จะขอพูดถึงเราๆท่านส่วนใหญ่. ที่ชอบทำบุญชอบให้ทานช่วยเหลือผู้อื่น อยู่บ่อยๆหรืออาจจะแค่ชั่วคร้งชั่วคราวก็ตาม
ที่จะพูดก็คือ หลังจากผ่านกิจกรรมการทำบุญให้ทานไปแล้ว เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเรานั้นได้เป็นคนดีตามโลกสมมุติบัญญัติขึ้นมาขณะหนึ่งแล้ว เป็นบุคคลที่น่ายกย่องเชิดชูอย่างสูงสุดถึงแม้จะรู้สึกอยู่ภายในคนเดียวเพียงชั่วครู่ก็ตาม
แต่แล้วทันใดนั้นหลังจากเสร็จกิจกรรมหรือการกระทำนั้นๆ กลับรู้สึกเหมือนหันกลับคืนมาสู่โลกปรกติอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมตรงนั้นมา โดยคำว่าโลกปรกติในที่นี้จะหมายถึงโลกแห่งการเอารัดเอาเปรียบ โลกแห่งการแข่งขัน โลกแห่งความเห็นแก่ตัวอันไร้ขอบเขตไม่สิ้นสุด โลกแห่งการแย่งชิง ทั้งๆที่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเราเพิ่งมีการให้ทานไปหยกๆ และรู้สึกดีกับการกระทำของเราด้วย
ที่จะบอกคือโลกเราทุกวันนี้มันโหดร้าย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำต้องรอเศษเงินของนายจ้างที่เขี่ยมาให้ วันละสองสามร้อย แบบไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร หรือแม้แต่คนที่รวยล้นฟ้า มีกินมีใช้ไปทั้งชาติยังไม่หมด ก็ยังมีความทุกข์ในแบบของคนรวย อาจจะทุกข์จากการไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนดี หรือกลัวใครจะมาฉ้อโกงเอาทรัพย์สมบัติไปก็ตาม และไม่ว่าคนรวยหรือจนล้วนมีทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทางกายไม่ต่างกันและไม่มีทางหลีกหนี เพราะโรคภัยต่างๆมันมีเป็นธรรมดาของชีวิตในภพภูมิชั้นกลางจนถึงชั้นต่ำทั้งหลายในโลกสมมุตินี้
ทั้งนี้การให้ทาน ก็เป็นการสร้างบุญเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทรงตรัส โดยหากเรียงตามลำดับจากน้อยไปหามากคือ ทาน ศีล ภาวนาแล้ว ยังมีการสร้างบุญอื่นๆที่สูงกว่าอนิสงส์มากว่าการให้ทาน คือศีล และภาวนา ที่สำคัญมันอาจจะง่ายกว่าในการสร้างบุญด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจในการรักษาศีลและภาวนาอีกด้วย
แม้แต่ในระดับของทาน หากเราเข้าใจวัตถุประสงค์ จุดประสงค์ และความมุ่งหมายของการให้ทานทำทานนั้น บุญที่เกิดอานิสงส์ที่เกิดขึ้น ก็จะมีมากข้ามขั้นของ ศีล ไปเท่ากับกับการภาวนาเลยทีเดียว นั้นคือ
การสละความโลภ ออกจากจิตออกจากใจ ความโลภเป็นหนึ่งในสามหัวหน้ากิเลส เครื่องร้อยรัดดวงจิตเราให้ติดอยู่ในวัฎฐะสงสารนี้ อันมี โลภะ โทสะ และโมหะ โดยหากเราเข้าใจว่าการให้ทานคือการที่เรายอมสละทรัพย์สละเวลาสละกำลังกายหรืออื่นๆที่เรามีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเราเข้าไปยึดมาเป็นของเรา แต่เรายอมสละมันออก ซึ่งเพียงแค่สละออกเราอาจจะได้เพียงบุญแต่อานิสงส์หรือผลพวงยังไม่มี