Road Trip in Taiwan นี้ เป็นครั้งแรกของพวกเรา ที่ขับรถเที่ยวไต้หวันกันค่ะ ตื่นเต้นมากๆ
เพราะการขับรถเที่ยวนี้ เป็นการขับรถพวงมาลัยซ้ายครั้งแรก (อะไรจะมีครั้งแรกเยอะอย่างน้านนน)
การเดินทางครั้งนี้ มีเรา สายเล่า + รุ่นพี่ สายเลือดไต้หวัน และ และช่างภาพ สายถ่าย จาก @taklongsunday
พวกเราสามคนวางแผนเที่ยวไต้หวันกัน 7 วัน โดยเส้นทางการเดินทางวันแรกนี้ เราเริ่มต้นออกเดินทางจากไทเป
มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน ก่อนวกกลับมาที่ไทเปอีกครั้งค่ะ
จุดต่างๆ ที่เราแวะเที่ยว จะมีที่ไหนบ้าง เลื่อนอ่านลงมาด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ^^
สำหรับตอนที่ 2 อ่านต่อได้ที่
https://ppantip.com/topic/36789209 จ้าาาา
Let’s Go!!!
✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿
“ชิดขวา... ชิดขวา…”
ประโยคที่พวกเราจะพูดกันบ่อยที่สุด เวลาอยู่บนรถ เพราะนี่คือการขับรถพวงมาลัยซ้ายครั้งแรกของพวกเรา ทักษะทางด้านขับรถ เราขอยกให้กับช่างภาพของเราค่ะ (ทำทู้กอย่าง ตั้งแต่ถ่ายรูปบันทึกการเดินทาง ยันขับรถพาพวกเราไปทุกที่) ด้วยความที่อุปกรณ์การขับรถจะอยู่คนละฝั่งกับการขับรถพวงมาลัยขวา ก็เลยต้องขอเวลาคนขับจูนตัวเองนิสนึง ปรับเบาะ ปรับกระจกข้าง กระจกมองหลัง เกียร์อยู่ฝั่งขวามือ เอ้า..พร้อม !!! งานนี้ลงถนนจริง ไม่มีสนามให้ทดลอง ออกตัวก็เจอแยกไฟแดงเลย “เลี้ยวซ้ายแล้วชิดขวานะจ้ะ” เราแอบกระซิบเบาๆ จริงๆแล้วเราก็รู้สึกเกร็งนะ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนจับพวงมาลัยก็ตาม 55555
ช่างภาพหันมาถามเราว่า “ Google Map บนมือถือเนี่ย เราไว้ใจมันได้ใช่มะ” “ได้ดิ” เราตอบอย่างมั่นใจ จะกลัวอะไรเพราะเรามีพี่สาวชาวไต้หวัน มาเที่ยวพร้อมพวกเรานี้น่า แถมพี่เขาก็คุ้นเส้นทางมากกว่าเรา ดังนั้น เราเชื่อว่า พี่เขาจะเป็น Navigator ให้เราได้ แต่เหมือนพี่เขาจะอ่านสีหน้าเราออก พี่เขาเลยหันมาบอกว่า "ก็ไม่รู้ซินะ หลงบ้าง ก็สนุกดีออก"
แอบเม้าท์คนขับนิดนึง มีหลายครั้งที่ขึ้นรถมาแล้วจะคาดเข้มขัดนิรภัย พี่ท่านก็เอื้อมมือขวาคว้าเข็มขัดตามสัญชาตญาณพวงมาลัยขวาแบบชาวไทย พี่ท่านก็คว้าอากาศไปซัก 2 ที เราก็แอบขำพร้อมกับเอามือไปตบบ่าซ้ายเบาๆ เข็มขัดอยู่ซ้ายนาจา
จากเมืองไทเป เราก็เริ่มต้นขับรถขึ้นทางหลวงหลักของประเทศ หรือ National Highways ชื่อย่อว่า Freeways (ที่ไม่ฟรีค่าผ่านทาง หากทางหลวงนั้นเป็นทางหลวงเลขคี่) Freeways เป็นระบบคล้ายกับทางหลวงระหว่างรัฐของสหรัฐอเมริกา โดยของไต้หวันจะใช้สัญลักษณ์ เป็นรูปดอกเหมย และมีหมายเลขอยู่ด้านใน จากรูปจะเห็นเลข 3 อยู่ในกรอบดอกเหมยสีเขียว เหนือป้ายสีเหลือง
