅读 การอ่าน ก็จะให้รู้จักส่วนประกอบของตัวจีนว่ามีอะไรบ้าง อย่างเช่น 洗 มีเพียนผางเป็นอะไร ตัวนั้นหมายความว่าอย่างไร ว่าง่ายๆคือให้เข้าใจในการเดาศัพท์มากขึ้น น่าเสียดายมากที่เราไม่ได้สัมผัสกับวิชานี้เลย คิดว่ามันมีประโยชน์มากๆค่ะ และสุดท้ายคือ 听力 การฟัง จะเป็นการเปิดเทปให้ฟังช้าๆ แล้วเราก็ต้องเขียนพินอินและเสียงออกมาให้ถูกต้อง พอหลังๆจะกลายเป็นตัวจีนหมด ความยากก็มาเป็นล้านเท่าเลยทีเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.คลาส B ก่อนที่จะมาคลาสนี้เราได้เรียนที่คลาส A ก่อนหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป ค่อนข้างเสียเวลาสำหรับเรา เราอยากให้หนึ่งปีที่ต้องเสียไปได้ประโยชน์มากที่สุด เลยขอเหล่าซือไปลองสอบ ตลกมากตรงที่ไม่ต้องสอบพูด ไปถึงก็ทำข้อเขียนเลย
ข้อสอบมีหลายพาร์ทอย่างแรกคือให้พินอินมาและเขียนตัวจีน (ปัจจุบันอาจจะไม่มีแล้วค่ะ เพราะเห็นเหล่าซือบอกว่ามันยากเกินไป) หรือมีตัวจีนมาให้เขียนพินอิน ต่อมาคือการเรียงประโยค การเติมประโยค การอ่าน การเขียน ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่น่ารอด เพราะเราไม่เคยฝึกเขียนมาก่อนเลย เวลาเขียนคำตอบก็ต้องพลิกไปดูด้านหน้าว่าเขียนยังไง เขียนก็ช้าาาา สุดท้ายเหลือแผ่นหลังทั้งแผ่นไม่ได้เขียน แต่เหล่าซือตรวจออกมาก็ผ่านครึ่งค่ะ ได้มาที่คลาส B สมใจอยาก
คราวนี้วิชาที่เรียนก็จะไม่เหมือนกับ A แล้ว เนื่องจากเปลี่ยนวิชา 阅读 มาเป็น 口语(การพูด) นั่นเอง ครั้งแรกที่เข้าคลาสเรากลัวมาก เพราะไม่เคยพูดมาก่อน คิดสภาพถ้าให้แนะนำตัวก็จ๋อยแล้ว แต่รอดค่ะวันแรกไม่มีวิชาพูด เป็นไวยากรณ์กับการฟัง ซึ่งโอเคเราทำได้
ในคลาสเหล่าซือไม่มีการพูดภาษาอะไรนอกจากจีนค่ะ ทุกอย่างอธิบายเป็นภาษาจีนหมด เพราะฉะนั้นเราต้องฟังตลอดไม่งั้นจะหลุดเอา เหล่าซือแต่ละคนจะใช้วิธีการอธิบายไม่เหมือนกัน อย่างเช่นหลิวเหล่าซือที่สอนไวยากรณ์จะเริ่มอธิบายหลักการใช้และรูปประโยคก่อน จากนั้นค่อยเข้าสู่คำศัพท์และต่อด้วยการอ่านตัวบท แต่ละบทจะใช้เวลาประมาณ 2 วันหรือเท่ากับ 4 คาบ (200 นาที) ส่วนการบ้านก็จะมีคัดศัพท์บ้าง แต่ส่วนมากจะให้แต่งประโยคหรือเขียนเรียงความสั้นๆมากกว่าค่ะ
หลิวเหล่าซือเก่งเลขมากกกกก จริงๆอยากเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ เหล่าซือเองก็บอกไม่รู้เหมือนกันทำไมมาสอนภาษาจีนได้ แต่เพราะความเก่งเลขของเหล่าซือนี่แหละทำให้การอธิบายไม่ใช้ความจำแต่เป็นความเข้าใจ ใช้ภาพ แผนผัง และการเคลื่อนไหวมาอธิบายให้นักเรียนได้ชัดเจนมาก
