“depression ไม่ได้เท่ากับ Sad และคนทั่วไปไม่จำเป็นต้องมารองรับอารมณ์ของคนเป็นโรคซึมเศร้า“ BYนศที่พยายามฆ่าตัวตาย 6 ครั้ง

สวัสดีครับ จากกระแสโรคซึมเศร้าออฟเดอะท็อปปิคอินเดอะอินเตอร์เนทที่ผ่านมา ทำให้อดไม่ได้ที่อยากจะลองเขียนแชร์ประสบการณ์และความรู้สึก ในฐานะเพื่อนสนิทของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าท่านหนึ่ง และมุมมองอีกด้านของคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่ต้องมารับมือและอยู่ในวงโคจรของกันและกัน

วันนี้เราจึงทำเป็นบทความถาม-ตอบ สไตล์เราขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการแชร์ประสบการณ์

*** อ่านบรรทัดนี้สามรอบนะครับ

“ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ส่วนตัวจากที่เราและเพื่อนได้เจอมา ไม่จำเป็นว่าทุกเคสต้องทำแบบพวกเรา ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งหมดนั้นมันเป็นเคสบายเคสจริงๆ อยากให้ได้อ่านเอาสาระ(ถ้ามันมี)ตรงไหนก็ได้ไป มากกว่าจะมานั่งคิดว่าต้องยึดเอาประสบการณ์ที่เราเจอมา เป็น ‘บรรทัดฐาน’ เพื่อเอาไป judge ใคร เพราะในสายตาเรา(คนเขียน)มนุษย์ทุกคนล้วน ‘แตกต่างกัน’ อย่าด่วนตัดสินใครเพียงแค่คุณได้อ่านมาเพียงเศษเสี้ยวเดียว  ทุกอย่างมีบริบทในตัวมันเองเสมอ”

-    เป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ตอนไหน?

ถ้ารู้ตัวแบบหมอวินิจฉัยจริงๆว่าเป็นโรคซึมเศร้า(มีใบรับรองแพทย์)คือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

คิดว่าสาเหตุสะสมมาจากความเครียดตั้งแต่ในวัยเด็ก ช่วงนั้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทั้งเรื่องเพื่อน แฟน ครอบครัว และเหมือนเราโตขึ้น ความคิดความอ่านก็เปลี่ยนไป

ตอนแรกไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นเพราะคิดว่ามันเป็นแค่ “อารมณ์ช่วงหนึ่ง” คิดว่าออกไปวิ่ง ออกไปทำอะไรเดี๊ยวมันก็หายไปเอง แต่มันไม่ใช่ไง มันมาพีคสุดตรงฆ่าตัวตาย กินยาพาราไปเกือบหกสิบกว่าเม็ดอ่ะ พยายามฆ่าตัวตายแล้วก็เลยตั้งคำถามว่า เห้ย เราปล่อยให้ตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ?  

คือไม่ใช่ว่ากลับความคิดได้และเลิกฆ่าตัวตายนะ คือมันทำไปแล้วแต่มันดันรอดไปได้ โชคดีมากแล้วก็เออ คิดว่านั้นแหละต้องไปหาหมอ

-    โรคซึมเศร้าไม่ได้แปลว่าต้องเศร้าตลอดเวลา?

ถูก คืออารมณ์มันขึ้นๆลงๆ แต่ไม่ได้แปลว่าต้องเศร้าตลอดเวลา อย่างที่บอกไป  depression ไม่ได้เท่ากับ Sad

แต่พอคนปกติทั่วไปแปลว่ามันเป็นโรคซึมเศร้าก็จะคิดว่าเราแมร่งต้องเศร้าตลอดเวลาหรือคนที่จะเป็นโรคนี้ได้ ต้องเป็นพวกนิ่งๆ เงียบๆ เก็บตัวไม่เข้าสังคม เห้ย จริงๆมันไม่ใช่ จะเป็นคนที่กำลังออกกำลังกาย เล่นกีฬา ดูหนังฟังเพลง ทุกคนมีโอกาสเป็นได้หมด แต่กลับกัน บางคนที่นั่งร้องไห้อยู่อาจะไม่ได้แปลว่าเป็นดีเพรชชั่น ซึ่งโรคซึมเศร้ามันจำเป็นต้องให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นจริงๆ ไม่ใช่ทึกทักไปเองว่ากูป่วย อันนั้นไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า อันนั้นเป็นโรค ‘อยาก’ จะซึมเศร้า เหมือนคุณจะเป็นพวกเบาหวานความดัน คุณมโนเองไม่ได้ว่าเป็นเองคุณต้องให้หมอตรวจเว้ยแล้วยืนยัน ไอ้โรคนี้ก็เหมือนกัน