ป้ายบอกเส้นทางจะลักษณะเหมือนกับของเมืองไทย คือพื้นเขียว ตัวอักษรสีขาว แต่ถ้าเป็นป้ายชี้บอกสถานที่ท่องเที่ยว จะเป็นป้ายพื้นสีน้ำตาล ตัวอักษรสีขาว ส่วนป้ายบอกจุดพักรถ จะเป็นพื้นสีน้ำเงิน ตัวอักษรสีขาว ป้ายต่างๆ บนทางหลวงประเทศนี้ จะมีกำกับอักษรจีน อังกฤษ และสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย และเพื่อความสนุกสนานในการเดินทางขับรถเที่ยวในไต้หวัน ควรทำความเข้าใจเรื่องป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ และ Speed Limit หรือ การตรวจจับความเร็วของประเทศนี้ ที่จับจริง ปรับจริง ค่าปรับโหด เพราะกล้องตรวจจับความเร็วที่นี่ดีมาก ถึงมากที่สุด เพราะจับทุกคัน ไม่ต้องห่วงว่าผู้ฝ่าฝืนจะเล็ดลอดไปได้ ดังนั้นปกติความเร็วที่ใช้ในการขับรถยนต์แบบรถเก๋ง คือ 80-110 กม./ชม. ซึ่งจะมีป้ายเตือนบอกทุกครั้ง ว่าทางหลวงแต่ละเส้น ให้ใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกินกี่ กม./ชม. ค่ะ
ทางหลวงแบบเลขตัวเดียว จะเป็นทางยกระดับ ทอดตัวยาวรอบเกาะไต้หวัน มีบางช่วงจะอยู่บนพื้นราบบ้าง แต่ถ้าเข้าพื้นที่เมืองเมื่อไร จะเปลี่ยนเป็นสะพาน ซึ่งบางจุดจะสูงเท่าตึก 10 ชั้นเลยทีเดียว หลังจากขึ้น Freeways จะไม่มีตู้หรือด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ไม่มีเสียงติ๊ด ติ๊ด หรือไม้กั้นด่านเก็บเงินแล้ว เจ้าของรถจะสมัครใช้ “eTag” เพื่อเติมเงินล่วงหน้าก็ได้ หรือจะไปชำระเงินทีหลัง แต่ต้องไม่เกิน 3 วัน ที่ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ก็ได้
เกริ่นมาพอหอมปากหอมคอ สำหรับการขับรถในไต้หวัน เรามาสู่การเริ่มต้นเที่ยวอย่างจริงจังในวันนี้กันดีกว่า ปลายทางแรกที่เราจะไป คือ New Taipei City ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของไทเป ซึ่งมีเมืองหลักคือ Keelung City (基隆市) ที่คนไทยมักเรียกว่า เมืองคีลุง แต่ถ้าอยากอ่านออกเสียง สำเนียงเหมือนคนพื้นที่ต้องออกเสียงสำเนียงจีนกลางว่า “จีหลงซื่อ” คำว่า New Taipei City จะเห็นว่ามันมีหลายซิตี้ ล้อมรอบเมืองไทเป ที่มาของชื่อนี้ ก็มาจากการขยายตัวของเมืองไทเป ทางรัฐบาลจึงได้ตั้งชื่อเขตพื้นที่รอบๆเมืองไทเปว่า New Taipei City โดยไทเปเป็นเหมือนไข่แดง ส่วน New Taipei City เป็นเหมือนไข่ขาวที่ล้อมไข่แดงไว้
จากตัวเมืองไทเป เราใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางของ Freeways เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษประกอบ อักษรจีนเป็นอักษรภาพ คือ 1 อักษรมีความหมายในตัวของมันเอง ไม่ใช่เกิดจากการผสมพยัญชนะกับสระหรือวรรณยุกต์แบบภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ อักษรจีนในไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น เป็นอักษรจีนแบบตัวเต็ม ตัวเต็มคือตัวอักษรดั้งเดิม (繁體字 ฝานถี่จื้อ) ส่วนตัวอักษรที่จีนแผ่นดินใหญ่ใช้ จะเป็นแบบตัวย่อ (简体字 เจี๋ยนถี่จื้อ) สิ่งที่ต่างกันของอักษร 2 กลุ่มนี้คือจำนวนเส้นที่อยู่ในแต่ละอักษร ตัวอักษรแบบตัวย่อคือ หากอักษรตัวไหนที่มีจำนวนเส้นมาก ก็จะถูกย่อลดจำนวนเส้นลง เพื่อให้จำได้ง่านและเขียนได้เร็วขึ้น ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ชื่อประเทศไต้หวัน นี่แหละ ที่การเขียนตัวเต็มกับตัวย่อต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
