คำถามที่ว่านิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตาถือเป็นคำถามที่สุดจะคลาสสิค
ของพวกนักปริยัติงูพิษ (ศึกษาพระธรรมคำสอนเพื่อเอาไว้จับผิด) ที่ชอบนำมาถามเพื่อดิสเครดิตวัดแห่งหนึ่ง
และคิดว่าคงจะมีพวกแบบนี้เข้ามาถามอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนให้คำตอบไปแล้วก็ตามที
เรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรือ อนัตตาถือเป็นเรื่องที่เหลือวิสัยของคนธรรมดาที่จะรู้จะเห็นได้
เป็นภูมิความรู้ของพระอริยะบุคคล ซึ่งเรื่องในทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยพุทธกาล
สมัยหนึ่ง พระราชกุมารชยเสนะ เข้าไปถามปัญหาธรรมกับพระสมณุทเทสอจิรวตะว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วพึงสำเร็จเอกัคคตาแห่งจิตได้จริงหรือ?
อจิรวตะตอบว่า ดูก่อนพระราชกุมาร อาตมภาพจะพึงแสดงธรรมตามที่ได้สดับ
ตามที่ได้ศึกษามาแก่พระองค์ ถ้าพระองค์ทรงทราบอรรถแห่งภาษิตของอาตมภาพได้นั่นเป็นความดี
แต่ถ้าไม่ทรงทราบ ขอพระองค์พึงดำรงอยู่ในภาวะของพระองค์ตามที่ควรเถิด อย่าได้ซักถามอาตมภาพในธรรมนั้นให้ยิ่งขึ้นไปเลย
ลำดับนั้นแล สมณุทเทสอจิรวตะได้แสดงธรรมตามที่ได้สดับตามที่ได้ศึกษามาแก่พระราชกุมารชยเสนะ
เมื่อสมณุทเทสอจิรวตะกล่าวแล้วอย่างนั้น พระราชกุมารชยเสนะได้ตรัสกะสมณุทเทสอจิรวตะดังนี้ว่า
ข้าแต่ท่านอัคคิเวสสนะผู้เจริญ ข้อที่ภิกษุไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว
พึงสำเร็จเอกัคคตาแห่งจิต นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ไม่เป็นความจริงเลย แล้วก็ลุกจากไป
วันต่อมาท่านสมณุทเทสอจิรวตะ ได้กราบทูลเรื่องราวเท่าที่ได้สนทนากับพระราชกุมารชยเสนะทั้งหมดนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ พระราชกุมาร จะพึงได้ความข้อนั้นในภาษิตของเธอนี้แต่ที่ไหน ข้อที่ความข้อนั้นเขารู้
เขาเห็น เขาบรรลุ เขาทำให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ แต่พระราชกุมารชยเสนะ
ยังอยู่ท่ามกลางกาม ยังบริโภคกาม ถูกกามวิตกกิน ถูกความเร่าร้อนเพราะกามเผา ยังขวนขวายในการแสวงหากาม
จักทรงรู้ หรือจักทรงเห็น หรือจักทรงทำให้แจ้งความข้อนั้นได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
เปรียบเหมือนภูเขาใหญ่ไม่ห่างไกลบ้านหรือนิคม สหาย ๒ คนออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้ว
จูงมือกันเข้าไปยังที่ตั้งภูเขา ครั้นแล้วสหายคนหนึ่ง ยืนที่เชิงภูเขาเบื้องล่าง อีกคนหนึ่งขึ้นไปข้างบนภูเขา
สหายที่ยืนตรงเชิงภูเขาข้างล่าง เอ่ยถามสหายผู้ยืนบนภูเขานั้นอย่างนี้ว่า
แน่ะเพื่อน เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขานั้น เพื่อนเห็นอะไร สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์
สหายข้างล่างกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อน ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย สหายที่ยืนบนภูเขา
จึงลงมายังเชิงเขาข้างล่างแล้วจูงแขนสหายคนนั้นให้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น ให้สบายใจครู่หนึ่งแล้ว