ต่อมาคือวิชาการพูดค่ะ ตอนแรกเราบอกว่ากลัววิชานี้มากใช่ไหม แต่พอเรียนไปแค่แปปเดียวมันก็กลายเป็นวิชาที่โปรดที่สุดของเราไปเลย การเรียนก็ตามชื่อวิชาเลยค่ะ พูดดดดดดด เหล่าซือถามอะไรก็ตอบไปเลย ประโยคกวนๆก็ได้ ขอแค่ได้พูด ซึ่งไวยากรณ์ที่ใช้จะสัมพันธ์กับวิชาไวยากรณ์ทำให้เราไปไวขึ้น เหมือนกับเรียนการใช้แล้วก็มาใช้ในทันที บางครั้งก็มีจับกลุ่มแสดงละครหน้าชั้นโดยอิงจากบทเรียน ซึ่งมันทำให้เราได้ศัพท์ใหม่เยอะมาก สาแก่ใจอิช้อยนัก
รูปนี้พีคมาก เหล่าซือให้เป็นโฆษกฟุตบอล
[CR] (Review) รีวิว--เรียนภาษาจีน--ที่ฮาร์บิน (HIT) แบบพยายามเจาะลึกถึงกระดานดำของเหล่าซือ
แล้วกลับมานอนหอ ไร้ความตื่นเต้นใดๆทั้งปวง (ท้ายๆอาจะแปะรูปที่เคยไปเที่ยวและอื่นๆ แต่จะเน้นที่การเรียนค่ะ)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เริ่มจากที่เราเริ่มเรียนภาษาจีนด้วยตัวเองจนกระทั่งถึงทางตัน ตันในที่นี้คือมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ และไม่สามารถใช้กูเกิ้ลช่วยเหลือได้อีกต่อไป จึงเริ่มคิดอยากเรียนภาษาจีนขึ้นมาค่ะ ด้วยความที่คุณแม่ค่อนข้างสนับสนุนให้ไปเรียนที่แผ่นดินใหญ่ เราก็เริ่มค้นหาข้อมูลทันที
1.เป้าหมายเราคืออยากไปเรียนจริงๆ (เรียนหนักไม่เกี่ยง ขอแค่คุ้มค่า) ไม่ชอบเมืองใหญ่ ไม่ชอบคนเยอะวุ่นวาย อยากได้ที่ค่าครองชีพต่ำๆ เพราะฉะนั้นเราตัดเมืองใหญ่ปักกิ่ง กว่างโจว เซี่ยงไฮ้ รวมถึงเมืองที่เริ่มเป็นที่นิยมอย่างเช่น ชิงเต่า หังโจว ออกไปด้วยค่ะ ตัวเลือกก็จะแคบลงมาเหลือไม่กี่เมืองเท่านั้น
2.สำเนียงสำหรับเราเป็นสิ่งที่สำคัญ ด้วยความที่ภาษาจีนมีหลายจีน และในภาษาจีนกลางก็มีหลายสำเนียง เราจึงเล็งเมืองที่อยู่ทางเหนือ (ถึงแม้เหล่าซือจะบอกว่า เนี่ยนะก่อนที่บรรดาเหล่าซือจะมาสอนภาษาได้ จะต้องสอบการพูดจีนกลางหรือผู่ทงฮว่า 普通话 ให้ผ่านก่อน ไม่งั้นก็อด!) แต่เราก็ยังอยากจะไปทางเหนืออยู่ดีค่ะ เพราะคิดว่าการฟังและพูดนอกห้องเรียนก็สำคัญเช่นกัน
3.ค่าที่พัก แต่ละเมืองแต่ละมหาลัยจะมีการเก็บที่พักแตกต่างกัน บางที่จะเก็บเป็นรายวันเหมือนโรงแรม ซึ่งเราว่ามันแพงมากกกกกกกกกกก จึงพยายามหาที่ที่คิดเป็นเดือนหรือเทอม จะถูกลงมามากกว่า แม้จะต้องนอนกันสองหรือสี่คนเราก็ไม่หวั่นค่ะ
4.การเรียนการสอน บอกตรงๆว่าตอนแรกไม่รู้เลยว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง พยายามหาข้อมูลและอ่านรีวิวของคนอื่นมานานนับชาติก็ไม่ค่อยเจอคนที่รีวิวในห้องเรียนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราเลือกมหาลัยไม่ได้สักที เลยเริ่มหารีวิวภาษาอังกฤษค่ะ ทำให้เห็นว่าเวลาคนพูดถึง harbin institute of technology (ชื่อย่อคือ HIT หรือ 哈工大 ฮากงต้า)เนี่ย เรื่องเรียนจะมาก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงเริ่มเอนไปทางมอนี้อย่างง่ายดาย
ทั้งที่ตอนแรกบอกแม่ว่าจะไปไม่ขึ้นไปฮาร์บินเด็ดขาด -20 องศา -30 องศาใครจะไปอยู่ได้ แต่ก็ไปจนได้ !