แบบตัวเต็ม 台灣
แบบตัวย่อ 台湾
ประเทศไต้หวันถ้าออกเสียงให้ถูกต้องตามสำเนียงจีนกลาง ก็จะอ่านว่า “ไถ๋วาน” ซึ่งในระบบการอ่านออกเสียงโดยเทียบเป็นอักษรภาษาอังกฤษนี้ ทางไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่ ก็จะใช้อักษรต่างกัน เช่น ชื่อวัด Xing Tian Gong ในไทเป ถ้าเข้า Google ก็จะเจอการสะกดในภาษาอังกฤษ อีกแบบว่า Hsing Tian Kong เป็นต้นที่เขียนเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะป้ายบอกทางภาษาอังกฤษของที่นี่ จะเป็นการใช้อักษรอังกฤษสะกดแทนเสียงอ่าน ซึ่งจะไม่ใช่แบบเดียวกันกับที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นการจดชื่อเมือง ชื่อป้ายสถานที่ท่องเที่ยว หรือจุดสังเกต ทางเข้า ทางออก ของถนนหลัก จึงสำคัญ เพราะสิ่งที่เราอ่านแล้วน่าจะออกเสียงแบบนั้น มันอาจจะไม่ตรงกับการออกเสียงจริงก็เป็นได้
กลับเข้ามาที่การเดินทางสู่เมือง Keelung อีกครั้ง จากใจกลางเมืองไทเปไปเมือง Keelung เราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ระยะทางประมาณ 30 กม. ซึ่งจะผ่านโรงแรมแห่งแรกของไต้หวันที่มีบริการแบบยุโรป ชื่อ The Grand Hotel (圓山大飯店) ตัวอาคารทาสีแดงทั้งหลัง ตั้งแต่กระเบื้องหลังคา จนตัวตึก โรงแรมแห่งนี้มีสร้างในสมัยประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค (ราวปี ค.ศ. 1973) เพื่อต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง จากยุโรปและอเมริกา ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่เห็นอยู่ลิบๆ คือ อาคาร Taipei 101 ตึกที่เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของไต้หวัน มีทั้งหมด 101 ชั้น และมีสถานีรถไฟ MRT อยู่ที่ใต้ตึกเลย ตึกนี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน
เมือง Keelung เป็นเมืองท่า ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเกาสงทางภาคใต้ และเมืองไทจงทางภาคกลาง ของไต้หวันแต่เป็นท่าเรือแห่งแรกของประเทศนี้ มีเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมาเทียบท่า เพื่อขนถ่ายสินค้าเข้า-ออกจากไต้หวัน เมืองนี้มีทั้งเขาและอ่าวเปิดต้อนรับผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและคนเดินเรือ วันนี้เป็นวันฟ้าปิด ลมแรง และมีฝนเม็ดเล็กๆ ตกลงมาตลอด เราภาวนาในใจว่า อย่าให้ฝนตกหนักแบบพายุเข้าเลย เดี๋ยวจะไม่ได้เดินเที่ยวกัน
ที่เมือง Keelung เราเข้าจอดรถที่ลานจอดรถสาธารณะของเมือง ซึ่งมีระบบการจอดรถที่ไม่ต้องรับบัตร เพราะระบบจะบันทึกเลขทะเบียนรถไว้ (Automatic License Plate Recognition) โดยก่อนเอารถออก ก็ไปที่ตู้ชำระเงิน กดเลขทะเบียนรถ จ่ายเงินค่าจอด แล้วก็นำรถออกได้เลย ถ้าเป็นที่เมืองไทย ตัวเซนเซอร์คงอ่านเลขทะเบียนยาก เพราะตัวอักษรไทย มีทั้งหัวเข้า หัวออก หัวกลม หัวหัก แถมยังมีทั้งที่ไปปิดทองที่ตัวเลข ปรับองศาการติดป้ายทะเบียน ใส่กรอบบังทะเบียน และอื่นๆ อีกมากมาย จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ยังไม่สามารถใช้ระบบนี้ได้