คือแบบอย่างเคสกู กูแค่รู้สึกว่ามันดาวน์ตลอดเวลา เหมือนแบบ...//นิ่งคิด (หมดไฟป่ะ?) เออใช่ หมดไฟ อารมณ์แบบ มันนิ่งๆอ่ะ เรียบแบบเนี้ย //ทำมือวาดผ่านหน้าแบบให้เห็นว่าอารมณ์มันราบเรียบจริงๆ

คือเคยมีแม้กระทั้งคนถามว่าคนเป็นโรคเนี้ย ตอนเวลามี sex กับแฟนจะรู้สึกยังไง จะบ้าเหรอ ? เรารู้สึกเหมือนคนอื่นแบบคนปกติทั่วไป การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้แปลว่าเราจะไม่รู้สึกอื่นๆนอกจากเศร้า

อย่างที่เราย้ำไป depression ไม่ได้เท่ากับ Sad    

-    ช่วงแรกๆที่เป็นใช้ชีวิตยังไง และชีวิตเป็นแบบไหน?

เอาตามภาวะที่เป็น จริงๆมันบอกไม่ได้ว่าเป็นโรคซึมเศร้าแล้วต้องใช้ชีวิตแบบไหน  คือจริงๆที่เป็นมันไม่ใช่เศร้า แต่อารมณ์มันดาวน์แบบราบเรียบ แบบกูไม่ยินดียินร้ายอะไรแล้วอ่ะ เหมือนกับว่า เออ อยู่ก็ได้ ตายก็ได้ คือความรู้สึกมันแบบ ....(มันจม?) อื้อ มันจม มันจมแบบหมดไฟ หมดพลังงานจะทำอะไร คือมันรู้นะว่าไอ้สิ่งที่เป็นมันแย่ แต่มันไม่มีพลังงานสู้ต่อเลย อะไรที่เคยทำแล้วมีความสุข ทำเหมือนเดิมก็ไม่มีความสุขแล้ว

มันเหมือนเราหาความสุขได้ยากมากขึ้นกว่าเดิม ตื่นมาทุกเช้าด้วยคำถามที่ว่า กูจะอยู่ไปทำไม อยู่ไปทำอะไรวะ ไม่อยู่ก็ได้ คือไม่ได้รู้สึกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจจนตัวเองอยากตาย มันแค่แบบว่า บางที่มันหัว Bank ๆ อ่ะ และรู้สึกว่า กราฟความรู้สึกมันเป็นแบบเนี้ย // เอามือวาดตัดอากาศอีกครั้ง

คือมันไม่ได้ดาวน์ตลอดเวลาเว้ย ส่วนมากคือกราฟนิ่งๆ แบบจมลงนะ แต่นิ่ง ไหลไปเรื่อยๆเอื่อยๆ

(อ่อ คืออย่างของคือมันไม่ได้ดาวน์ตลอด แต่มันรู้สึกว่ากราฟมันนิ่งไปจนไม่ได้คิดอะไรถูกไหม?)

แต่ถ้ามีคนสกิดอ่ะ จี้จุดแบบตรงอ่ะ มันจะดาวน์แบบวืดดดด และจะขึ้นมายากมาก และอย่างที่บอกว่ามันอันคอนโทรลอ่ะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกสมอง พวกเซลาโทมีนประมาณนั้นมั่ง?

-    ไปหาหมอช่วงแรกๆเป็นยังไง ทำแบบไหนบ้าง?


ถ้าจะไปหาหมอ ไม่แนะนำให้ไปคลินิก เคยไปคลินิกมากแล้วหมอเลี้ยงยา ไปเดือนละสองครั้ง ครั้งหนึ่งเสียสามพันบาท เขาก็จะถามอารมณ์ประมาณ คุณเครียดเรื่องอะไรมา คุณทำอะไรมา แล้วก็จะบอกอะไรที่มันเมคเซ้นท์ๆอ่ะ แบบ คุณต้องออกกำลังกายนะ คุณต้อง ฯลฯ ซึ่งคือกูรู้อยู่แล้วไหมวะ?  เหมือนบอกทริคที่เรารู้อยู่แล้วอ่ะ ซึ่งในคลินิกอ่ะ ไม่ได้บอกด้วยว่าเป็นยาตัวไหน  แต่กินทั้งหมดสาม-สี่ตัว ตัวแรกก็คือกินเช้าอย่างเดียว มีกินกลางวันอีกตัว แล้วก็เย็นอีกตัว อีกตัวก็ตัวก่อนนอน ตัวก่อนนอนเนี้ย กินหลับจนแบบว่า ตอนนั้นหลับจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย นอนแบบว่า ไม่มีแรง ตื่นไม่ไหว หรือถ้าตื่นได้ก็จะไม่มีแรงทำอะไร ไม่มีเอเนอจี้ ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำอะไร

