หลังจากแม่เราของป่วยเป็นมะเร็งปอดมา 3 ปี และเป็นเส้นเลือดสมองตีบอีก 1 ปี สุดท้ายก็เสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 12 เม.ย.60 ที่ผ่านมาค่ะ
การรักษาช่วงแรกที่รู้ก็คีโม 12 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีการฉายแสงมาเรื่อย 1 ปีก่อนหน้าตรวจพบมะเร็งที่สมองจากการ CT Scan
เนื่องจากไม่มีคิวทำ MRI จึงต้องฉายแสงที่สมองไปก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ MRI ปรากฎว่าหลังจากฉายแสงกลับมา แม่ไม่สามารถพูดได้
พวกเราคิดกันว่าเป็นอาการข้างเคียงจากการฉายแสง แต่หลังจากเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังพูดไม่ได้ ไม่ได้ไปหาหมอทันที เป็นวันศุกร์
ไปหาหมออีกทีวันจันทร์ ให้เข้าห้องฉุกเฉินแอทมิด ปรากฎเป็นลิ่มเลือดสมอง ให้ยาละลายลิ่มเลือด แต่อะไรก็ไม่ดีขึ้น
หลังจากกลับบ้านอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนพิการซีกขวา ตอนปีใหม่แม่ฝืนเดินเอง หกล้มหัวฟาดพื้น หลังจากนั้นก็เดินไม่ได้อีกเลย
เรื่องที่แย่และเป็นเรื่องใหญ่อีกหนึ่งเรื่องคือกินอาหารไม่ได้ และพวกเราไม่เข้าใจ คิดว่าทำไมดื้อ ทำไมไม่กิน แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการของโรค
ก่อนเสียชีวิต
สังเกตุว่าฉี่บ่อยขึ้น ทั้งๆที่ไม่ได้กินน้ำเยอะ ต้องใส่กระโถนให้ทุกชั่วโมง จนสุดท้ายฉี่ไม่ออกอีกเลย ก็พาไปโรงพยาบาลใส่ท่อ
และไม่เคยถอดอีก ไม่สามารถฉี่เองได้อีกแล้ว
หลังจากใส่ท่อปัสสาวะ 1 เดือน อยู่ดีๆ ก็หายใจเหนื่อย หอบ เรียกรถฉุกเฉินมาไปโรงพยาบาล และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่ออกจากบ้าน
และไม่ได้กลับมา หมอบอกว่ามีน้ำในปอด เราคิดว่าเจาะออกก็คงจะหาย
วันที่ 10 เม.ย.60 เรายังทำงาน เพราะคิดว่าแม่คงเข้าโรงพยาบาลเหมือนทุกที เดี๋ยวก็ออกมา แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จนหมอบอกว่า
อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน เราจึงรีบลางานมาดูแม่ พอเจอแม่ยังคงมีสติอยู่แต่ร้องโอ๊ยๆ ตลอด บอกว่าเจ็บ อวัยวะภายในกำลังไปทีละส่วน
คงจะเจ็บมาก ให้มอร์ฟีนตลอดเวลา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าเริ่มเป็นสีม่วง ตรวจชีพจรทางนิ้วมือไม่เจอ