เมื่อเราเลือกมหาลัยไว้ในใจแล้วต่อไปก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปเอง หรือไปกับเอเจนซี่ แต่เนื่องจากฮากงต้ามีเอเจนซี่เพียงรายเดียว พอโทรสอบถามก็ได้ความว่าเราบินไปเจอเขาที่นั่นเอง และมีค่าบริการเล็กน้อยในการพาซื้อของ พาทำเรื่องต่างๆ เราเลยเริ่มอยากไปเองซะมากกว่า หาไปหามาก็เจอเพจของพี่เอ็มในเฟสบุ๊คค่ะ Study in Harbin [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อเราติดต่อไปพี่เขาก็ให้แอดวีแชทและโทรคุยเพื่อให้เราได้สอบถามสิ่งที่เราอยากรู้ พร้อมกับให้คำแนะนำต่างๆ ตอนนั้นในเมืองฮาร์บินที่สอนภาษาจีนจะมีสองแห่งดังๆคือ HEU กับ HIT อยากรู้ว่ามันต่างกันยังไง เพราะค่าที่พัก ค่าเทอม ทำเล อะไรทุกอย่างแทบจะเหมือนกันหมด พี่เขาเลยบอกว่าที่ HEU จากหอเดินไปตึกเรียนและรถไฟใต้ดินค่อนข้างไกลมาก เดินกันอย่างต่ำก็ครึ่งชั่วโมง ส่วนที่ HIT ห่างแค่ประมาณ 500 เมตร หน้าหนาวมันจะสะดวกกว่า และการเรียนก็มีหลายคนที่บอกว่า HIT จะเข้มข้นกว่ามาก
สุดท้ายเราจึงตัดสินใจขึ้นไปหนาว คิดซะว่าอยู่ที่นี่ได้ ที่ไหนบนโลกก็น่าจะอยู่ไหวแหละวะ
พอวันเดินทางพี่เอ็มก็นัดเจอที่สนามบินค่ะ บินไปพร้อมกันกับคนอื่นๆที่เรียนในเทอมเดียวกัน พอจะอุ่นใจหน่อยเพราะอย่างน้อยถ้าเกิดเครื่องมีปัญหาก็ยังมีคนช่วยดูแล ภาษาจีนและภาษาอังกฤษระดับเราแล้ว......ข้ามตรงนี้ไปเถอะะะะะะ
ที่นี่แบ่งระดับคลาสเป็น A > B > C > C+ > D > E > F > G เมื่อถึงวันลงทะเบียนเขาจะให้เราเลือกคลาสที่ต้องการเรียน ถ้าหากไม่มีพื้นฐานเลยก็จะได้ไปเรียนที่คลาส A แต่ถ้าต้องการไปคลาสอื่น ต้องทำการสอบพูดก่อน และวันต่อมาค่อยสอบข้อเขียน
เราเคยผ่านมาทั้งหมด 4 คลาสในสองเทอมคือ A B C+ และ D เนื่องจากย้ายคลาสไปมา (ด้วยความอยากลองและอยากรู้อยากเห็น) แต่สุดท้ายคลาสที่เรียนจริงๆคือ B และ C+ ค่ะ
นี่คือสภาพวันลงทะเบียนของฤดูใบไม้ร่วงปี 2016 ซึ่งเป็นระบบเก่า วุ่นวายมากกกกกกก ต่อแถวกันคนแทบจะล้นตึก แต่ตอนนี้เป็นแบบใหม่ซึ่งเร็วและสะดวกขึ้น ทำให้ไม่ต้องไปเบียดและมุงวุ่นวายเหมือนเดิมแล้ว ในการลงทะเบียนก็จะเช็ควีซ่า จ่ายค่าเทอม ทำบัตรนักเรียน เลือกคลาสเรียนและสอบพูดค่ะ
วันละ 2 วิชา วิชาละ 2 คาบ คาบละ 50 นาที