เป็นอย่างนั้นอยู่สักพักหนึ่ง ก็เลยเปลี่ยนไปหาหมอ หาโรงพยาบาลรัฐตามปกติ แล้วเขาก็ให้ทำแบบสอบถาม

-    แนะนำหน่อยได้ไหม ถ้าจะเริ่มต้นการไปหาหมอ มีวิธีการยังไง เตรียมตัวยังไงเพื่อที่จะไปเจอหมอ หรือเดินดุ่มๆไปหาหมอเลยว่าเห้ยหมอ ผมป่วยนะ?

ส่วนตัวว่าไม่มีนะ ถ้ารู้สึกแย่จนไม่ไหวก็จะแบบ (ไม่ๆ กูหมายถึงว่า ขั้นตอนในการจะไปหาหมอดิวะหรือแค่เดินเข้าไปเลย?) อ่อ ถ้าเป็นเราเนี้ย เราจะโทรไปถามที่โรงพยาบาลก่อน ว่าโรงพยาบาลใกล้บ้านเรามีแผนกจิตเวชไหม?  มีจิตแพทย์ไหม อื้ม...ถ้ามีเราก็ไปเลย ขอนัดพบ และพวกแผนกจิตแพทย์ เขาจะไม่ได้มีทุกวัน ไม่เหมือนหมอแผนกอื่นอ่ะ เขาจะมีแค่อาทิตย์ละสองวันหรือสามวัน  เพราะว่าจิตแพทย์มันขาดแคลนมากๆในประเทศไทย มีน้อยมาก และเขาก็จะเหมือนกันวนไปโรงพยาบาลนั้น โรงพยาบาลนี้

เพราะฉะนั้น อัตราการไปต่อโรงพยาบาลรัฐของหมอกลุ่มนี้ก็จะมีน้อยอ่ะ สองถึงสามวัน/หนึ่งโรงพยาบาลมา ประมาณนั้น และก็จะเข้าเป็นบางเวลา คือหายากมาก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งๆที่มันเป็นอะไรที่จำเป็นมากเลย

-    คิดว่าจิตแพทย์สำคัญยังไงกับคนเป็นโรคซึมเศร้า?

จิตแพทย์ไม่ได้สำคัญกับคนเป็นโรคซึมเศร้า จิตแพทย์สำคัญกับทุกคนอ่ะ  

คือแค่คุณเครียด แล้วคุณแบบหาทางออกไม่ได้ คุณก็ไปพบจิตแพทย์ได้ ไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่ต้องไปตีตราว่าตัวเองเป็นอะไร แค่คุณเครียดคุณก็ควรจะไปหาหมอแล้ว เป็นคนปกติที่เครียดหรือกังวลอะไรแล้วหาทางออกไม่ได้ ฮีลตัวเองไม่ได้ก็ควรจะไปหาจิตแพทย์ได้หมดเลย
ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นโรคซึมเศร้า เราว่าจิตแพทย์มันจำเป็นกับทุกคนอ่ะ

-    ช่วงแรกๆที่กินยาเป็นยังไงบ้าง?

แย่มาก ชีวิตแย่มากจนแบบบอกหมอว่า “หมอ ไม่กินได้ไหม?” หมอก็บอกว่าถ้าอยากจะหายก็ต้องกินยา ท้อแท้จนอยากจะเลิกกิน แล้วก็ถามตัวเองว่าเราทำแบบนั้นทำไม แต่ถ้าผ่านช่วงนั้นไปได้มันจะดีมาก

คือช่วงแรกที่เราไปคลินิก แล้วค่ายาแพงมาก ครั้งล่ะสามพันบาท มันก็ตกเกือบหกพันบาทต่อเดือน และเราก็สู้ยาไม่ไหว และช่วงนั้นก็คือ Deep down มาก จนช่วงนั้นหยุดกินยาไปชั่วขณะ

แล้วมันพีคสุดตรงที่กลับไปรักษาอีกรอบหนึ่งกับโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะว่าหนึ่งคือ นอนไม่ได้เลย สอง หูแว่ว ได้ยินเสียงคนเรียกตัวเอง คนสั่งตายอ่ะ กลางคืนนอนอยู่ตีสองตีสาม จู่ๆก็ตื่นขึ้นไป และก็เดินออกไป นอกบ้านเพราะว่าได้ยินคนเรียก และก็มีเสียงยุให้ฆ่าตัวตาย เหมือนเสียงที่สอง และเริ่มคุยกับคนที่บ้านไม่รู้เรื่อง เลยไปโรงพยาบาลวันนั้นเลย และอย่างที่บอกไปว่าจิตแพทย์มีน้อย ก็คือไปพบหมอทั่วไปก่อน บอกอาการเขา ก็คือเขาก็นัดวันให้พบจิตแพทย์