หายใจเป็นเฮือกๆ
วันที่ 11 เม.ย.60 หมอและนางพยาบาลยังแปลกใจว่าทำไมแม่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เหมือนรออะไรบางอย่าง พอดีกับน้องสาวของแม่
ไปต่างประเทศ มีญาติอยู่ที่นั่น ไม่สามารถกลับมาดูใจได้ทัน เราจึงคอลไลน์ไปให้แม่ได้คุยกันครั้งสุดท้าย แต่แม่ก็คุยไม่ได้แล้ว
ตามองเห็นรึเปล่าไม่รู้แต่หูได้ยินแน่นอน ทางนั้นเค้าก็สวดมนต์ให้ฟัง แม่มีน้ำตาไหล เราคอลกันอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเราก็สวดมนต์ให้แม่ฟัง บอกว่าไม่ต้องห่วงทางนี้ เราอยู่ได้ ไปไหว้พระไหว้เจ้านะ นึกถึงเจ้าแม่กวนอิม นึกถึงพระไว้นะ
ก่อนเราจะกลับนางพยาบาลได้บอกว่าอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้นะ เราตกใจ พ่อเราก็ตกใจ มีความเชื่อที่ว่า ถ้าเป็นคนจีนเขาจะไม่เสียชีวิต
ก่อนเที่ยงคืน เพราะเชื่อว่าคนตายจะเอาไปหมด (หมายถึงทรัพย์สมบัติ) ถ้าเสียหลังเที่ยงคืนคือจะเหลือให้ลูกหลานใช้
เวลาเสียที่ดีที่สุดคือก่อนเช้า เรากลับบ้านกันไปเตรียมตัว ยังคิดอยู่ว่านางพยาบาลอาจจะมั่วก็ได้ แม่เราอาจจะอยู่พ้นสงกรานต์
วันที่ 12 เม.ย.60 เวลา 01.45 น. ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าแม่เสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลา 01.30 น.
พวกเรา พ่อ อา เรา รีบนั่งรถไปโรงพยาบาล ไปถึงก็ให้นางพยาบาลอาบน้ำศพ ใส่ชุดขาวที่เตรียมไว้
ตัดไว้ตั้งแต่ก่อนเสียค่ะ แม่เป็นคนเลือกผ้าและเลือกช่างตัดเอง เสื้อผ้าที่ใส่ตอนตายนี้แนะนำให้ตัดเผื่อหลวมไว้ค่ะ
ถ้าเข้าโรงพยาบาลมีให้น้ำเกลือตัวจะบวม อาจต้องใส่แพมเพิร์สด้วย ทำให้กางเกงคับ เพราะตอนเสียจะมีน้ำไหลออกมา
โชคดีว่าตอนที่ตัดชุดแม่ยังอ้วน ตอนหลังค่อยผอมเหลือ 37 โลเอง
พอบวมน้ำเกลือก็เลยใส่ได้ ใส่วิกและแต่งหน้า เซ็นยินยอมให้ฉีดศพ
เช้าวันที่ 12 เม.ย.60 มาที่โรงพยาบาล จัดการเรื่องใบมรณะบัตรให้เรียบร้อย เพราะไม่อย่างนั้นจะติดวันหยุดราชการ
แล้วจะเอาไปทำพิธีไม่ได้ มีโลงของโรงพยาบาลให้เลือก มีตั้งแต่แบบประหยัดราคา 3000 โลงเรียบๆ ไม่มีลาย
มีลายแบบงานทั่วไป ราคาประมาณ 5000-6000 แบบหลายๆ ชั้น 8000 บาทขึ้นไป เราเลือกแบบ 5500 ค่ะ