เวลาพักระหว่างคาบคือ 10 นาที ยกเว้นเรียนตอนเช้า จะได้พักระหว่างวิชา 20 นาที
(จะแนบตารางเรียนไว้ให้ที่คลาส C+ และ D ค่ะ)
เนื้อหาการเรียนจะขออธิบายเป็นคลาสไล่ไปตั้งแต่ต้นจนถึงระดับ D ที่เราเคยผ่านมานะคะ (E กำลังจะขึ้นเทอมหน้า ส่วน F G นั้น คงไม่ได้สัมผัส T_T)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.คลาส A เป็นคลาสที่เราเข้าตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก เนื่องจากตอนลงทะเบียนเราขอลองไปสอบคลาส B แต่เพราะการต้องสอบพูดก่อนมันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรามาก เราฟังเหล่าซือพูดไม่ออกกกก (เห็นใจหนูบ้าง หนูอ่านเป็นอย่างเดียวอะะะ ) เลยต้องโดนบังคับให้มาเรียนที่คลาสนี้ค่ะ มีเรียนทั้งหมด 3 วิชาได้แก่ 综合(ไวยากรณ์) 阅读(การอ่าน) 听力(การฟัง)
หนังสือที่ใช้จะเป็นของ BLCU ทั้งหมด (ถ่ายมาให้ดูได้แค่ 听力 เพราะอย่างอื่นไม่อยู่กับตัวเลย) วิชาไวยากรณ์จะเริ่มเรียนตั้งแต่อ่านพินอิน การออกเสียง คำศัพท์พื้นๆง่ายๆในตอนเริ่ม พอหลังๆก็จะเริ่มยากขึ้น เราคิดว่าถ้าหากเรียนจบคลาสนี้ก็จะพอๆกับ HSK 2-3 ค่ะ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนๆที่เรียนคลาสเอกันน่าสงสารมาก เพราะการบ้านคัดเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก เราเห็นแล้วยังเหนื่อยแทน คัดศัพท์ แก้ศัพท์ สอบทิงเสี่ย คัดตัวบท การบ้านเขียนอีก ไม่ต้องนอนกันพอดี
สำหรับวิชา 阅读 การอ่าน ก็จะให้รู้จักส่วนประกอบของตัวจีนว่ามีอะไรบ้าง อย่างเช่น 洗 มีเพียนผางเป็นอะไร ตัวนั้นหมายความว่าอย่างไร ว่าง่ายๆคือให้เข้าใจในการเดาศัพท์มากขึ้น น่าเสียดายมากที่เราไม่ได้สัมผัสกับวิชานี้เลย คิดว่ามันมีประโยชน์มากๆค่ะ และสุดท้ายคือ 听力 การฟัง จะเป็นการเปิดเทปให้ฟังช้าๆ แล้วเราก็ต้องเขียนพินอินและเสียงออกมาให้ถูกต้อง พอหลังๆจะกลายเป็นตัวจีนหมด ความยากก็มาเป็นล้านเท่าเลยทีเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.คลาส B ก่อนที่จะมาคลาสนี้เราได้เรียนที่คลาส A ก่อนหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป ค่อนข้างเสียเวลาสำหรับเรา เราอยากให้หนึ่งปีที่ต้องเสียไปได้ประโยชน์มากที่สุด เลยขอเหล่าซือไปลองสอบ ตลกมากตรงที่ไม่ต้องสอบพูด ไปถึงก็ทำข้อเขียนเลย