ระบบจอดรถแบบนี้ ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และเกียรติของคนขับ ว่าจะไม่โกงค่าจอด (คือถ้าโกง เจ้าหน้าที่ก็ตามปรับได้ง่าย) กฎหมายด้านจราจรที่ไต้หวัน เน้นปรับหนัก เพื่อให้คนใช้รถใช้ถนน ไม่กล้าฝ่าฝืน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าขับรถในทางลอดอุโมงค์ต้องเปิดไฟหน้าและห้ามเปลี่ยนเลน หากใครฝ่าฝืน จะถูกปรับ 3,000 NTD (นั่นมันราคาค่าตั๋วมาไต้หวันเลยนะนี่)
เราออกมาเดินเที่ยวใจกลางตลาดของเมือง Keelung หาอาหารเที่ยงรองท้องกัน ที่นี่มีกับข้าวตัก ราคาไม่แรง รสชาติดี และปริมาณมาก ให้พวกเราอิ่มท้อง อาหารน่ากินมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือมาลองชานมไข่มุก และน้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มขึ้นชื่อของไต้หวัน เราเดินผ่านมาหลายร้าน เกือบทุกร้านบอกว่าเขาเป็นเบอร์ 1 (I am No. 1) เรื่องชานมไข่มุกนะเออ หรือไม่ก็เป็นเบอร์ 1 น้ำเต้าหู้ สรุปแล้วใครคือเบอร์ 1 กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือ คนไทยทุกคนถ้ามาถึงไต้หวัน แล้วไม่ได้กินชานมไข่มุก ถือว่ามาไม่ถึงไต้หวันนะจ้ะ
จากศูนย์กลางของเมืองออกมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็จะพบกับป้อมปราการเก่า ชื่อ ป้อมไป๋หมี่เวิ่ง (Baimiweng Fort 白米甕砲台) รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่หันหน้าออกไปทางทะเลจีน สร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งป้อมปราการนี้ แต่ก่อนจะมีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ ด้านซ้ายเป็นฐานกองบัญชาการ ขวาเป็นจุดสังเกตการณ์ ตรงกลางเป็นปืนใหญ่ ภายหลังทางรัฐบาลได้ย้ายปืนใหญ่ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ จึงเหลือให้เห็นแต่ฐานครึ่งวงกลมที่เคยวางปืนใหญ่ ถ้ามองจากภาพมุมสูง จะเห็นเป็นวงๆ 4 วงอยู่กลางเขา หลังจากนั้นทางการก็ได้พัฒนาให้ป้อมไป๋หมี่เวิ่งเป็นจุดท่องเที่ยว จุดพักสายตา มีเก้าอี้ม้านั่งให้หย่อนกาย ปล่อยใจเวลาที่มองทะเลสุดลูกหูลูกตาด้านหน้า แต่วันนี้เป็นวันที่ลมแรงมาก เดินกันตัวแทบปลิว และมีฝนปรอยๆ ตลอด เลยไม่ได้นั่งทอดอารมณ์ มีคำกล่าวว่า ฟ้าหลังฝนจะสวยงามเสมอ เราก็หวังว่าตลอดเส้นทางที่เหลือของเรา จะไม่เจอกับเม็ดฝน ลมพายุอีก
ป้อมปราการนี้ตั้งอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของชายทะเลเมือง Keelung เมื่อหันไปด้านหลังจะเป็นท่าเรือ ด้านหน้าเป็นความเวิ้งว้างของทะเล ส่วนด้านซ้ายเป็น โรงไฟฟ้าเสียเหอ (Hsieh-ho Power Plant) ที่มีจุดเด่นเป็นปล่อง 3 ปล่องใหญ่ เป็นโรงไฟฟ้าแบบ fully oil-fired power plant แห่งเดียวในไต้หวัน มีทุ่นปูนที่เอาไว้กันคลื่นในทะเล ทอดตัวยาวตลอดแนวชายทะเล ลักษณะเหมือนกับทุ่นกากบาท ถ้าคนไปยืนเทียบ คงจะตัวเล็กกว่าทุ่นนี้มาก
