ถ้านายกยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งได้เกือบ 1 ปี ก็เริ่มเปิดการเจรจากับพรรค ปชป.
ให้พรรค ปชป. ได้ขึ้นมาทำงานเป็นรัฐบาลใน 2 ปีหลัง และตกลง
ไม่ก่อม็อบใส่กัน
พอเจรจาได้ข้อสรุปก็ประกาศ
"ข้อตกลงปรองดอง"
เพื่อความสมานฉันท์ 2 พรรคใหญ่จะผลัดกันทำหน้าที่รัฐบาลพรรคละ 2 ปี
โดยที่
พรรค พท. ยังคุมเสียงข้างมากในสภา
แต่มีข้อตกลงกันว่าจะปล่อยให้พรรค ปชป. ทำงานรัฐบาลไป
ส่วนพรรค ปชป. ก็จะไม่ขวางพรรค พท. เรื่องการเดินหน้ากฎหมายไป
สุดซอย
จากปีนั้นมา
ป่านนี้คงมีเลือกตั้งตามปกติรอบ 2 ไปแล้ว
และคงมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 ไปเรียบร้อย
และจะช้าจะเร็ว ถ้า
พรรค พท. ได้มีเวลาผลักดันกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
การเริ่มปรับแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับและการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายม็อบก็คงสำเร็จไปแล้ว
ส่วนนายกทักษิณก็คงฟินกับระบบยุติธรรมมาตรฐานสากล
และ
ประชาชนก็จะได้ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้โดยตรงแบบ รธน. 2540
พรรค พท. จะได้โอกาสผลักดันกฎหมายอย่างต่อเนื่องได้ยังไง?
สมมุติพอพรรค พท. ได้เป็นรัฐบาล 2 ปีแรก แล้วพรรค ปชป. ขึ้นมาเป็นรัฐบาล 2 ปีหลัง
ช่วง 2 ปีหลังนี้ พรรค พท. ก็ยังมีเสียงข้างมากในสภา ส.ส.
นั่นหมายความว่า พรรค พท.
มีเวลาผลักดันกฎหมายต่ออีก 2 ปี จากเดิมที่จะมีม็อบออกมาล้มรัฐบาล
โดยระหว่าง 2 ปีหลังที่ พรรค ปชป. ได้เป็นรัฐบาล
พรรค ปชป. ก็จะไม่นำมวลชนเข้ามาก่อม็อบให้เป็นภาระในการทำงานของรัฐบาล ปชป. เอง
พรรค ปชป. ได้มีโอกาสทำงานรับใช้ประชาชนในฐานะฝ่ายบริหาร (ได้เป็นรัฐบาลสมดังใจ)
พรรค พท. ได้เวลาผลักดันกฏหมายถึง 4 ปี (อยากจะลุยไปสุดซอยไหนก็จะได้ลุยไปได้สุดๆเลย)
ประชาชนได้บ้านเมืองที่สงบสุข เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องโดยไม่มีม็อบมาทำให้สะดุด
พอครบ 4 ปี สมมุติถ้าพรรค พท. ชนะเลือกตั้งอีกรอบ
ก็หมายความว่า พรรค พท. มีเวลาผลักดันกฏหมายต่ออีก 4 ปี รวมเป็น 8 ปี
ส่วนพรรค ปชป. ก็ได้เป็นรัฐบาลอีก 2 ปี
เมื่อมีการผลักดันกฎหมายต่อเนื่องกันถึง 8 ปี โครงสร้างระบบที่เป็นสองมาตรฐานก็จะค่อยๆถูกปรับแก้ไปในที่สุด
เป็น win-win ของทุกฝ่ายในฝั่งที่มาจากการเลือกตั้ง
ประชาชนก็จะไม่เบื่อพรรค พท. มากนัก เพราะมีพรรค ปชป. มาสลับเป็นรัฐบาลคั่นเวลาเป็นช่วงๆ