มันเป็นอะไรที่แย่มากเลยนะ กับการที่จิตแพทย์หายากในโรงพยาบาลรัฐ จะไปเอกชนค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว หรือขนาดโรงพยาบาลรัฐ การหยุดงาน หยุดเรียนไปพบจิตแพทย์ก็ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆอยู่ดี แต่หมอทั่วไปก็จะให้ยาเรามาก่อน อย่างที่เรากินก็จะมีตัว ไดอาซีแพม (* ผมแกะเทปจากที่เรานั่งคุยกัน ถ้าเขียนคำทับศัพท์คำไหนผิดพลาดไป ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ และจะแก้ไขทันที่หากมีผู้แย้ง ขอบคุณครับ – ผู้เขียนกระทู้) ฟลูออกซิทีน สองตัว ฟลูออกซิทีมกินตอนกลางวัน ส่วนอีกตัวช่วยให้นอนหลับ

-    ทำไมถึงคิดว่าจิตแพทย์ควรมีให้มากกว่านี้?

เอ้า ..(น้ำเสียงซีเรียส) คือโรคป่วยทางใจ  มันสำคัญมากเลยนะ คือคนเราอยู่ในภาวะเครียดนู้นนั้นนี่ แรงกดดันไปสังคมต่างๆคือควรมีมากกว่านี้เพื่อรับมือกับตรงนี้ เพราะความต้องการซัพพลายด์ดีมานด์มันไม่ตรงกัน และคนชอบไปตีตราว่า ไปพบจิตแพทย์ = บ้า ไม่เกี่ยวเลย //โบกมือส่ายหน้า คือจิตแพทย์ก็คล้ายๆที่ปรึกษาอะไรแบบนี้ แต่แค่สั่งจ่ายยาได้ ต่างจากนักจิตวิทยาที่มีโปรเสสการทำงานเหมือนกัน แต่นักจิตวิทยาจ่ายยาไม่ได้ (ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์)

แล้วคิดดูนะ จิตแพทย์มีน้อยเข้าถึงยาก ลองนึกสภาพของคนในชนบทหรือตามต่างจังหวัดที่แค่หมอธรรมดายังมีน้อยเลยล่ะ? นึกภาพนะ ในกรุงเทพฯ ยังน้อยแบบนี้ แล้วต่างจังหวัด จะมีสักเท่าไหร่? แล้วสมมุตินะ ถ้าคนรวยป่วย เป็นพวกโรคทางจิตเวช โรคซึมเศร้าได้ สังคมเข้าใจ แต่ถ้าคนจนนะ ไม่มีสิทธิ์เครียด ไม่มีสิทธิ์อะไรเลย เพราะจะโดนด่าว่า ‘kaแดะ’ สำออย

(ทำไมคนจนถึงโดนด่าว่ากระแดะ?)

ก็มีหน้าที่ทำอะไรในสายตาคนอื่นอ่ะ ก็ก้มหน้าทำมาหากินไปสิ เรา(ชี้นิ้วไปที่ตัวเอง)ถูกมองว่า ต้องห้ามป่วย ห้ามเศร้า ห้ามเครียดนะ จากทั้งบริบทของสังคมและตามสภาพความเป็นจริง  เจ็บป่วยแต่ล่ะครั้งไม่ว่ากายหรือใจ เมื่อมีค่ารักษาเข้ามาข้องเกี่ยว ก็จะทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นๆ หรือเอาง่ายๆ  การที่หมอขาดแคลนแม้แต่ในกรุงเทพ เอาตัวเองเนี้ย เราต้องหยุดเรียนไปหาหมอ ไปกลับค่ารถต่อครั้งก็ไม่ใช่ถูกๆ

จริงอยู่ก็พูดได้หรอกว่า ถ้ามีเงินไปทำอย่างอื่นได้ ทำไมมาจ่ายค่ารักษาได้ แต่เราก็ต้องเข้าใจและยอมรับในบริบทด้วยว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเอาเงินมาทำอะไรก็ได้อย่างที่ปากว่า ถ้าในฐานะคนที่เป็นผู้นำครอบครัวที่ยากจน ที่มีภาระหลายๆอย่างต้องดูแล คุณแบกสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถป่วยได้เลย ยิ่งจนยิ่งห้ามป่วย