แต่ถ้าใส่ผู้รับเข้าไปในองค์ประกอบแล้ว บุญคือความเบาความบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นของดวงจิตในขณะสละความโลภออก จะมีผลของการให้เป็นอานิสงส์ที่ขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ในดวงจิตของผู้รับเช่นกัน อาจเรียกว่าเนื้อนาบุญก็ได้เรียงจากดวงจิตแบสัตว์เดรฉาน ไปจนถึงสูงสุดจิตแบบพระอรหันต์ที่มีความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งสามสิ้นสังโยนช์แล้ว ตามลำดับ
แต่หากเราเข้าใจหลักการทั้งหมดแล้ว เพียงเราสละความโลภออกจากใจบุญก็เกิดก็มีขึ้นได้แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องมีผู้รับบุญที่เกิดก็ไม่ต่างกันหากเข้าใจ ยิ่งถ้าเห็นถึงการเกิดดับของอารมณ์ ทั้งหลายแล้วเข้าไปสังเกตุอารมณ์ที่อยากครอบครองในสิ่งต่างๆที่เราเข้าไปยึดและเราสามารถสละทิ้งไปได้ แม้แต่ความโกรธที่เป็นอกุศลฝ่ายโทษะ ที่เรียกว่าการให้อภัยทาน ถือเป็นทานสูงสุด เพราะเป็นการสละทั้งโลภะ และโทษะไปพร้อมกัน นั้นคือเราเข้าถึงการภาวนาแล้ว
หากทำทานโดยความเข้าใจในการสละ กิเลสทิ้งไปเรื่อยๆแบบนี้ให้มากกว่า การคิดจะเข้าไปยึดในสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปตาม หลักอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตาแล้ว ให้สัดส่วนของการสละกิเลสทิ้งมากว่าการยึด วันนึง เหตุที่เราสร้างก็จะส่งผลให้ไปถึงฝั่งพระนิพพานในที่สุดนั้นเอง
ผลของทานส่งไปถึงพระนิพพาน
ผลของการให้ทาน ส่งให้ถึง พระนิพพาน
ที่จะพูดก็คือ หลังจากผ่านกิจกรรมการทำบุญให้ทานไปแล้ว เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเรานั้นได้เป็นคนดีตามโลกสมมุติบัญญัติขึ้นมาขณะหนึ่งแล้ว เป็นบุคคลที่น่ายกย่องเชิดชูอย่างสูงสุดถึงแม้จะรู้สึกอยู่ภายในคนเดียวเพียงชั่วครู่ก็ตาม
แต่แล้วทันใดนั้นหลังจากเสร็จกิจกรรมหรือการกระทำนั้นๆ กลับรู้สึกเหมือนหันกลับคืนมาสู่โลกปรกติอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมตรงนั้นมา โดยคำว่าโลกปรกติในที่นี้จะหมายถึงโลกแห่งการเอารัดเอาเปรียบ โลกแห่งการแข่งขัน โลกแห่งความเห็นแก่ตัวอันไร้ขอบเขตไม่สิ้นสุด โลกแห่งการแย่งชิง ทั้งๆที่เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเราเพิ่งมีการให้ทานไปหยกๆ และรู้สึกดีกับการกระทำของเราด้วย
ที่จะบอกคือโลกเราทุกวันนี้มันโหดร้าย โดยเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำต้องรอเศษเงินของนายจ้างที่เขี่ยมาให้ วันละสองสามร้อย แบบไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร หรือแม้แต่คนที่รวยล้นฟ้า มีกินมีใช้ไปทั้งชาติยังไม่หมด ก็ยังมีความทุกข์ในแบบของคนรวย อาจจะทุกข์จากการไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนดี หรือกลัวใครจะมาฉ้อโกงเอาทรัพย์สมบัติไปก็ตาม และไม่ว่าคนรวยหรือจนล้วนมีทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทางกายไม่ต่างกันและไม่มีทางหลีกหนี เพราะโรคภัยต่างๆมันมีเป็นธรรมดาของชีวิตในภพภูมิชั้นกลางจนถึงชั้นต่ำทั้งหลายในโลกสมมุตินี้