เลือกกลางๆ ไว้เพราะยังไงก็ต้องเผาอยู่ดี ก่อนที่จะปิดโลงเอาเตี๊ยบ ไปเอามาจากวัดพระพุทธบาท
เป็นใบนำส่งให้แม่ไปโลกทางโน้น แม่ไปปั๊มหัวมาแล้ว ทำนองว่าจะได้ไปทางโน้นได้สะดวกมั้ง เราคิดเอาเอง
ไม่ถูกขออภัย พอไปถึงวัดจะมีให้เลือกดอกไม้ มีแบบให้เลือก เราเลือกในราคา 5000 มีประมาณ 5 ช่อมั้ง
ช่อใหญ่ๆ ตอนหลังญาติมาบอกว่าแพง ถ้าไปปากคลองสามารถหาได้ในราคา 3000 แต่ก็คงลำบากค่ารถ
อาหารเลี้ยงวันแรก เนื่องจากรีบๆ จึงโทรไปหาปั้นลี่ เค้าบอกว่าไม่มีของ เราเลยโทรไปพรมารีสั่งชุดละ 40 บาท 25 กล่อง
ตอนเย็นปรากฎว่ามีคนมาแค่ 10 กว่าคน อาหารเหลือเพียบ วันรุ่งขึ้นยังเครียดอยู่ว่าจะเลี้ยงยังไง สงกรานต์คนคงไม่มา
วันที่ 13 เม.ย.60 ญาตินำเล้งมาติดตั้ง เล้งคือแผ่นป้ายที่เอามาตั้งในงานเหมือนเวลาจะทำพิธีกงเต๊ก แต่เราไม่ได้ทำกงเต๊กค่ะ
เอามาตั้งให้ฟรีๆ ถ้าต้องไปจ้างเค้าราคาก็แพงค่ะ เห็นว่าเป็นแสนๆ วันนี้เลี้ยงข้าวต้มกระดูกหมูราคา 50 คน 3000 บาท
วัดเอาไปครึ่งนึง แม่ครัวครึ่งนึง เหลือบานเลยค่ะ มากันสิบคนเหมือนเดิม จากคำแนะนำของผู้หลักผู้ใหญ่ มีหลายพิธีที่ต้องทำ
ไปซื้อผลไม้มา 5 อย่างมาไหว้ ในชื่อผลไม้ห้ามมีคำว่ามาในภาษาจีน เช่น สาลี อาหารเจ 5 อย่าง ซื้อดอกซ่อนกลิ่นมาปัก
แจกันที่มากับเล้ง
วันที่ 14 เม.ย.60 วันนี้ก็หนักใจเรื่องอาหารเลี้ยง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีคนมากี่คน คนรู้จักแม่ก็เยอะ
เลยเลี้ยงเกี๊ยวน้ำ ราคา 2000 บาท แต่เอาจริงๆ มีมากันแค่ 5 คน มั้ง เกี๊ยวยังเหลือไม่เยอะมาก หลังจากแจกคนแถวนั้นไปหมดแล้ว
วันที่ 15 เม.ย.60 วันนี้ซื้อซาลาเปามาเลี้ยง ผู้ใหญ่มาเห็นก็บอกว่าไม่ควรซื้อซาลาเปามา เพราะมันเป็นคำว่าเปา คนเอาเปากลับบ้าน
เหมือนเค้าเอาเงินของเรากลับบ้านไปหมด
วันที่ 16 เม.ย.60 มีคนเอาบ้านกระดาษมาส่ง ใหญ่อลังการมาก จากตอนแรกคิดว่าจะซื้อเอาหลังละไม่เกิน 500 กลายเป็นว่า
บ้านหลังเล็กในกระดาษเงินกระดาษทองเข้าไปไม่ได้ ต้องมีคนใช้ มีโต๊ะ มีเตียง เครื่องบิน รถ และอื่นๆ เยอะมาก
หมดกับค่ากระดาษไป 7000 วันนี้ญาติจัดการเรื่องเลี้ยงอาหาร เลยไม่ยุ่งมาก
วันที่ 17 เม.ย.60 เลี้ยงพระตอนเช้า ถ้าต้องจ้างแม่ครัวตกไม่ต่ำกว่า 5000 บาท สำหรับพระ 5 องค์