#ช่างภาพ #ทริปถ่ายรูป #Canon #MirrorlessCamera #LumixGF7
[CR] Road Trip in Taiwan ขับรถเที่ยวไต้หวัน 7 วันสุดประทับใจ
เพราะการขับรถเที่ยวนี้ เป็นการขับรถพวงมาลัยซ้ายครั้งแรก (อะไรจะมีครั้งแรกเยอะอย่างน้านนน)
การเดินทางครั้งนี้ มีเรา สายเล่า + รุ่นพี่ สายเลือดไต้หวัน และ และช่างภาพ สายถ่าย จาก @taklongsunday
พวกเราสามคนวางแผนเที่ยวไต้หวันกัน 7 วัน โดยเส้นทางการเดินทางวันแรกนี้ เราเริ่มต้นออกเดินทางจากไทเป
มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน ก่อนวกกลับมาที่ไทเปอีกครั้งค่ะ
จุดต่างๆ ที่เราแวะเที่ยว จะมีที่ไหนบ้าง เลื่อนอ่านลงมาด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ^^
สำหรับตอนที่ 2 อ่านต่อได้ที่ https://ppantip.com/topic/36789209 จ้าาาา
“ชิดขวา... ชิดขวา…”
ประโยคที่พวกเราจะพูดกันบ่อยที่สุด เวลาอยู่บนรถ เพราะนี่คือการขับรถพวงมาลัยซ้ายครั้งแรกของพวกเรา ทักษะทางด้านขับรถ เราขอยกให้กับช่างภาพของเราค่ะ (ทำทู้กอย่าง ตั้งแต่ถ่ายรูปบันทึกการเดินทาง ยันขับรถพาพวกเราไปทุกที่) ด้วยความที่อุปกรณ์การขับรถจะอยู่คนละฝั่งกับการขับรถพวงมาลัยขวา ก็เลยต้องขอเวลาคนขับจูนตัวเองนิสนึง ปรับเบาะ ปรับกระจกข้าง กระจกมองหลัง เกียร์อยู่ฝั่งขวามือ เอ้า..พร้อม !!! งานนี้ลงถนนจริง ไม่มีสนามให้ทดลอง ออกตัวก็เจอแยกไฟแดงเลย “เลี้ยวซ้ายแล้วชิดขวานะจ้ะ” เราแอบกระซิบเบาๆ จริงๆแล้วเราก็รู้สึกเกร็งนะ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนจับพวงมาลัยก็ตาม 55555
ช่างภาพหันมาถามเราว่า “ Google Map บนมือถือเนี่ย เราไว้ใจมันได้ใช่มะ” “ได้ดิ” เราตอบอย่างมั่นใจ จะกลัวอะไรเพราะเรามีพี่สาวชาวไต้หวัน มาเที่ยวพร้อมพวกเรานี้น่า แถมพี่เขาก็คุ้นเส้นทางมากกว่าเรา ดังนั้น เราเชื่อว่า พี่เขาจะเป็น Navigator ให้เราได้ แต่เหมือนพี่เขาจะอ่านสีหน้าเราออก พี่เขาเลยหันมาบอกว่า "ก็ไม่รู้ซินะ หลงบ้าง ก็สนุกดีออก"
แอบเม้าท์คนขับนิดนึง มีหลายครั้งที่ขึ้นรถมาแล้วจะคาดเข้มขัดนิรภัย พี่ท่านก็เอื้อมมือขวาคว้าเข็มขัดตามสัญชาตญาณพวงมาลัยขวาแบบชาวไทย พี่ท่านก็คว้าอากาศไปซัก 2 ที เราก็แอบขำพร้อมกับเอามือไปตบบ่าซ้ายเบาๆ เข็มขัดอยู่ซ้ายนาจา
จากเมืองไทเป เราก็เริ่มต้นขับรถขึ้นทางหลวงหลักของประเทศ หรือ National Highways ชื่อย่อว่า Freeways (ที่ไม่ฟรีค่าผ่านทาง หากทางหลวงนั้นเป็นทางหลวงเลขคี่) Freeways เป็นระบบคล้ายกับทางหลวงระหว่างรัฐของสหรัฐอเมริกา โดยของไต้หวันจะใช้สัญลักษณ์ เป็นรูปดอกเหมย และมีหมายเลขอยู่ด้านใน จากรูปจะเห็นเลข 3 อยู่ในกรอบดอกเหมยสีเขียว เหนือป้ายสีเหลือง