ทั้งนี้การให้ทาน ก็เป็นการสร้างบุญเบื้องต้นที่พระพุทธองค์ทรงตรัส โดยหากเรียงตามลำดับจากน้อยไปหามากคือ ทาน ศีล ภาวนาแล้ว ยังมีการสร้างบุญอื่นๆที่สูงกว่าอนิสงส์มากว่าการให้ทาน คือศีล และภาวนา ที่สำคัญมันอาจจะง่ายกว่าในการสร้างบุญด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจในการรักษาศีลและภาวนาอีกด้วย
แม้แต่ในระดับของทาน หากเราเข้าใจวัตถุประสงค์ จุดประสงค์ และความมุ่งหมายของการให้ทานทำทานนั้น บุญที่เกิดอานิสงส์ที่เกิดขึ้น ก็จะมีมากข้ามขั้นของ ศีล ไปเท่ากับกับการภาวนาเลยทีเดียว นั้นคือ
การสละความโลภ ออกจากจิตออกจากใจ ความโลภเป็นหนึ่งในสามหัวหน้ากิเลส เครื่องร้อยรัดดวงจิตเราให้ติดอยู่ในวัฎฐะสงสารนี้ อันมี โลภะ โทสะ และโมหะ โดยหากเราเข้าใจว่าการให้ทานคือการที่เรายอมสละทรัพย์สละเวลาสละกำลังกายหรืออื่นๆที่เรามีความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเราเข้าไปยึดมาเป็นของเรา แต่เรายอมสละมันออก ซึ่งเพียงแค่สละออกเราอาจจะได้เพียงบุญแต่อานิสงส์หรือผลพวงยังไม่มี แต่ถ้าใส่ผู้รับเข้าไปในองค์ประกอบแล้ว บุญคือความเบาความบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นของดวงจิตในขณะสละความโลภออก จะมีผลของการให้เป็นอานิสงส์ที่ขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ในดวงจิตของผู้รับเช่นกัน อาจเรียกว่าเนื้อนาบุญก็ได้เรียงจากดวงจิตแบสัตว์เดรฉาน ไปจนถึงสูงสุดจิตแบบพระอรหันต์ที่มีความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งสามสิ้นสังโยนช์แล้ว ตามลำดับ
แต่หากเราเข้าใจหลักการทั้งหมดแล้ว เพียงเราสละความโลภออกจากใจบุญก็เกิดก็มีขึ้นได้แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องมีผู้รับบุญที่เกิดก็ไม่ต่างกันหากเข้าใจ ยิ่งถ้าเห็นถึงการเกิดดับของอารมณ์ ทั้งหลายแล้วเข้าไปสังเกตุอารมณ์ที่อยากครอบครองในสิ่งต่างๆที่เราเข้าไปยึดและเราสามารถสละทิ้งไปได้ แม้แต่ความโกรธที่เป็นอกุศลฝ่ายโทษะ ที่เรียกว่าการให้อภัยทาน ถือเป็นทานสูงสุด เพราะเป็นการสละทั้งโลภะ และโทษะไปพร้อมกัน นั้นคือเราเข้าถึงการภาวนาแล้ว
หากทำทานโดยความเข้าใจในการสละ กิเลสทิ้งไปเรื่อยๆแบบนี้ให้มากกว่า การคิดจะเข้าไปยึดในสรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปตาม หลักอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตาแล้ว ให้สัดส่วนของการสละกิเลสทิ้งมากว่าการยึด วันนึง เหตุที่เราสร้างก็จะส่งผลให้ไปถึงฝั่งพระนิพพานในที่สุดนั้นเอง
ผลของทานส่งไปถึงพระนิพพาน