ญาติอีก 1 วง สัปเหร่อบอกว่าคุณไม่ต้องไปจ้างหรอก วัดเอาไปครึ่งนึง แพง แล้วพระก็ไม่ชอบฉันด้วย
พระชอบฉันอะไรแบบง่ายๆ ไปซื้อส้มตำไก่ย่างมาก็ได้ พ่อเราก็เลยซื้อกับข้าวเอาเองในตลาดตอนเช้า
ได้พวก น้ำพริกปลาทู ไข่เจียว ผัดผัก ปลาราดพริก เป็ดพะโล้ ลอดช่องกะทิมา ค่าอาหารประมาณ 1000 ต้นๆ
วันเผานี้เราต้องไปซื้อของชำร่วยสำหรับแจก ไปดูที่พาหุรัด พยายามเดินหาหลายๆ ร้านหน่อย
มีทั้งพวกไฟฉาย พัด ยาหม่อง ปากกา พิมเสนน้ำ มีบริการพิมพ์ชื่อ ร้านแรกที่เราไป ยาหม่องขวดละ 15 บาท
เป็นแพ็คๆ พิมพ์ชื่อละ 1 บาท เราเดินมาอีกร้านนึง ยาหม่องขวดละ 12 บาท พิมพ์ชื่อฟรี เลยเอาร้านที่ 2
นึกว่าจะติดชื่อให้ แต่ต้องเอามาตัดเองติดเองที่บ้าน แต่ไม่เป็นไร แป๊บเดียวก็ทำเสร็จ ซื้อมา 100 ชุด
แจกไปแค่ 24 ชุดมั้ง เหลือเยอะแยะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เราเลือกที่จะเผารูปไปด้วยค่ะ เพราะรูปที่ไปทำมาที่ร้าน
มันดูหลอกตามาก เป็นรูปแม่เอามาตัดต่อใส่ชุดสูท ในราคา 500 บาท กรอบอีก 150 บาท เผาไปเลยไม่เสียดาย
เพราะเราอยากเก็บแต่ภาพที่เค้ายังดีๆ ไว้ค่ะ
วันที่ 18 เม.ย.60 ไปรับกระดูกทำบังสกุล แล้วนำไปลอยที่ท่าน้ำวัดปริวาส จ้างเรือออกไปราคา 500 บาท
เราเลือกที่จะลอยกระดูกไปหมดเลย ถ้าต้องทำพิธีแบบคนจีน ตั้งหิ้งเชิญดวงวิญญาณเข้าบ้านมันจะยุ่งยากมาก
เพราะว่าเราอยู่บ้านเช่า เค้าไม่ให้ตั้งหิ้งหรือทำพิธีอะไรทั้งสิ้น ถ้าเป็นคอนโดเวลาเสียชีวิตยังไม่สามารถนำออกทางประตูปกติ
ต้องออกบันไดหนีไฟ อันนี้สัปเหร่อเล่ามา
รวมค่าใช้จ่าย 5 วันจนถึงวันลอยอังคารใช้เงินไป 60,000 บาท ไม่ได้มากมายจนถึงกับล้มละลาย
ค่าโรงพยาบาล 2000
ค่าโลง 5500
ค่าดอกไม้ 5000
ค่าวัดประมาณ 15000
ค่าใส่ซองให้พระกับเจ้าหน้าที่วัดทุกวันซองละ 200
ซื้อน้ำ น้ำแข็ง อาหารเลี้ยง ราคานับไม่ถูก
ทุกวันต้องซื้อข้าวไปไหว้พระวันละ 2 เวลา เช้า บ่าย วันละประมาณ 100 กว่าๆ
ค่าบ้านกระดาษและข้าวของเครื่องใช้ 7000
นอกนั้นเสียค่าอะไรไม่รู้นับไม่ถูก
มาแชร์เรื่องงานศพค่ะ เพราะถึงเวลามันจะจวนตัวมาก ถ้าหาอาหารเลี้ยงไม่ได้จริงๆ ให้สอบถามเจ้าหน้าที่วัดค่ะให้เค้าช่วย