แถมไม่มีพรรคใดผูกขาดการเป็นรัฐบาลนานเกินไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แน่นอนว่าการทำให้ 2 พรรคใหญ่สลับกันเป็นรัฐบาล
แปลว่าจะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการโหวตนายกรัฐมนตรีออกด้วยเสียงกึ่งหนึ่ง
รวมถึงไม่มีการยุบสภาก่อนหมดวาระ 4 ปี
ซึ่งถ้าเขียนรัฐธรรมนูญได้ใหม่ ก็อาจจะใช้โมเดลโหวตหัวหน้ารัฐบาลออก(Impeachment)ด้วยเสียง ส.ว. 2 ใน 3 แบบโมเดลของอเมริกา
แล้วถ้าหัวหน้ารัฐบาลลาออก หรือ ถูก ส.ว. โหวตออกด้วยเสียง 2 ใน 3 ของวุฒิสภา ก็ให้พรรคเสนอคนอื่นมาเป็นแทนในช่วงเวลาที่เหลือในวาระ
การเจรจาที่ประสบผลสำเร็จ จำเป็นต้องบรรลุข้อตกลงที่
win-win คู่เจรจาได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
อันเกิดจากการดำเนิน
"กลยุทธ์" และ
"การประสานผลประโยชน์" ที่ลงตัว
ระบบประชาธิปไตยจะยั่งยืนนาน....
ก็ต้องสร้างเงื่อนไข
win-win ของทุกพรรคที่เป็นผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง
ที่ล้วนมาด้วย 1 เสียงเท่าเทียมกันของประชาชน!
.....ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ของพรรค ปชป. หรือ พท. หรือ พรรคขนาดกลางและเล็ก ก็ล้วนมาจากเสียงของประชาชน!
....ต้องให้ทุกพรรคได้เข้ามามีโอกาสเป็นรัฐบาล มีอำนาจสั่งการหน่วยงานไปแก้ปัญหาให้ประชาชนที่เลือกเขาเข้ามา!
ม็อบมีเส้น = มวลชน + พรรค ปชป. + คนมีเส้น
ถ้าจะ "สลายม็อบมีเส้น" ก็ต้อง
วางหมากเปลี่ยนเกมให้
มวลชน + พรรค ปชป.กลับมาสู่ระบบเลือกตั้ง
ให้มาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วยกัน เพื่อให้
"คนมีเส้น"สูญเสียแรงสนับสนุนจากมวลชนและพรรค ปชป. ไป
ให้กลายมาเป็น...
"ฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง" v.s. "คนมีเส้น"
แทนที่จะเป็น...
"ม็อบไม่มีเส้น" v.s. "ม็อบมีเส้น"
แบบที่เป็นมาตลอดกว่า 10 ปี ของทศวรรษแห่งความสูญเสีย
The Lost Decade of Thailand
เวลามีความคิดนอกกรอบ ที่อยากจะ
"คิดใหม่ ทำใหม่" เสนอออกมา
ไอเดียนั้นมักจะฟังดู...
"ไม่น่าจะเป็นไปได้"
สมมุติย้อนกลับไปช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 แล้วมีคนมาเสนอว่า...
"...รัฐบาลต้องจัดให้มีบริการ 30 บาท รักษาทุกโรค ให้กับประชาชนคนไทยทุกคน..."
คนฟังรอบแรกก็จะเริ่มไม่เชื่อว่า "มันจะเป็นไปได้ยังไง? เงินแค่ 30 บาทเนี่ยนะ จะมารักษาทุกโรค"
คนเสนอมองอะไรโลกสวยเกินไป ฟังดูยังกับความคิดเด็กประถม กฎหมายก็ไม่เปิดช่องให้ทำได้นะ
...แม้ไอเดียจะฟังดูเข้าท่า แต่ปัจจัยต่างๆอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คนเสนอคิด..