ป้ายบอกเส้นทางจะลักษณะเหมือนกับของเมืองไทย คือพื้นเขียว ตัวอักษรสีขาว แต่ถ้าเป็นป้ายชี้บอกสถานที่ท่องเที่ยว จะเป็นป้ายพื้นสีน้ำตาล ตัวอักษรสีขาว ส่วนป้ายบอกจุดพักรถ จะเป็นพื้นสีน้ำเงิน ตัวอักษรสีขาว ป้ายต่างๆ บนทางหลวงประเทศนี้ จะมีกำกับอักษรจีน อังกฤษ และสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย และเพื่อความสนุกสนานในการเดินทางขับรถเที่ยวในไต้หวัน ควรทำความเข้าใจเรื่องป้ายสัญลักษณ์ต่างๆ และ Speed Limit หรือ การตรวจจับความเร็วของประเทศนี้ ที่จับจริง ปรับจริง ค่าปรับโหด เพราะกล้องตรวจจับความเร็วที่นี่ดีมาก ถึงมากที่สุด เพราะจับทุกคัน ไม่ต้องห่วงว่าผู้ฝ่าฝืนจะเล็ดลอดไปได้ ดังนั้นปกติความเร็วที่ใช้ในการขับรถยนต์แบบรถเก๋ง คือ 80-110 กม./ชม. ซึ่งจะมีป้ายเตือนบอกทุกครั้ง ว่าทางหลวงแต่ละเส้น ให้ใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกินกี่ กม./ชม. ค่ะ
ทางหลวงแบบเลขตัวเดียว จะเป็นทางยกระดับ ทอดตัวยาวรอบเกาะไต้หวัน มีบางช่วงจะอยู่บนพื้นราบบ้าง แต่ถ้าเข้าพื้นที่เมืองเมื่อไร จะเปลี่ยนเป็นสะพาน ซึ่งบางจุดจะสูงเท่าตึก 10 ชั้นเลยทีเดียว หลังจากขึ้น Freeways จะไม่มีตู้หรือด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ไม่มีเสียงติ๊ด ติ๊ด หรือไม้กั้นด่านเก็บเงินแล้ว เจ้าของรถจะสมัครใช้ “eTag” เพื่อเติมเงินล่วงหน้าก็ได้ หรือจะไปชำระเงินทีหลัง แต่ต้องไม่เกิน 3 วัน ที่ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ก็ได้
เกริ่นมาพอหอมปากหอมคอ สำหรับการขับรถในไต้หวัน เรามาสู่การเริ่มต้นเที่ยวอย่างจริงจังในวันนี้กันดีกว่า ปลายทางแรกที่เราจะไป คือ New Taipei City ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของไทเป ซึ่งมีเมืองหลักคือ Keelung City (基隆市) ที่คนไทยมักเรียกว่า เมืองคีลุง แต่ถ้าอยากอ่านออกเสียง สำเนียงเหมือนคนพื้นที่ต้องออกเสียงสำเนียงจีนกลางว่า “จีหลงซื่อ” คำว่า New Taipei City จะเห็นว่ามันมีหลายซิตี้ ล้อมรอบเมืองไทเป ที่มาของชื่อนี้ ก็มาจากการขยายตัวของเมืองไทเป ทางรัฐบาลจึงได้ตั้งชื่อเขตพื้นที่รอบๆเมืองไทเปว่า New Taipei City โดยไทเปเป็นเหมือนไข่แดง ส่วน New Taipei City เป็นเหมือนไข่ขาวที่ล้อมไข่แดงไว้
จากตัวเมืองไทเป เราใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางของ Freeways เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษประกอบ อักษรจีนเป็นอักษรภาพ คือ 1 อักษรมีความหมายในตัวของมันเอง ไม่ใช่เกิดจากการผสมพยัญชนะกับสระหรือวรรณยุกต์แบบภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ อักษรจีนในไต้หวัน ฮ่องกง และญี่ปุ่น เป็นอักษรจีนแบบตัวเต็ม ตัวเต็มคือตัวอักษรดั้งเดิม (繁體字 ฝานถี่จื้อ) ส่วนตัวอักษรที่จีนแผ่นดินใหญ่ใช้ จะเป็นแบบตัวย่อ (简体字 เจี๋ยนถี่จื้อ) สิ่งที่ต่างกันของอักษร 2 กลุ่มนี้คือจำนวนเส้นที่อยู่ในแต่ละอักษร ตัวอักษรแบบตัวย่อคือ หากอักษรตัวไหนที่มีจำนวนเส้นมาก ก็จะถูกย่อลดจำนวนเส้นลง เพื่อให้จำได้ง่านและเขียนได้เร็วขึ้น ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ชื่อประเทศไต้หวัน นี่แหละ ที่การเขียนตัวเต็มกับตัวย่อต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