เค้าจะมีวิธี เค้าแนะนำให้เราไปซื้อเบเกอรี่เซเว่นมาเลี้ยงด้วยซ้ำ เพราะเค้าทำงานตรงนี้มานาน รู้ทุกอย่างมากกว่าพวกเราๆ
แล้วหลังจากงานศพเราจะได้ไม่ต้องล้มละลายค่ะ
อาการก่อนเสียชีวิต และการจัดการงานศพ
การรักษาช่วงแรกที่รู้ก็คีโม 12 ครั้ง หลังจากนั้นก็มีการฉายแสงมาเรื่อย 1 ปีก่อนหน้าตรวจพบมะเร็งที่สมองจากการ CT Scan
เนื่องจากไม่มีคิวทำ MRI จึงต้องฉายแสงที่สมองไปก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ MRI ปรากฎว่าหลังจากฉายแสงกลับมา แม่ไม่สามารถพูดได้
พวกเราคิดกันว่าเป็นอาการข้างเคียงจากการฉายแสง แต่หลังจากเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังพูดไม่ได้ ไม่ได้ไปหาหมอทันที เป็นวันศุกร์
ไปหาหมออีกทีวันจันทร์ ให้เข้าห้องฉุกเฉินแอทมิด ปรากฎเป็นลิ่มเลือดสมอง ให้ยาละลายลิ่มเลือด แต่อะไรก็ไม่ดีขึ้น
หลังจากกลับบ้านอาการทรุดลงเรื่อยๆ จนพิการซีกขวา ตอนปีใหม่แม่ฝืนเดินเอง หกล้มหัวฟาดพื้น หลังจากนั้นก็เดินไม่ได้อีกเลย
เรื่องที่แย่และเป็นเรื่องใหญ่อีกหนึ่งเรื่องคือกินอาหารไม่ได้ และพวกเราไม่เข้าใจ คิดว่าทำไมดื้อ ทำไมไม่กิน แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการของโรค
ก่อนเสียชีวิต
สังเกตุว่าฉี่บ่อยขึ้น ทั้งๆที่ไม่ได้กินน้ำเยอะ ต้องใส่กระโถนให้ทุกชั่วโมง จนสุดท้ายฉี่ไม่ออกอีกเลย ก็พาไปโรงพยาบาลใส่ท่อ
และไม่เคยถอดอีก ไม่สามารถฉี่เองได้อีกแล้ว
หลังจากใส่ท่อปัสสาวะ 1 เดือน อยู่ดีๆ ก็หายใจเหนื่อย หอบ เรียกรถฉุกเฉินมาไปโรงพยาบาล และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่ออกจากบ้าน
และไม่ได้กลับมา หมอบอกว่ามีน้ำในปอด เราคิดว่าเจาะออกก็คงจะหาย
วันที่ 10 เม.ย.60 เรายังทำงาน เพราะคิดว่าแม่คงเข้าโรงพยาบาลเหมือนทุกที เดี๋ยวก็ออกมา แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจ จนหมอบอกว่า
อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน เราจึงรีบลางานมาดูแม่ พอเจอแม่ยังคงมีสติอยู่แต่ร้องโอ๊ยๆ ตลอด บอกว่าเจ็บ อวัยวะภายในกำลังไปทีละส่วน
คงจะเจ็บมาก ให้มอร์ฟีนตลอดเวลา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าเริ่มเป็นสีม่วง ตรวจชีพจรทางนิ้วมือไม่เจอ
หายใจเป็นเฮือกๆ