สุดท้ายผลลัพธ์ทั้งบวกและลบจะตกอยู่ที่สังคม เหมือนอย่างหลายๆเคสที่ผ่านมา

คนจนฆ่าตัวตาย ผูกคอตายไม่ใช่เรื่องโง่ แต่คนมักจะมองว่าเขาโง่โดยไม่มองบริบทเลยว่า คนจนคนนี้เจออะไรมาผ่านสิ่งเลวร้ายแบบไหน ป่วยเป็นโรคจิตแพทย์แบบใด และที่แย่ที่สุดคือเขาไม่มีสวัสดิการ ไม่มีจิตแพทย์ ไม่มีอะไรที่จะเข้าถึง ไปรักษา  ไม่มีใครไปแคร์หรือจะไปเยียวยาเขาได้เลย  สุดท้ายพอภาพออกมาเป็นแบบคนก็จะตัดสินว่าเขาโง่  


ภาพที่ปรากฏคือภาพคนจนฆ่าตัวตาย แต่มันเป็นแค่ยอดภูเขาของน้ำแข็งที่เรามองเห็นเท่านั้น

มันมีหลายสาเหตุมากกว่าที่จะมองแค่ว่า “อะไรวะ ทำไมไม่รักชีวิตตัวเองเลย” มันมีมิติและมุมมองหลายๆอย่างที่ซ่อนอยู่ในภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่อีกเยอะ  แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนี้มันจะเลยเถิดไปถึงสวัสดิการของภาครัฐต่อประชาชน ซึ่งก็อย่างที่เรารู้ๆกัน มันจะยาวววววว

คือมันมีปัญหาหลายๆอย่างประกอบกัน เอาอย่างง่ายๆก่อนเลย ในสิบคนเงี้ย บอกเราเป็นโรคซึมเศร้า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจจริงๆว่าซึมเศร้าไม่ใช่แค่การนั่งร้องไห้ตลอดเวลา แต่มันเป็นอะไรที่มากไปกว่านั้น


สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
-    สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนที่ต้องอยู่ในวงโคจรของคนเป็นโรคซึมเศร้าและตัวคนเป็นโรคซึมเศร้า

ความเข้าใจคือสิ่งสำคัญ แต่อย่าใช้ความป่วยเป็นข้ออ้างในการรังแกคนอื่น จากที่คนอื่นพยายามจะเข้าใจ แต่กลายเป็นเขาจะรังเกียจ และไอ้พวกที่ไม่เคยไปหาหมอ แต่เคลมว่าตัวเองเป็น เรามองว่าเป็นโรค ‘อยากจะซึมเศร้า’

ส่วนคนรอบๆตัว หาข้อมูลมากกว่าแค่อ่านภาพอินโทรกราฟฟิคไม่กี่ภาพแล้วคิดว่าตัวเองบรรลุสัจธรรมของคนเป็นโรคซึมเศร้า โทรไปปรึกษาหมอ และพยายามทำให้ผู้ป่วยยอมรับ สำคัญมากๆคือพยายามหาโรงพยาบาลรัฐที่มีจิตแพทย์ อย่าปล่อยให้บางคนป่วยแบบไม่รู้ว่าป่วยจริงป่วยปลอม  แต่หงายการ์ดออกมาว่ากูป่วย เห้ย ถ้าคุณป่วย คุณต้องดูแลรักษาตัวเอง แบบสอบถามในอินเตอร์เนทเยอะแยะ คุณเข้า  FB ได้ คุณก็เข้าไปทำแบบสอบถามได้ เราต้องช่วยตัวเองก่อน แล้วค่อยพึ่งพาคนรอบข้างที่หลัง

แต่เราก็ดีใจนะ เดี๊ยวนี้โรคนี้ได้รับการตระนักมากขึ้นแล้ว เราก็เชื่อว่ามันจะมีทางออกมากกว่านี้

ถ้าคุณไม่เปิดใจ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองหายก็ไม่รู้จะทำยังไง

ส่วนเรื่องค่ายา ถ้าคุณซื้ออย่างอื่นปรนเปรอให้ตัวเองได้ คุณก็ต้องรักษาตัวเองได้เช่นกัน

หรือถ้าไม่มีจริงๆ สิทธิสามสิบบาทช่วยคุณได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะมีอีกนานไหม เอาเป็นว่าถ้าป่วยก็รีบๆไปรักษาก่อนค่ายาจะเกินเอื้อม และ/หรือ สิทธิสามสิบบาทหายไป...ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ

คือถ้าคุณเป็นคนจนที่ป่วยจริงๆ คุณสามารถไปติดต่อโรงพยาบาลเพื่อหายาได้ แต่มันจะมีความลำบากตรง จังหวัดนี้ จะมีโรงพยาบาลเดียวที่มีจิตแพทย์ แต่คุณสามารถไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ใช้สิทธิ์ก่อนได้ และค่อยทำเรื่องส่งไปทางโรงพยาบาลที่มีจิตรแพทย์ แต่มันก็มีค่าเดินทาง ค่าอะไร แต่ไปเหอะ ไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า โรคอื่นๆทั้งหมดอ่ะ คือแค่รู้ว่าตัวเองป่วย ไม่สามารถฮีลตัวเองได้ ไปเหอะ ไม่เสียหายหรอก

คือชีวิตมันเป็นของคุณอ่ะ จะคาดหวังอะไรให้คนอื่นดูแลนักหนาวะ

ของบางอย่างดูแลรักษาไว้ ง่ายกว่าซ่อมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

บางสิ่งถ้ามันพัง จะซ่อมให้เหมือนเดิมยังไงก็ไม่มีวันเหมือนเก่าอยู่ดี

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะป่วยจากสาเหตุอะไร

คนรอบข้าง คนรอบตัว เพื่อน แฟน แมร่งทำได้แค่ให้กำลังใจกับบอกว่าคุณต้องลุกขึ้นมายังไงถึงจะสวยงาม
แต่ท้ายที่สุดคนที่จะพาคุณผ่านออกไปจากโรคซึมเศร้าได้

...มันก็มีแค่คุณ


ความคิดเห็นที่ 20
ขอบคุณนะคะที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เราคิดว่าคุณอธิบายรายละเอียดของโรคนี้ได้ตรงกับความเป็นจริงมาก เป็นสิ่งที่เราอยากให้คนอื่นเข้าใจแต่อธิบายไม่ถูกมาตั้งนานแล้ว

เราก็เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน (Severe depression) เป็นผลมาจาก PTSD (ป่วยทางใจหลังจากประสบภัยร้ายแรงในชีวิต) และที่เป็นแอสเพอร์เกอร์ก็อาจจะมีส่วน เป็นมาเกือบจะครบยี่สิบปีแล้วแต่มันเพิ่งมาแย่มาก ๆ ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เพราะมีเรื่องไปกระตุ้น Trauma เก่า และช่วงนั้นก็ทำ EMDR (Eye Movement Desensitization and Reprocessing) อยู่ การรักษาแบบนี้คือนักจิตวิทยาบำบัดจะให้เรามองตามมือเขาที่เคลื่อนไปมาในขณะที่ให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เป็น Trauma คือเราก็นึกถึงเหตุการณ์และเล่าไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นอะไรบ้าง ซึ่งถ้าทำอย่างถูกวิธี เมื่อทำซ้ำ ๆ ไปจะทำให้เราดึงความรู้สึกแยกออกมาจากเหตุการณ์นั้นได้ เวลานึกถึงเรื่องนั้นจะไม่รู้สึกไปด้วยอีกเหมือนมันเป็นแค่ข้อเท็จจริง แต่ว่าระหว่างที่ยังทำอยู่นี่อาการอาจแย่ลงได้เพราะว่าต้องนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึง ในกรณีเรานี่เราทำไปได้สักพักแล้วไม่ไหว หมอบอกว่าที่ผ่านมาเราสู้มาได้จนถึงตอนนี้โดยลืมเรื่องพวกนี้ไปหมด ใช้ชีวิตในโหมด Survival มาตลอด คือทำนู่นทำนี่ไปโดยปิดกั้นความรู้สึกทั้งหมด พอมาถึงปัจจุบันที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยแล้ว เริ่มปล่อยให้ตัวเองรู้สึก ความเจ็บปวดก็เลยกลับมาแล้วเรารับไม่ไหว อยากจะลืม ๆ ไปเหมือนเดิม

ทีนี้พอต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้นเราก็เครียดมาก ประกอบกับโรคซึมเศร้าที่เป็นอยู่แล้ว ก็เลยเครียดจนเริ่มเห็นภาพหลอน เห็นอะไรน่ากลัว ๆ บางทีก็รู้สึกเหมือนมีแมลงมาไชอยู่ใต้ผิว หมอบอกว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้เพราะการเห็นภาพหลอนก็เหมือนการเป็นไข้ คือร่างกายพยายามส่งสัญญาณบอกว่ามีบางอย่างอักเสบ ต้องรักษานะ แต่นี่คือเกิดในจิต สักพักเราก็เริ่มหลุดจากความเป็นจริง รู้สึกเหมือนว่านี่ไม่ใช่ความเป็นจริง เราไม่ได้อยู่ตรงนี้ เป็นแค่คนดู เห็นภาพทุกอย่างผ่านจอทีวีซึ่งเราก็ดูเฉย ๆ ไม่ได้เป็นคนควบคุมตัวละครในทีวี ซึ่งหมอบอกว่าเป็นเพราะใจเรารับความเจ็บปวดไม่ไหวก็เลยแยกตัวเองออกมา เพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งอันนี้แย่กว่าความเศร้าละ เหนือกว่าความเศร้าคือ....ความว่างเปล่า การไม่รู้สึกอะไรเลย หมอบอกว่าโรคซึมเศร้านี่ถ้ารู้สึกเศร้ายังรักษาได้ แต่ถ้าถึงขั้นไม่รู้สึกอะไรใดๆเลยแล้วนี่เริ่มจะดึงกลับมายากละ