แบบตัวเต็ม 台灣
แบบตัวย่อ 台湾
ประเทศไต้หวันถ้าออกเสียงให้ถูกต้องตามสำเนียงจีนกลาง ก็จะอ่านว่า “ไถ๋วาน” ซึ่งในระบบการอ่านออกเสียงโดยเทียบเป็นอักษรภาษาอังกฤษนี้ ทางไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่ ก็จะใช้อักษรต่างกัน เช่น ชื่อวัด Xing Tian Gong ในไทเป ถ้าเข้า Google ก็จะเจอการสะกดในภาษาอังกฤษ อีกแบบว่า Hsing Tian Kong เป็นต้นที่เขียนเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะป้ายบอกทางภาษาอังกฤษของที่นี่ จะเป็นการใช้อักษรอังกฤษสะกดแทนเสียงอ่าน ซึ่งจะไม่ใช่แบบเดียวกันกับที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นการจดชื่อเมือง ชื่อป้ายสถานที่ท่องเที่ยว หรือจุดสังเกต ทางเข้า ทางออก ของถนนหลัก จึงสำคัญ เพราะสิ่งที่เราอ่านแล้วน่าจะออกเสียงแบบนั้น มันอาจจะไม่ตรงกับการออกเสียงจริงก็เป็นได้
กลับเข้ามาที่การเดินทางสู่เมือง Keelung อีกครั้ง จากใจกลางเมืองไทเปไปเมือง Keelung เราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ระยะทางประมาณ 30 กม. ซึ่งจะผ่านโรงแรมแห่งแรกของไต้หวันที่มีบริการแบบยุโรป ชื่อ The Grand Hotel (圓山大飯店) ตัวอาคารทาสีแดงทั้งหลัง ตั้งแต่กระเบื้องหลังคา จนตัวตึก โรงแรมแห่งนี้มีสร้างในสมัยประธานาธิบดีเจียงไคเช็ค (ราวปี ค.ศ. 1973) เพื่อต้อนรับแขกบ้าน แขกเมือง จากยุโรปและอเมริกา ฝั่งตรงข้ามโรงแรมที่เห็นอยู่ลิบๆ คือ อาคาร Taipei 101 ตึกที่เป็นสัญลักษณ์ใหม่ของไต้หวัน มีทั้งหมด 101 ชั้น และมีสถานีรถไฟ MRT อยู่ที่ใต้ตึกเลย ตึกนี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน
เมือง Keelung เป็นเมืองท่า ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากเมืองเกาสงทางภาคใต้ และเมืองไทจงทางภาคกลาง ของไต้หวันแต่เป็นท่าเรือแห่งแรกของประเทศนี้ มีเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมาเทียบท่า เพื่อขนถ่ายสินค้าเข้า-ออกจากไต้หวัน เมืองนี้มีทั้งเขาและอ่าวเปิดต้อนรับผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและคนเดินเรือ วันนี้เป็นวันฟ้าปิด ลมแรง และมีฝนเม็ดเล็กๆ ตกลงมาตลอด เราภาวนาในใจว่า อย่าให้ฝนตกหนักแบบพายุเข้าเลย เดี๋ยวจะไม่ได้เดินเที่ยวกัน
ที่เมือง Keelung เราเข้าจอดรถที่ลานจอดรถสาธารณะของเมือง ซึ่งมีระบบการจอดรถที่ไม่ต้องรับบัตร เพราะระบบจะบันทึกเลขทะเบียนรถไว้ (Automatic License Plate Recognition) โดยก่อนเอารถออก ก็ไปที่ตู้ชำระเงิน กดเลขทะเบียนรถ จ่ายเงินค่าจอด แล้วก็นำรถออกได้เลย ถ้าเป็นที่เมืองไทย ตัวเซนเซอร์คงอ่านเลขทะเบียนยาก เพราะตัวอักษรไทย มีทั้งหัวเข้า หัวออก หัวกลม หัวหัก แถมยังมีทั้งที่ไปปิดทองที่ตัวเลข ปรับองศาการติดป้ายทะเบียน ใส่กรอบบังทะเบียน และอื่นๆ อีกมากมาย จึงอาจจะเป็นสาเหตุที่ยังไม่สามารถใช้ระบบนี้ได้
