[CR] Road Trip in Taiwan ขับรถเที่ยวไต้หวัน 7 วันสุดประทับใจ-ตอน 2



ขอขอบคุณทุกท่านที่แชร์กระทู้ของเราออกไปนะคะ ดีต่อใจมากมาย หัวใจหัวใจ
ตอนที่ 2 นี้พวกเราเริ่มต้นที่ไทเปเหมือนเดิม แต่เส้นทางคือขับลงไปทางใต้ค่ะ ตั้งใจแวะเมืองอิงเกอ (เมืองแห่งการปั้น)
อ่างเก็บน้ำต้าซี และตีตั๋วนอนยาว เอ้ย.. ขับรถยาวไปพักที่ Sun Moon Lake ค่ะ
++ รูปตอนที่ 2 นี้ มีรูปจากช่างภาพบอล @taklongsunday มาเติมให้ทริปนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นค่ะ
สำหรับรูปฉบับเต็ม ติดตามต่อ ได้ที่ https://goo.gl/pzUCua ค่าาาาา++


ปล. ติดตามตอนที่ 1 ของพวกเราได้ที่ https://ppantip.com/topic/36441433


ใครมีข้อสสงสัยตรงไหน ส่ง inbox มาได้นะคะ ^__^


Let’s Go!!!


✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿✿*゚‘゚・✿.。.:。✿*゚✿*゚‘゚・✿.。.::。✿*゚✿*゚‘゚・✿‘゚‘゚✿


          เมื่อคืนหลังจากที่พาตัวเองกลับมาถึงบ้านพักในไทเปได้อย่างปลอดภัย กลางคืนเรายังมี meeting รอบดึกเล็กน้อย เพื่อวันนี้จะไม่หลงทางอีก (มั้ง) แผนการเดินทาง คือ ไปปั้นหม้อรอรัก... ม่ายช่ายยยย จะไปเมืองเซรามิกอิงเกอต่างหาก อิฉันก็วกเข้าชื่อหนังไปซะนี่ 555

          จากนั้น จะไปนั่งกินลมชมวิว ริมอ่างเก็บน้ำซือเหมิน เมืองต้าซี แล้วก็จะขับเข้าสู่ที่พักของคืนที่ 3 ที่ริมทะเลสาบสุริยันจันทรา (ออกเสียงแบบคนไต้หวัน ก็日月潭  อ่านว่า รื่อเยว่ถาน ดูดีขึ้นมาทันทีเวลาออกเสียงถูก)  พี่กี๋บอกว่าโรงแรมนี้คัดสรรเรื่องวิวมาให้อย่างดี แค่บอกว่าได้พักริมทะเลสาบ ก็ว่าดีงามแล้ว ถ้าได้เปิดหน้าต่างเจอวิวเกร๋ๆ อีก มันคงฟินนนนน...  วันนี้เราไม่เน้นที่เที่ยวหลายที่แบบเมื่อวาน เพราะระยะห่างของแต่ละสถานที่ค่อนข้างไกลกัน หลังจากนอนเกือบเช้าติดกันมา 2 คืน สังขารก็เริ่มแสดงอาการ เริ่มตั้งแต่ไม่อยากลุกจากเตียง วางแผนว่าจะเดินทางแบบคณะทัวร์ นั่นคือ 6-7-8 ตื่น 6 โมง จัดการธุระส่วนตัว แพคกระเป๋าให้พร้อม แต่พอนาฬิกาปลุกดังเท่านั้นแหละ กดปิดทันที ตื่นมาอีกทีก็ 7 โมงแล้ว เฮื้อก... รีบตาลีตาเหลือก เด้งดึ๋งออกจากเตียงแทบไม่ทัน พอมาถึงห้องรับแขก เท่านั้นแหละ ถึงได้รู้ว่า เราตื่นเป็นคนแรก (ควรจะดีใจที่เพื่อนๆ ให้เกียรติอาบน้ำก่อนสินะ)

          วันนี้แดดแจ๋ (ตรงกันข้ามกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง) เสื้อหนงเสื้อหนาวเก็บเข้ากระเป๋าไปเลย แดดดีแบบนี้ เวลาถ่ายรูปจะสวย แต่เงาก็จะเยอะตามไปด้วย เพราะฉะนั้น เราให้ช่างภาพของเราดำเนินการถ่ายรูปน่าจะเหมาะสุด (เผื่อเราและพี่กี๋จะได้มีรูปอยู่ในเฟรมบ้าง)   อาหารเช้าวันนี้ ง่ายมาก ถึงมากที่สุด นั่นก็คือ แมคโดนัลลลลล!!! ผิด ผิด ผิด เพราะเราตั้งปณิธานว่าทริปนี้เราจะไม่กินฟาส์ตฟู้ดทุกประเภท เราจะกินอาหารจากร้านท้องถิ่น only