เอ่ยถามสหายนั้นว่า แน่ะเพื่อน เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเพื่อนเห็นอะไร สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย เรายืนบนภูเขาแล้วแลเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์
สหายคนขึ้นไปก่อนกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อนเราเพิ่งรู้คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขา แล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์ นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย เดี๋ยวนี้เอง และสหายคนขึ้นไปทีหลังก็พูดว่า
เราก็เพิ่งรู้คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อน เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้
ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์ เดี๋ยวนี้เหมือนกัน สหายคนขึ้นไปก่อนจึงพูดอย่างนี้ว่า
สหายเอ๋ย ความเป็นจริง เราถูกภูเขาใหญ่ลูกนี้กั้นไว้ จึงไม่แลเห็นสิ่งที่ควรเห็น นี้ ฉันใด
ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล พระราชกุมารชยเสนะถูกกองอวิชชาใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาลูกนั้นกั้นไว้
บังไว้ ปิดไว้ คลุมไว้แล้ว พระราชกุมารชยเสนะนั้นแลยังอยู่ท่ามกลางกาม ยังบริโภคกาม ถูกกามวิตกกิน
ถูกความเร่าร้อนเพราะกามเผา ยังขวนขวายในการแสวงหากามจักทรงรู้ หรือทรงเห็น
หรือทรงทำให้แจ้งซึ่งความข้อที่เขารู้ เขาเห็น เขาบรรลุ เขาทำให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
จากพระสูตรนี้ทำให้ทราบว่า เรื่องที่พวกนักปริยัติงูพิษนำมาถาม ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงแล้วผู้ปฏิบัติย่อมเห็นตรงกัน จัดเป็นภาวนามยปัญญา (ความรู้แจ้งที่เกิดจากการภาวนา) แต่เมื่อต่างคนต่างพยายามพิสูจน์หลักคำสอนด้วยการใช้ตรรกศาสตร์ซึ่งจัดเป็นจินตามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการคิด) ทำให้มีความคิดแตกต่างหลากหลาย ผลร้ายที่จะตามมาก็คือ เกิดการทะเลาะกันเอง ถงเถียงกันเอง จนในที่สุดก็นำไปสู่การแตกตัวเป็นนิกายต่างๆ
ทันตภูมิสูตร เล่ม 23 หน้า 84
ทำไมคนบางกลุ่มถึงพากันตั้งคำถามนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา
ของพวกนักปริยัติงูพิษ (ศึกษาพระธรรมคำสอนเพื่อเอาไว้จับผิด) ที่ชอบนำมาถามเพื่อดิสเครดิตวัดแห่งหนึ่ง
และคิดว่าคงจะมีพวกแบบนี้เข้ามาถามอยู่เรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนให้คำตอบไปแล้วก็ตามที
เรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรือ อนัตตาถือเป็นเรื่องที่เหลือวิสัยของคนธรรมดาที่จะรู้จะเห็นได้
เป็นภูมิความรู้ของพระอริยะบุคคล ซึ่งเรื่องในทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยพุทธกาล
สมัยหนึ่ง พระราชกุมารชยเสนะ เข้าไปถามปัญหาธรรมกับพระสมณุทเทสอจิรวตะว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วพึงสำเร็จเอกัคคตาแห่งจิตได้จริงหรือ?