เราเป็นแบบนั้นอยู่สักพักจนกระทั่งเราเห็นภาพหลอน เห็นปีศาจมานั่งจ้องเราในบ้าน เรานอนไม่ได้สามวันสามคืนเพราะมันจ้องตลอด รู้สึกแต่ว่าอยากจะหนีไปให้พ้นๆเพราะกลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไงสุดท้ายเลยผูกคอตัวเองกับประตูห้องใต้หลังคา ไม่ได้คิดว่าอยากตาย แค่อยากให้มันหยุด อยากหนีไปจากความทุกข์ความกลัว ตอนแรกก็ว่าจะตายแล้วแต่พอผ้ารัดคอสัญชาตญาณมันก็สู้เอง ดิ้นๆๆๆ ดิ้นอยู่สักนาทีกว่าได้มั้ง ผ้าขาด หลบตุ๊บมากองอยู่กับพื้นแล้วก็สลบอยู่อย่างนั้นจนแฟนกลับมาจากที่ทำงานแล้วมาเจอ เอาส่งโรงพยาบาล สรุปว่า...หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็ไปอยู่ที่วอร์ดเฝ้าระวังของโรงพยาบาลจิตเวช ไปกินนอนอยู่นั่น กลางวันก็มีโปรแกรมต่างๆให้ทำร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น หลังจากนั้นเดือนนึงก็ได้กลับบ้าน แฟนขอที่ทำงานทำงานทางไกลจากบ้านเพื่อดูแลเราที่ทำงานเขาก็เข้าใจ แต่ที่เล่ามานี่คือเราจำอะไรไม่ได้เลย แฟนมาเล่าให้ฟังทีหลัง บอกว่าตอนนั้นเราเหมือนตุ๊กตา นอนอยู่บนเตียงมองเพดานทั้งวัน เอาข้าวให้กินก็กินแบบงงๆ บางวันไม่ยอมอาบน้ำ บางวันเหมือนจะจำเขาไม่ได้แล้วพอเวลาเขาเข้ามาใกล้เราก็กรี๊ดเพราะกลัว จำไม่ได้เลยจริงๆ จำได้ว่ารู้สึกหนัก ๆ เบลอๆ ล่องลอย ๆเหมือนเดินอยู่ในหมอกตลอดเวลา ฟังแล้วเหมือนละครเนอะ อืม ก่อนเราเจอกับตัวเราก็นึกว่าละครมันเว่อร์ จนกระทั่งประสบเองกับตัวถึงรู้ว่ามันจริง

สองสามเดือนหลังจากนั้นดีขึ้นบ้าง บางวันตื่นมาโอเคก็โอเคพูดจารู้เรื่องเป็นปกติ แต่บางวันก็ลอย ๆ วันนึงที่อาการดีเราขอเลิกกับแฟน ไม่อยากให้เขาลำบากต้องมาดูแลเราแบบนี้ เราจะกลับไปอยู่กับแม่ แฟนไม่ยอมไป เขาบอกว่าคนรักกันถึงตอนลำบากก็ไม่ทิ้งกัน คือเราก็รู้สึกดีที่แฟนยังอยู่ข้าง ๆ แต่เราเกรงใจและรู้สึกผิดมาก ณ จุดนั้นคือเราไม่คุยกับใครเลย แทบไม่บอกเพื่อนหรือใครๆว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเราไม่อยากรบกวน เรากลัวเพื่อนทำตัวไม่ถูก เรากลัวเพื่อนเป็นห่วงถ้ารู้ว่าเราอาการไม่ดี ที่รู้คือแค่แฟนกับแม่ แต่ว่าแม่อยู่ที่ไทยเลยไม่ได้มาหาบ่อย