วันที่ 11 เม.ย.60 หมอและนางพยาบาลยังแปลกใจว่าทำไมแม่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เหมือนรออะไรบางอย่าง พอดีกับน้องสาวของแม่
ไปต่างประเทศ มีญาติอยู่ที่นั่น ไม่สามารถกลับมาดูใจได้ทัน เราจึงคอลไลน์ไปให้แม่ได้คุยกันครั้งสุดท้าย แต่แม่ก็คุยไม่ได้แล้ว
ตามองเห็นรึเปล่าไม่รู้แต่หูได้ยินแน่นอน ทางนั้นเค้าก็สวดมนต์ให้ฟัง แม่มีน้ำตาไหล เราคอลกันอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง
หลังจากนั้นเราก็สวดมนต์ให้แม่ฟัง บอกว่าไม่ต้องห่วงทางนี้ เราอยู่ได้ ไปไหว้พระไหว้เจ้านะ นึกถึงเจ้าแม่กวนอิม นึกถึงพระไว้นะ
ก่อนเราจะกลับนางพยาบาลได้บอกว่าอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้นะ เราตกใจ พ่อเราก็ตกใจ มีความเชื่อที่ว่า ถ้าเป็นคนจีนเขาจะไม่เสียชีวิต
ก่อนเที่ยงคืน เพราะเชื่อว่าคนตายจะเอาไปหมด (หมายถึงทรัพย์สมบัติ) ถ้าเสียหลังเที่ยงคืนคือจะเหลือให้ลูกหลานใช้
เวลาเสียที่ดีที่สุดคือก่อนเช้า เรากลับบ้านกันไปเตรียมตัว ยังคิดอยู่ว่านางพยาบาลอาจจะมั่วก็ได้ แม่เราอาจจะอยู่พ้นสงกรานต์
วันที่ 12 เม.ย.60 เวลา 01.45 น. ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าแม่เสียชีวิตแล้ว เมื่อเวลา 01.30 น.
พวกเรา พ่อ อา เรา รีบนั่งรถไปโรงพยาบาล ไปถึงก็ให้นางพยาบาลอาบน้ำศพ ใส่ชุดขาวที่เตรียมไว้
ตัดไว้ตั้งแต่ก่อนเสียค่ะ แม่เป็นคนเลือกผ้าและเลือกช่างตัดเอง เสื้อผ้าที่ใส่ตอนตายนี้แนะนำให้ตัดเผื่อหลวมไว้ค่ะ
ถ้าเข้าโรงพยาบาลมีให้น้ำเกลือตัวจะบวม อาจต้องใส่แพมเพิร์สด้วย ทำให้กางเกงคับ เพราะตอนเสียจะมีน้ำไหลออกมา
โชคดีว่าตอนที่ตัดชุดแม่ยังอ้วน ตอนหลังค่อยผอมเหลือ 37 โลเอง
พอบวมน้ำเกลือก็เลยใส่ได้ ใส่วิกและแต่งหน้า เซ็นยินยอมให้ฉีดศพ
เช้าวันที่ 12 เม.ย.60 มาที่โรงพยาบาล จัดการเรื่องใบมรณะบัตรให้เรียบร้อย เพราะไม่อย่างนั้นจะติดวันหยุดราชการ
แล้วจะเอาไปทำพิธีไม่ได้ มีโลงของโรงพยาบาลให้เลือก มีตั้งแต่แบบประหยัดราคา 3000 โลงเรียบๆ ไม่มีลาย
มีลายแบบงานทั่วไป ราคาประมาณ 5000-6000 แบบหลายๆ ชั้น 8000 บาทขึ้นไป เราเลือกแบบ 5500 ค่ะ
เลือกกลางๆ ไว้เพราะยังไงก็ต้องเผาอยู่ดี ก่อนที่จะปิดโลงเอาเตี๊ยบ ไปเอามาจากวัดพระพุทธบาท