อจิรวตะตอบว่า ดูก่อนพระราชกุมาร อาตมภาพจะพึงแสดงธรรมตามที่ได้สดับ
ตามที่ได้ศึกษามาแก่พระองค์ ถ้าพระองค์ทรงทราบอรรถแห่งภาษิตของอาตมภาพได้นั่นเป็นความดี
แต่ถ้าไม่ทรงทราบ ขอพระองค์พึงดำรงอยู่ในภาวะของพระองค์ตามที่ควรเถิด อย่าได้ซักถามอาตมภาพในธรรมนั้นให้ยิ่งขึ้นไปเลย
ลำดับนั้นแล สมณุทเทสอจิรวตะได้แสดงธรรมตามที่ได้สดับตามที่ได้ศึกษามาแก่พระราชกุมารชยเสนะ
เมื่อสมณุทเทสอจิรวตะกล่าวแล้วอย่างนั้น พระราชกุมารชยเสนะได้ตรัสกะสมณุทเทสอจิรวตะดังนี้ว่า
ข้าแต่ท่านอัคคิเวสสนะผู้เจริญ ข้อที่ภิกษุไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว
พึงสำเร็จเอกัคคตาแห่งจิต นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ไม่เป็นความจริงเลย แล้วก็ลุกจากไป
วันต่อมาท่านสมณุทเทสอจิรวตะ ได้กราบทูลเรื่องราวเท่าที่ได้สนทนากับพระราชกุมารชยเสนะทั้งหมดนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ พระราชกุมาร จะพึงได้ความข้อนั้นในภาษิตของเธอนี้แต่ที่ไหน ข้อที่ความข้อนั้นเขารู้
เขาเห็น เขาบรรลุ เขาทำให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ แต่พระราชกุมารชยเสนะ
ยังอยู่ท่ามกลางกาม ยังบริโภคกาม ถูกกามวิตกกิน ถูกความเร่าร้อนเพราะกามเผา ยังขวนขวายในการแสวงหากาม
จักทรงรู้ หรือจักทรงเห็น หรือจักทรงทำให้แจ้งความข้อนั้นได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
เปรียบเหมือนภูเขาใหญ่ไม่ห่างไกลบ้านหรือนิคม สหาย ๒ คนออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้ว
จูงมือกันเข้าไปยังที่ตั้งภูเขา ครั้นแล้วสหายคนหนึ่ง ยืนที่เชิงภูเขาเบื้องล่าง อีกคนหนึ่งขึ้นไปข้างบนภูเขา
สหายที่ยืนตรงเชิงภูเขาข้างล่าง เอ่ยถามสหายผู้ยืนบนภูเขานั้นอย่างนี้ว่า
แน่ะเพื่อน เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขานั้น เพื่อนเห็นอะไร สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์
สหายข้างล่างกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อน ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย สหายที่ยืนบนภูเขา
จึงลงมายังเชิงเขาข้างล่างแล้วจูงแขนสหายคนนั้นให้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น ให้สบายใจครู่หนึ่งแล้ว
เอ่ยถามสหายนั้นว่า แน่ะเพื่อน เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเพื่อนเห็นอะไร สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย เรายืนบนภูเขาแล้วแลเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์
สหายคนขึ้นไปก่อนกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อนเราเพิ่งรู้คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
เพื่อนเอ๋ย ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขา แล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค
และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์ นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย เดี๋ยวนี้เอง และสหายคนขึ้นไปทีหลังก็พูดว่า
เราก็เพิ่งรู้คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อน เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้
ภูมิภาคและสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมณ์ เดี๋ยวนี้เหมือนกัน สหายคนขึ้นไปก่อนจึงพูดอย่างนี้ว่า
สหายเอ๋ย ความเป็นจริง เราถูกภูเขาใหญ่ลูกนี้กั้นไว้ จึงไม่แลเห็นสิ่งที่ควรเห็น นี้ ฉันใด
ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ฉันนั้นเหมือนกันแล พระราชกุมารชยเสนะถูกกองอวิชชาใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาลูกนั้นกั้นไว้
บังไว้ ปิดไว้ คลุมไว้แล้ว พระราชกุมารชยเสนะนั้นแลยังอยู่ท่ามกลางกาม ยังบริโภคกาม ถูกกามวิตกกิน
ถูกความเร่าร้อนเพราะกามเผา ยังขวนขวายในการแสวงหากามจักทรงรู้ หรือทรงเห็น
หรือทรงทำให้แจ้งซึ่งความข้อที่เขารู้ เขาเห็น เขาบรรลุ เขาทำให้แจ้งกันได้ด้วยเนกขัมมะ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
จากพระสูตรนี้ทำให้ทราบว่า เรื่องที่พวกนักปริยัติงูพิษนำมาถาม ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติจนเข้าถึงแล้วผู้ปฏิบัติย่อมเห็นตรงกัน จัดเป็นภาวนามยปัญญา (ความรู้แจ้งที่เกิดจากการภาวนา) แต่เมื่อต่างคนต่างพยายามพิสูจน์หลักคำสอนด้วยการใช้ตรรกศาสตร์ซึ่งจัดเป็นจินตามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการคิด) ทำให้มีความคิดแตกต่างหลากหลาย ผลร้ายที่จะตามมาก็คือ เกิดการทะเลาะกันเอง ถงเถียงกันเอง จนในที่สุดก็นำไปสู่การแตกตัวเป็นนิกายต่างๆ
ทันตภูมิสูตร เล่ม 23 หน้า 84