วันที่พีคสุดคือ วันนั้นเรานอนอยู่บนเตียง หลุดไปจากความเป็นจริง เราได้ยินเสียงคนร้องไห้ที่ห้องนั่งเล่นก็เลยเดินมาดู แฟนเรากำลังนั่งสะอื้นไห้เพราะน้องเขาโทรมาบอกว่าแม่เขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เขาเห็นเราเดินมาเขาเลยรวบเราไปกอดแล้วร้องไห้ แต่เราไม่ได้กอดตอบ เพราะว่าเราจำไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร รู้แค่ว่าคนคนนี้กำลังเศร้า แต่เราไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งจริงๆ ลึกๆๆๆๆๆในใจเหมือนมีเราอีกคนที่ร้องไห้ไปกับเขา แต่เราออกมาไม่ได้ เราถูกความไม่รู้สึกอะไรกดให้จมดิ่งลึกอยู่ในจิตตัวเอง ซึ่งตอนหลังเราจำเหตุการณ์นี้ได้เราเสียใจมากที่ไม่ได้ปลอบแฟน เสียใจที่เป็นภาระ เสียใจที่ไม่ไได้ "อยู่ตรงนั้น" ตอนที่แฟนเสียใจ

ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีกับอีกสองวันพอดี นับจากวันที่เราพยายามฆ่าตัวตาย ดีขึ้นมากแล้ว ทำจิตบำบัดอาทิตย์ละครั้งและกินยานอนหลับกับยาต้านภาพหลอน ไม่ต้องกินยาสำหรับโรคซึมเศร้าแล้ว แฟนยังคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เหมือนเดิม เรารู้สึกรักและเคารพเขามากที่อดทนดูแลเรามาถึงตอนนี้ทั้งทั้งที่ไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือด มีแต่คนบอกให้เขาทิ้งเราเพราะเราเป็นภาระ แต่เขาไม่ฟังใคร เขาชอบพูดว่า "I'm a fixer, not a quitter" เขาบอกว่าบางทีก็หงุดหงิดกับเรามากเลย แต่พอคิดว่าภายใต้ความป่วยทั้งหลายนั้นยังมีผู้หญิงคนที่เขาตกหลุมรักอยู่ในนั้นที่ไหนสักแห่ง ซึ่งบางทีก็ออกมายิ้มหัวเราะให้เขาในวันที่อาการดี คิดอย่างนั้นแล้วจะทิ้งไปได้ยังไง กับเพื่อน ๆ เราตอนนี้ก็เริ่มมีคนรู้เรื่องเราบอกแล้ว บางคนก็ค่อย ๆ เฟดตัวเองไป บางคนก็ยังอยู่และช่วยเหลือเรา ซึ่งเราไม่โกรธคนที่เลือกจะไปเลย เราเข้าใจ เราก็ไม่อยากทำให้ใครลำบากใจเหมือนกัน คนที่เขาไม่เคยเป็นบางคนเขาก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ตัวผู้ป่วยเองก็ต้องทำใจนะ

เรารู้สึกว่าในความโชคร้ายเราก็ยังโชคดีที่เจอแฟนคนนี้ ที่ตัวเองอยู่ต่างประเทศ มีประกันสุขภาพช่วยค่ารักษา (ถ้าจ่ายเองนี่ คงต้องขายไตสองข้างเพื่อหาเงิน) มีโอกาสได้เจอหมอและนักจิตวิทยาที่เก่งและเอาใจใส่เราอย่างดี ถ้าเกิดเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไทยป่านนี้เราไม่รู้จะเป็นยังไง หมอที่ไทยไม่โอเคเลย เคยไปหาหมอที่ไทยแล้วเขาไล่เราไปทำบุญตักบาตรบ้างอะไรบ้าง เล่าว่าโดนรุมข่มขืนตอนเด็กก็ถามว่าเราไปอ่อยผู้ชายหรือเปล่า โกหกหรือเปล่า บางคนก็สักแต่จะจ่ายยาอย่างเดียวไม่คุยด้วยเลย  จริง ๆ แล้วอยากย้ายกลับไทยกับแฟน จะได้อยู่ใกล้ๆแม่ แต่ติดเรื่องรักษานี่แหละ เรารู้สึกว่าระบบการแพทย์ที่ไทยไม่ค่อยอำนวยด้านนี้ และคนส่วนมากก็มีทัศนคติแบบผิด ๆ เกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิต กลัวว่ากลับไปแล้วจะแย่กว่าเดิม

ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยเขียนในสิ่งที่เราอยากบอกคนอื่นแต่ไม่รู้จะเขียนยังไง
จขกท. สู้ๆ นะ เราก็สู้อยู่ อย่าพยายามฆ่าตัวตายอีกเลยเนอะ มันเจ็บ เราว่าจะไม่ทำอีกแล้ว ถึงฆาตแล้วก็คงตายเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่