เป็นใบนำส่งให้แม่ไปโลกทางโน้น แม่ไปปั๊มหัวมาแล้ว ทำนองว่าจะได้ไปทางโน้นได้สะดวกมั้ง เราคิดเอาเอง
ไม่ถูกขออภัย พอไปถึงวัดจะมีให้เลือกดอกไม้ มีแบบให้เลือก เราเลือกในราคา 5000 มีประมาณ 5 ช่อมั้ง
ช่อใหญ่ๆ ตอนหลังญาติมาบอกว่าแพง ถ้าไปปากคลองสามารถหาได้ในราคา 3000 แต่ก็คงลำบากค่ารถ
อาหารเลี้ยงวันแรก เนื่องจากรีบๆ จึงโทรไปหาปั้นลี่ เค้าบอกว่าไม่มีของ เราเลยโทรไปพรมารีสั่งชุดละ 40 บาท 25 กล่อง
ตอนเย็นปรากฎว่ามีคนมาแค่ 10 กว่าคน อาหารเหลือเพียบ วันรุ่งขึ้นยังเครียดอยู่ว่าจะเลี้ยงยังไง สงกรานต์คนคงไม่มา
วันที่ 13 เม.ย.60 ญาตินำเล้งมาติดตั้ง เล้งคือแผ่นป้ายที่เอามาตั้งในงานเหมือนเวลาจะทำพิธีกงเต๊ก แต่เราไม่ได้ทำกงเต๊กค่ะ
เอามาตั้งให้ฟรีๆ ถ้าต้องไปจ้างเค้าราคาก็แพงค่ะ เห็นว่าเป็นแสนๆ วันนี้เลี้ยงข้าวต้มกระดูกหมูราคา 50 คน 3000 บาท
วัดเอาไปครึ่งนึง แม่ครัวครึ่งนึง เหลือบานเลยค่ะ มากันสิบคนเหมือนเดิม จากคำแนะนำของผู้หลักผู้ใหญ่ มีหลายพิธีที่ต้องทำ
ไปซื้อผลไม้มา 5 อย่างมาไหว้ ในชื่อผลไม้ห้ามมีคำว่ามาในภาษาจีน เช่น สาลี อาหารเจ 5 อย่าง ซื้อดอกซ่อนกลิ่นมาปัก
แจกันที่มากับเล้ง
วันที่ 14 เม.ย.60 วันนี้ก็หนักใจเรื่องอาหารเลี้ยง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะมีคนมากี่คน คนรู้จักแม่ก็เยอะ
เลยเลี้ยงเกี๊ยวน้ำ ราคา 2000 บาท แต่เอาจริงๆ มีมากันแค่ 5 คน มั้ง เกี๊ยวยังเหลือไม่เยอะมาก หลังจากแจกคนแถวนั้นไปหมดแล้ว
วันที่ 15 เม.ย.60 วันนี้ซื้อซาลาเปามาเลี้ยง ผู้ใหญ่มาเห็นก็บอกว่าไม่ควรซื้อซาลาเปามา เพราะมันเป็นคำว่าเปา คนเอาเปากลับบ้าน
เหมือนเค้าเอาเงินของเรากลับบ้านไปหมด
วันที่ 16 เม.ย.60 มีคนเอาบ้านกระดาษมาส่ง ใหญ่อลังการมาก จากตอนแรกคิดว่าจะซื้อเอาหลังละไม่เกิน 500 กลายเป็นว่า
บ้านหลังเล็กในกระดาษเงินกระดาษทองเข้าไปไม่ได้ ต้องมีคนใช้ มีโต๊ะ มีเตียง เครื่องบิน รถ และอื่นๆ เยอะมาก
หมดกับค่ากระดาษไป 7000 วันนี้ญาติจัดการเรื่องเลี้ยงอาหาร เลยไม่ยุ่งมาก
วันที่ 17 เม.ย.60 เลี้ยงพระตอนเช้า ถ้าต้องจ้างแม่ครัวตกไม่ต่ำกว่า 5000 บาท สำหรับพระ 5 องค์
ญาติอีก 1 วง สัปเหร่อบอกว่าคุณไม่ต้องไปจ้างหรอก วัดเอาไปครึ่งนึง แพง แล้วพระก็ไม่ชอบฉันด้วย