ยิ่งถ้านึกถึงปฏิกิริยาต่อต้านจากแพทย์และพยาบาลที่ไม่เห็นด้วยแล้ว
...มันต้องไม่มีทางเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้แน่ๆ...!
...จากประวัติศาสตร์ก็ทำให้รู้ว่าไอเดีย
"โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ที่
ฟังดูเว่อร์เกินจริงนี้...สามารถเกิดขึ้นได้จริง!
The winners see a solution for every problem; The losers see a problem for every solution.
รู้ไหม... ถ้ายิ่งลักษณ์ฉลาดกว่านี้ ป่านนี้ทักษิณไปถึงสุดซอยเรียบร้อยละ
ให้พรรค ปชป. ได้ขึ้นมาทำงานเป็นรัฐบาลใน 2 ปีหลัง และตกลงไม่ก่อม็อบใส่กัน
พอเจรจาได้ข้อสรุปก็ประกาศ "ข้อตกลงปรองดอง"
เพื่อความสมานฉันท์ 2 พรรคใหญ่จะผลัดกันทำหน้าที่รัฐบาลพรรคละ 2 ปี
โดยที่พรรค พท. ยังคุมเสียงข้างมากในสภา
แต่มีข้อตกลงกันว่าจะปล่อยให้พรรค ปชป. ทำงานรัฐบาลไป
ส่วนพรรค ปชป. ก็จะไม่ขวางพรรค พท. เรื่องการเดินหน้ากฎหมายไปสุดซอย
จากปีนั้นมา ป่านนี้คงมีเลือกตั้งตามปกติรอบ 2 ไปแล้ว
และคงมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 ไปเรียบร้อย
และจะช้าจะเร็ว ถ้าพรรค พท. ได้มีเวลาผลักดันกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
การเริ่มปรับแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับและการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายม็อบก็คงสำเร็จไปแล้ว
ส่วนนายกทักษิณก็คงฟินกับระบบยุติธรรมมาตรฐานสากล
และประชาชนก็จะได้ร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ประชาชนมีส่วนร่วมได้โดยตรงแบบ รธน. 2540
พรรค พท. จะได้โอกาสผลักดันกฎหมายอย่างต่อเนื่องได้ยังไง?
สมมุติพอพรรค พท. ได้เป็นรัฐบาล 2 ปีแรก แล้วพรรค ปชป. ขึ้นมาเป็นรัฐบาล 2 ปีหลัง
ช่วง 2 ปีหลังนี้ พรรค พท. ก็ยังมีเสียงข้างมากในสภา ส.ส.
นั่นหมายความว่า พรรค พท. มีเวลาผลักดันกฎหมายต่ออีก 2 ปี จากเดิมที่จะมีม็อบออกมาล้มรัฐบาล
โดยระหว่าง 2 ปีหลังที่ พรรค ปชป. ได้เป็นรัฐบาล
พรรค ปชป. ก็จะไม่นำมวลชนเข้ามาก่อม็อบให้เป็นภาระในการทำงานของรัฐบาล ปชป. เอง
พรรค ปชป. ได้มีโอกาสทำงานรับใช้ประชาชนในฐานะฝ่ายบริหาร (ได้เป็นรัฐบาลสมดังใจ)
พรรค พท. ได้เวลาผลักดันกฏหมายถึง 4 ปี (อยากจะลุยไปสุดซอยไหนก็จะได้ลุยไปได้สุดๆเลย)
ประชาชนได้บ้านเมืองที่สงบสุข เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องโดยไม่มีม็อบมาทำให้สะดุด
พอครบ 4 ปี สมมุติถ้าพรรค พท. ชนะเลือกตั้งอีกรอบ
ก็หมายความว่า พรรค พท. มีเวลาผลักดันกฏหมายต่ออีก 4 ปี รวมเป็น 8 ปี
ส่วนพรรค ปชป. ก็ได้เป็นรัฐบาลอีก 2 ปี
เมื่อมีการผลักดันกฎหมายต่อเนื่องกันถึง 8 ปี โครงสร้างระบบที่เป็นสองมาตรฐานก็จะค่อยๆถูกปรับแก้ไปในที่สุด
เป็น win-win ของทุกฝ่ายในฝั่งที่มาจากการเลือกตั้ง
ประชาชนก็จะไม่เบื่อพรรค พท. มากนัก เพราะมีพรรค ปชป. มาสลับเป็นรัฐบาลคั่นเวลาเป็นช่วงๆ
แถมไม่มีพรรคใดผูกขาดการเป็นรัฐบาลนานเกินไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเจรจาที่ประสบผลสำเร็จ จำเป็นต้องบรรลุข้อตกลงที่ win-win คู่เจรจาได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
อันเกิดจากการดำเนิน "กลยุทธ์" และ "การประสานผลประโยชน์" ที่ลงตัว
ระบบประชาธิปไตยจะยั่งยืนนาน....