ระบบจอดรถแบบนี้ ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และเกียรติของคนขับ ว่าจะไม่โกงค่าจอด (คือถ้าโกง เจ้าหน้าที่ก็ตามปรับได้ง่าย) กฎหมายด้านจราจรที่ไต้หวัน เน้นปรับหนัก เพื่อให้คนใช้รถใช้ถนน ไม่กล้าฝ่าฝืน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าขับรถในทางลอดอุโมงค์ต้องเปิดไฟหน้าและห้ามเปลี่ยนเลน หากใครฝ่าฝืน จะถูกปรับ 3,000 NTD (นั่นมันราคาค่าตั๋วมาไต้หวันเลยนะนี่)
เราออกมาเดินเที่ยวใจกลางตลาดของเมือง Keelung หาอาหารเที่ยงรองท้องกัน ที่นี่มีกับข้าวตัก ราคาไม่แรง รสชาติดี และปริมาณมาก ให้พวกเราอิ่มท้อง อาหารน่ากินมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือมาลองชานมไข่มุก และน้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มขึ้นชื่อของไต้หวัน เราเดินผ่านมาหลายร้าน เกือบทุกร้านบอกว่าเขาเป็นเบอร์ 1 (I am No. 1) เรื่องชานมไข่มุกนะเออ หรือไม่ก็เป็นเบอร์ 1 น้ำเต้าหู้ สรุปแล้วใครคือเบอร์ 1 กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือ คนไทยทุกคนถ้ามาถึงไต้หวัน แล้วไม่ได้กินชานมไข่มุก ถือว่ามาไม่ถึงไต้หวันนะจ้ะ
จากศูนย์กลางของเมืองออกมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็จะพบกับป้อมปราการเก่า ชื่อ ป้อมไป๋หมี่เวิ่ง (Baimiweng Fort 白米甕砲台) รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่หันหน้าออกไปทางทะเลจีน สร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งป้อมปราการนี้ แต่ก่อนจะมีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ ด้านซ้ายเป็นฐานกองบัญชาการ ขวาเป็นจุดสังเกตการณ์ ตรงกลางเป็นปืนใหญ่ ภายหลังทางรัฐบาลได้ย้ายปืนใหญ่ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ จึงเหลือให้เห็นแต่ฐานครึ่งวงกลมที่เคยวางปืนใหญ่ ถ้ามองจากภาพมุมสูง จะเห็นเป็นวงๆ 4 วงอยู่กลางเขา หลังจากนั้นทางการก็ได้พัฒนาให้ป้อมไป๋หมี่เวิ่งเป็นจุดท่องเที่ยว จุดพักสายตา มีเก้าอี้ม้านั่งให้หย่อนกาย ปล่อยใจเวลาที่มองทะเลสุดลูกหูลูกตาด้านหน้า แต่วันนี้เป็นวันที่ลมแรงมาก เดินกันตัวแทบปลิว และมีฝนปรอยๆ ตลอด เลยไม่ได้นั่งทอดอารมณ์ มีคำกล่าวว่า ฟ้าหลังฝนจะสวยงามเสมอ เราก็หวังว่าตลอดเส้นทางที่เหลือของเรา จะไม่เจอกับเม็ดฝน ลมพายุอีก
ป้อมปราการนี้ตั้งอยู่ในจุดที่สูงที่สุดของชายทะเลเมือง Keelung เมื่อหันไปด้านหลังจะเป็นท่าเรือ ด้านหน้าเป็นความเวิ้งว้างของทะเล ส่วนด้านซ้ายเป็น โรงไฟฟ้าเสียเหอ (Hsieh-ho Power Plant) ที่มีจุดเด่นเป็นปล่อง 3 ปล่องใหญ่ เป็นโรงไฟฟ้าแบบ fully oil-fired power plant แห่งเดียวในไต้หวัน มีทุ่นปูนที่เอาไว้กันคลื่นในทะเล ทอดตัวยาวตลอดแนวชายทะเล ลักษณะเหมือนกับทุ่นกากบาท ถ้าคนไปยืนเทียบ คงจะตัวเล็กกว่าทุ่นนี้มาก
#ช่างภาพ #ทริปถ่ายรูป #Canon #MirrorlessCamera #LumixGF7
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น