พระชอบฉันอะไรแบบง่ายๆ ไปซื้อส้มตำไก่ย่างมาก็ได้ พ่อเราก็เลยซื้อกับข้าวเอาเองในตลาดตอนเช้า
ได้พวก น้ำพริกปลาทู ไข่เจียว ผัดผัก ปลาราดพริก เป็ดพะโล้ ลอดช่องกะทิมา ค่าอาหารประมาณ 1000 ต้นๆ
วันเผานี้เราต้องไปซื้อของชำร่วยสำหรับแจก ไปดูที่พาหุรัด พยายามเดินหาหลายๆ ร้านหน่อย
มีทั้งพวกไฟฉาย พัด ยาหม่อง ปากกา พิมเสนน้ำ มีบริการพิมพ์ชื่อ ร้านแรกที่เราไป ยาหม่องขวดละ 15 บาท
เป็นแพ็คๆ พิมพ์ชื่อละ 1 บาท เราเดินมาอีกร้านนึง ยาหม่องขวดละ 12 บาท พิมพ์ชื่อฟรี เลยเอาร้านที่ 2
นึกว่าจะติดชื่อให้ แต่ต้องเอามาตัดเองติดเองที่บ้าน แต่ไม่เป็นไร แป๊บเดียวก็ทำเสร็จ ซื้อมา 100 ชุด
แจกไปแค่ 24 ชุดมั้ง เหลือเยอะแยะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เราเลือกที่จะเผารูปไปด้วยค่ะ เพราะรูปที่ไปทำมาที่ร้าน
มันดูหลอกตามาก เป็นรูปแม่เอามาตัดต่อใส่ชุดสูท ในราคา 500 บาท กรอบอีก 150 บาท เผาไปเลยไม่เสียดาย
เพราะเราอยากเก็บแต่ภาพที่เค้ายังดีๆ ไว้ค่ะ
วันที่ 18 เม.ย.60 ไปรับกระดูกทำบังสกุล แล้วนำไปลอยที่ท่าน้ำวัดปริวาส จ้างเรือออกไปราคา 500 บาท
เราเลือกที่จะลอยกระดูกไปหมดเลย ถ้าต้องทำพิธีแบบคนจีน ตั้งหิ้งเชิญดวงวิญญาณเข้าบ้านมันจะยุ่งยากมาก
เพราะว่าเราอยู่บ้านเช่า เค้าไม่ให้ตั้งหิ้งหรือทำพิธีอะไรทั้งสิ้น ถ้าเป็นคอนโดเวลาเสียชีวิตยังไม่สามารถนำออกทางประตูปกติ
ต้องออกบันไดหนีไฟ อันนี้สัปเหร่อเล่ามา
รวมค่าใช้จ่าย 5 วันจนถึงวันลอยอังคารใช้เงินไป 60,000 บาท ไม่ได้มากมายจนถึงกับล้มละลาย
ค่าโรงพยาบาล 2000
ค่าโลง 5500
ค่าดอกไม้ 5000
ค่าวัดประมาณ 15000
ค่าใส่ซองให้พระกับเจ้าหน้าที่วัดทุกวันซองละ 200
ซื้อน้ำ น้ำแข็ง อาหารเลี้ยง ราคานับไม่ถูก
ทุกวันต้องซื้อข้าวไปไหว้พระวันละ 2 เวลา เช้า บ่าย วันละประมาณ 100 กว่าๆ
ค่าบ้านกระดาษและข้าวของเครื่องใช้ 7000
นอกนั้นเสียค่าอะไรไม่รู้นับไม่ถูก
มาแชร์เรื่องงานศพค่ะ เพราะถึงเวลามันจะจวนตัวมาก ถ้าหาอาหารเลี้ยงไม่ได้จริงๆ ให้สอบถามเจ้าหน้าที่วัดค่ะให้เค้าช่วย
เค้าจะมีวิธี เค้าแนะนำให้เราไปซื้อเบเกอรี่เซเว่นมาเลี้ยงด้วยซ้ำ เพราะเค้าทำงานตรงนี้มานาน รู้ทุกอย่างมากกว่าพวกเราๆ
แล้วหลังจากงานศพเราจะได้ไม่ต้องล้มละลายค่ะ