ข้อสอบมีหลายพาร์ทอย่างแรกคือให้พินอินมาและเขียนตัวจีน (ปัจจุบันอาจจะไม่มีแล้วค่ะ เพราะเห็นเหล่าซือบอกว่ามันยากเกินไป) หรือมีตัวจีนมาให้เขียนพินอิน ต่อมาคือการเรียงประโยค การเติมประโยค การอ่าน การเขียน ตอนนั้นคิดในใจว่าไม่น่ารอด เพราะเราไม่เคยฝึกเขียนมาก่อนเลย เวลาเขียนคำตอบก็ต้องพลิกไปดูด้านหน้าว่าเขียนยังไง เขียนก็ช้าาาา สุดท้ายเหลือแผ่นหลังทั้งแผ่นไม่ได้เขียน แต่เหล่าซือตรวจออกมาก็ผ่านครึ่งค่ะ ได้มาที่คลาส B สมใจอยาก
คราวนี้วิชาที่เรียนก็จะไม่เหมือนกับ A แล้ว เนื่องจากเปลี่ยนวิชา 阅读 มาเป็น 口语(การพูด) นั่นเอง ครั้งแรกที่เข้าคลาสเรากลัวมาก เพราะไม่เคยพูดมาก่อน คิดสภาพถ้าให้แนะนำตัวก็จ๋อยแล้ว แต่รอดค่ะวันแรกไม่มีวิชาพูด เป็นไวยากรณ์กับการฟัง ซึ่งโอเคเราทำได้
ในคลาสเหล่าซือไม่มีการพูดภาษาอะไรนอกจากจีนค่ะ ทุกอย่างอธิบายเป็นภาษาจีนหมด เพราะฉะนั้นเราต้องฟังตลอดไม่งั้นจะหลุดเอา เหล่าซือแต่ละคนจะใช้วิธีการอธิบายไม่เหมือนกัน อย่างเช่นหลิวเหล่าซือที่สอนไวยากรณ์จะเริ่มอธิบายหลักการใช้และรูปประโยคก่อน จากนั้นค่อยเข้าสู่คำศัพท์และต่อด้วยการอ่านตัวบท แต่ละบทจะใช้เวลาประมาณ 2 วันหรือเท่ากับ 4 คาบ (200 นาที) ส่วนการบ้านก็จะมีคัดศัพท์บ้าง แต่ส่วนมากจะให้แต่งประโยคหรือเขียนเรียงความสั้นๆมากกว่าค่ะ
หลิวเหล่าซือเก่งเลขมากกกกก จริงๆอยากเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ เหล่าซือเองก็บอกไม่รู้เหมือนกันทำไมมาสอนภาษาจีนได้ แต่เพราะความเก่งเลขของเหล่าซือนี่แหละทำให้การอธิบายไม่ใช้ความจำแต่เป็นความเข้าใจ ใช้ภาพ แผนผัง และการเคลื่อนไหวมาอธิบายให้นักเรียนได้ชัดเจนมาก
ต่อมาคือวิชาการพูดค่ะ ตอนแรกเราบอกว่ากลัววิชานี้มากใช่ไหม แต่พอเรียนไปแค่แปปเดียวมันก็กลายเป็นวิชาที่โปรดที่สุดของเราไปเลย การเรียนก็ตามชื่อวิชาเลยค่ะ พูดดดดดดด เหล่าซือถามอะไรก็ตอบไปเลย ประโยคกวนๆก็ได้ ขอแค่ได้พูด ซึ่งไวยากรณ์ที่ใช้จะสัมพันธ์กับวิชาไวยากรณ์ทำให้เราไปไวขึ้น เหมือนกับเรียนการใช้แล้วก็มาใช้ในทันที บางครั้งก็มีจับกลุ่มแสดงละครหน้าชั้นโดยอิงจากบทเรียน ซึ่งมันทำให้เราได้ศัพท์ใหม่เยอะมาก สาแก่ใจอิช้อยนัก
รูปนี้พีคมาก เหล่าซือให้เป็นโฆษกฟุตบอล