ก็ต้องสร้างเงื่อนไข win-win ของทุกพรรคที่เป็นผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง
ที่ล้วนมาด้วย 1 เสียงเท่าเทียมกันของประชาชน!
.....ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ของพรรค ปชป. หรือ พท. หรือ พรรคขนาดกลางและเล็ก ก็ล้วนมาจากเสียงของประชาชน!
....ต้องให้ทุกพรรคได้เข้ามามีโอกาสเป็นรัฐบาล มีอำนาจสั่งการหน่วยงานไปแก้ปัญหาให้ประชาชนที่เลือกเขาเข้ามา!
ม็อบมีเส้น = มวลชน + พรรค ปชป. + คนมีเส้น
ถ้าจะ "สลายม็อบมีเส้น" ก็ต้องวางหมากเปลี่ยนเกมให้มวลชน + พรรค ปชป.กลับมาสู่ระบบเลือกตั้ง ให้มาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งด้วยกัน เพื่อให้"คนมีเส้น"สูญเสียแรงสนับสนุนจากมวลชนและพรรค ปชป. ไป
ให้กลายมาเป็น...
"ฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้ง" v.s. "คนมีเส้น"
แทนที่จะเป็น...
"ม็อบไม่มีเส้น" v.s. "ม็อบมีเส้น"
แบบที่เป็นมาตลอดกว่า 10 ปี ของทศวรรษแห่งความสูญเสีย
The Lost Decade of Thailand
เวลามีความคิดนอกกรอบ ที่อยากจะ "คิดใหม่ ทำใหม่" เสนอออกมา
ไอเดียนั้นมักจะฟังดู... "ไม่น่าจะเป็นไปได้"
สมมุติย้อนกลับไปช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 แล้วมีคนมาเสนอว่า...
"...รัฐบาลต้องจัดให้มีบริการ 30 บาท รักษาทุกโรค ให้กับประชาชนคนไทยทุกคน..."
คนฟังรอบแรกก็จะเริ่มไม่เชื่อว่า "มันจะเป็นไปได้ยังไง? เงินแค่ 30 บาทเนี่ยนะ จะมารักษาทุกโรค"
คนเสนอมองอะไรโลกสวยเกินไป ฟังดูยังกับความคิดเด็กประถม กฎหมายก็ไม่เปิดช่องให้ทำได้นะ
...แม้ไอเดียจะฟังดูเข้าท่า แต่ปัจจัยต่างๆอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คนเสนอคิด..
ยิ่งถ้านึกถึงปฏิกิริยาต่อต้านจากแพทย์และพยาบาลที่ไม่เห็นด้วยแล้ว ...มันต้องไม่มีทางเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้แน่ๆ...!
...จากประวัติศาสตร์ก็ทำให้รู้ว่าไอเดีย "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" ที่ฟังดูเว่อร์เกินจริงนี้...สามารถเกิดขึ้นได้จริง!
The winners see a solution for every problem; The losers see a problem for every solution.