          มื้อเช้าเลยเป็นแป้ง+ไข่+ต้นหอม 蛋捲 ตีรวมกันแล้วแล้วราดเป็นแผ่นบนกระทะแบน (เหมือนขนมโตเกียว) แล้วปรุงรสนิดหน่อย โดยแป้งที่ใช้ จะเป็นแป้งสาลี ไม่เหมือนพวกแป้งแพนเค้ก) พอแป้งสุก และเกรียมได้ที่ เขาจะม้วนๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ พอดีคำ จิ้มน้ำจิ้มหวานๆ กินไปเรื่อยๆ อร่อยดี อาจเป็นเพราะส่วนตัวชอบอาหารแป้งๆ อยู่แล้ว พอมาเจออาหารเช้าแบบนี้ ถือว่าเข้าทาง (ต้องขออภัยผู้ที่จินตนาการมาถึงตอนนี้ว่าหน้าตาของกินเป็นอย่างไร เพราะเราถ่ายรูปไม่ทัน โตเกียวไต้หวันนั้น หมดในพริบตา)

          นั่งคิดคนเดียวว่า วันนี้จะไม่มีอะไรผิดแผน แต่ความกะทันหัน ก็ทำให้เราได้ค้นพบที่เที่ยวนอกแผนของวันนี้     

          ระหว่างหาทางเข้าทางหลวงหมายเลข 3 ช่างภาพร้อมตำแหน่งคนขับ (หืม.... ช่างภาพหันมามองด้วยหางตา) ก็ขับผ่านหน้าอาคารเก่าสมัยโบราณทางด้านซ้ายมือ ภาพเหมือนสโลว์โมชั่น (เพราะเรายังหาทางไปต่อไม่เจอเลยไม่กล้าขับเร็ว) มองทะลุเข้าประตูด้านหน้า เข้าไปสู่ด้าน เห็นเป็นหมู่อาคารเก่า (ภาพเหมือนโดน zoom in ในหนังจีน) น่านไง.. ความกะทันหันของเรา 3 คนเกิดขึ้นทันที "เข้าไปดูกันมั้ย" ประโยคนี้เหมือนเป็นคำถามลอยจากบอลช่างภาพของเรา ประหนึ่งอ่านใจทุกคนได้  พี่กี๋เนวิเกเตอร์สาวไต้หวันของเรา ก็สแกนหาที่จอดทันที แล้วบอกว่า “ข้างหน้าว่าง จอดเลย” ช่างภาพก็พุ่งไปจอดป๊าป แลดูพวกเรามี Teamwork กันมากในเรื่องเที่ยว อิๆ


          และแล้วบางครั้ง The best plan is no plan.  เช้านี้เราก็มีจุดหมายแรก ที่พิพิธภัณฑ์หลินอันไท่ หรือ Lin An Tai Historical House and Museum (林安泰古厝 หลินอันไท่ กู่ฉั้ว) พิพิธภัณฑ์นี้เปิดให้เข้าฟรี (เพิ่มดีกรีความน่าเที่ยวเข้าไปอีก 555) หลังจากเดินลอดซุ้มประตูเข้ามา ก็จะเจอลานหญ้ากว้างพร้อมไก่ยักษ์ ยืน Say Hi กับนักท่องเที่ยว ไก่ตัวนี้เป็นไก่สาน ขนาดสูงน่าจะเกือบ 3 เมตร เขาไม่ให้เราเข้าไป tack มือไก่นะ มีป้ายห้ามจับติดอยู่ข้างๆ (อดเลย)







           เข้ามาที่ด้านใน กลุ่มตึกอาคารถูกสร้างตามแบบคนฝูเจี้ยน ในมณฑลฟู่โจว ซึ่งอยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่ หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ฝั่งตรงข้ามเกาะไต้หวัน อาคารเก่านี้สร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) ราวปี ค.ศ. 1754 เป็นบ้านของเศรษฐีเก่าที่มาทำการค้าที่เกาะไต้หวันนี้ ลักษณะอาคารของพิพิธภัณฑ์ จะมีอาคารรับรองอยู่ตรงกลาง ด้านหน้าอาคารเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ ถ้าเป็นในอดีตก็จะเป็นบ่อสำหรับน้ำกิน น้ำใช้ และเอาไว้ดับไฟเวลามีไฟไหม้ ให้ลองนึกถึงหนังจีนสมัยก่อน ที่จะมีอาคารรับแขกด้านหน้า ก่อนมีทางแยกย้ายไปตามกลุ่มอาคารด้านข้างและด้านหลังซึ่งเป็นส่วนปิด สำหรับสมาชิกในบ้านเท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็มีอาคารต่อเติมที่สร้างภายหลังเป็นอาคารอิฐปูนแดง แต่ยังคงคอนเซ็ปให้สอดคล้องกับอาคารหลังเก่า ตอนเราเข้าไป เรานึกว่าอยู่ในฉากละครจีนเลย คือตัวตึก ตัวไม้ที่เป็นกรอบประตู หน้าต่าง บานเฟี้ยม ให้ความรู้สึกถึงพลังของอดีต และความงดงามที่อยู่ในรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นกลุ่มอาคารเหล่านี้









           เราชอบการนำเสนอ คำอธิบาย ป้ายประกอบของที่นี่ ซึ่งมีเป็นภาษาไทยและจีน เย้ยยย... เขามีภาษาจีนและอังกฤษต่างหาก (ในใจลึกๆ มันก็อยากให้มีแปลไทยบ้างนะ เวลาเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์เมืองนอก) แต่ละจุดจะมีป้ายอธิบาย เริ่มตั้งแต่การทำหลังคา การวางไม้คาน ซึ่งมีถึง 4 ชั้น และการวางกระเบื้องตามแนวคานให้โค้ง เพื่อกันลม กันฝน และพายุ นอกจากนี้ ยังมีห้องต่างๆ จัดแสดงอีกด้วย เช่น ห้องครัว ห้องนอน ห้องอาบน้ำ เฉลียงลายไม้ที่แกะสลักสวยงาม ศาลาคลายร้อนริมสระน้ำ สิ่งที่เราประทับใจคือ บานฉลุ งานแกะสลัก เป็นลายต่างๆบนประตูไม้ คือวิจิตรบรรจงมาก ใครที่ชื่นชอบอาคารเก่า หรือ หนังจีนย้อนยุค น่าจะเดินเที่ยวในพิพิธภัณฑ์นี้อย่างเพลิดเพลิน ตัวสีอาคารส่วนใหญ่จะออกเป็นสีโทนส้ม น้ำตาล พอเจอแดดแรงตามพยากรณ์อากาศ ทำให้เห็นสีท้องฟ้า ตัดกับกลุ่มอาคารเก่าได้สวยงาม







    เชื่อว่าหลายๆ คนเวลาเข้าไปในวัดจีน หรือ ศาลเจ้าจีน หรือแม้แต่บ้านจีนแบบโบราณ มักจะเห็นอักษรจีนในแนวตั้งที่เสาซ้าย-ขวาของอาคาร เราเองก็สงสัยมาตลอดว่ามันคืออะไร หลังจากไปหาข้อมูลมา ก็รู้ว่า อักษรจีนที่เขียนที่เสา เรียกว่า ตุ้ยเลี่ยน (對聯) มักจะเป็นบทกวี คติสอนใจ สำหรับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา เหมือนจะเดินไปไหน ก็มีคำสอน บทกวีเหล่านี้ คอยเตือนตัวเองไว้ เพราะพอได้อ่าน เราก็จะฉุกคิด เหมือนเป็นการเตือนสติตัวเองไปในตัว



            เสพย์ของเก่าและความรู้มาพอสมควร เรายังไม่ได้ออกไปเมืองเซรามิกอิงเกอสักที เพราะมัวแต่สนใจระบบจักรยานสาธารณะของที่นี่ มีจักรยานจอดเรียงราย พร้อมระบบล็อคกันรถหาย อันนี้เป็นจักรยานสาธารณะ ที่ใครๆ ก็สามารถเอาจักรยานไปปั่นได้ เพียงแต่เอาบัตรซื้อของที่เคยลงทะเบียนไปแตะ มันก็จะปลดล็อค แล้วก็ขี่ไปจอดคืนในจุดจอดอื่นๆ เราขี่จักรยานไม่แข็งเหมือนเพื่อนร่วมทริป เลยขอไปแอ๊ดท่าถ่ายรูปเฉยๆ ขาปั่นสองล้อจากเมืองไทยจึงไม่ควรพลาดการปั่นเที่ยวเมืองไทเปนะจ้ะ

            การเดินทางในเมืองหลวงอย่างไทเป ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ถือว่าโค ตะ ระ สะดวก เริ่มตั้งแต่เส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือ MRT ที่ครอบคลุมเกือบทั้งพื้นที่เมืองไทเป ระบบรถเมล์ รถแท๊กซี่ ไม่ต้องกลัวว่าโบกแล้วไม่จอด ถ้าเป็นรถส่วนตัว โดยมากจะเป็นมอเตอร์ไซค์ไซส์สกู้ตเตอร์แบบบ้านเรา มีที่จอดแบบเป็นที่เป็นทางเหมือนรถใหญ่ หรือถ้าจะปั่นจักรยาน ถนนในไต้หวันก็เหมาะ เพราะวิวสวย อากาศดี รถใหญ่บนถนนไม่มาก (นอกจากบน Freeways) และในเมืองไทเปยังมีจัดพื้นที่สำหรับการปั่นจักรยานตามแนวฝั่งซ้าย-ขวาของแม่น้ำ Keelung ด้วย ซึ่งแต่เดิม แม่น้ำ Keelung จะเกิดน้ำท่วมบ่อย ทางการจึงสร้างตลิ่งที่อยู่สูงขึ้นและทำเป็นทางปั่นจักรยาน และทางเดินออกกำลังกายไปในตัว มีชื่อเรียกว่า Keelung River Bicycle Trail ระยะทางรวม 2 ฝั่งแม่น้ำประมาณ 36 กม.

            หลังจาก The best plan is no plan. เราก็มา Follow our plan อีกครั้ง นั่นก็คือมุ่งหน้าไปเมืองอิงเกอ เขตเถาหยวน เส้นทางเริ่มมุ่งหน้าลงใต้ เพื่อไปปั้นหม้อเซรามิก ระยะทางจากพิพิธภัณฑ์หลินอันไท่มาอิงเกอประมาณ 35 กม. ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 หมายเลข 65 และหมายเลข 3 แม้วันนี้จะเป็นการขับรถวันที่ 2 แล้ว แต่เรายังคงต้องเตือนกันว่า รถช้า ขับชิดขวานะคะ

            เมืองอิงเกอ หรือ Yingge Pottery Town ซึ่งมีถนนสายเครื่องเซรามิก ชื่อว่า Yingge Ceramics Street (鶯歌陶瓷老街) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองไทเป อิงเกอก็ถือว่าอยู่ในเขต New Taipei City (ไข่ขาวที่ล้อมรอบไข่แดงอย่างเมืองไทเปไว้) ในพื้นที่ของเมืองเถาหยวน Taoyuan City 桃園市 (ชื่อเดียวกับสนามบินนานาชาติเถาหยวน) เมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรม มีโรงงานมาตั้งมากมาย และมีแรงงานนานาชาติมาทำงานที่นี่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพี่น้องคนไทยนั่นเอง ตลอดทางที่ขับรถผ่านในตัวเมือง ยังมีป้ายร้านอาหารไทยให้เห็น (รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก หากว่าพลัดหลงไป ก็ยังมีร้านอาหารไทยให้พึ่งพิง)

            เมืองเซรามิกอิงเกอ เริ่มต้นมาจากช่างฝีมืองานปั้นชุดน้ำชา เพราะน้ำชาคือเครื่องดื่มอันดับหนึ่งของคนเชื้อสายจีน บรรดาช่างฝีมือต่างๆ มารวมกลุ่มกันสร้างสรรค์ผลงานชุดน้ำชา เพื่อส่งขาย จากนั้นก็เริ่มขยับขยายเป็นถ้วยโถโอชาม กระถาง ฯลฯ จนเป็นเมืองที่เลื่องชื่อด้านเครื่องปั้นดินเผา และงานเซรามิกต่างๆ เรียกได้ว่า มีร้านเซรามิกขายสินค้าเรียงรายกันละลานตา และละลายเงินในกระเป๋าได้ง่ายๆ (เราถึงขั้นต้องกำเงินไว้แน่นๆ อย่าได้เผลอเชียว เดี๋ยวไม่มีตังค์เที่ยวต่อ)

ชื่อสินค้า:   Taiwan : Pottery Village, Daxi, Sun Moon Lake
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่