คนเราเกิดมากจากไหน เกิดมาเพื่อสิ่งใด และเมื่อตาย ตายแล้วไปไหน ยังคงเป็นคำถามวนเวียนอยู่ภายใต้จิตใจของมนุษย์ แม้กระทั่งกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจสามารถพิสูจน์ถึงหลักสัจธรรมเหล่านี้ได้ อะไรสิ่งใดเล่าที่จะสามารถบ่งบอกถึงแหล่งที่มาของเหตุผลเหล่านี้ เพื่อไขความคับข้องใจของมนุษย์โลกทั้งปวง
หลายๆท่านอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ดวงญาน จิตญาน หรือ ดวงธรรมญาน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงๆมีตัวตนอยู่จริง แต่ในทางพระพุทธศาสนา หรือ ในทางความเชื่อ ได้กล่าวไว้ว่า”ดวงญาน จิตญาน หรือดวงธรรมญาน นั้น คือจิตอันบริสุทธิ์ไร้ซึ่งกิเลสใดๆทั้งปวง” และจิตที่ขาวสะอาดไร้ซึ่งกิเลส ซึ่งตรงกับคำที่ว่า “นิพพาน” หรือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
คนเรานั้นจะเกิดมาได้ต้องอาศัยธรรมชาติและจิตญาน ร่างกายนั้นเกิดมาจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติซึ่งอาศัยธาตุทั้ง4นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งตรงกับความเชื่อของคนโบราณที่ว่า กายอวัยวะต่างๆเกิดจากธาตุดิน เลือดเกิดจากธาตุน้ำ ลมหายใจเกิดจากธาตุลม และอุณภูมิภายในร่างกายเกิดจากธาตุไฟ ผสมผสานกับกาลเวลาหลายล้านปีก่อกำเนิดเป็นร่างกาย แต่ร่างกายนั้นจะมีความรู้สึกนึกคิดรับรู้ผิดชอบชั่วดีได้นั้นต้องอาศัย จิตญานอันบริสุทธิ์
ร่างกายเกิดความรู้สึกนึกคิดนั้นต้องอาศัยดวงญานเข้ามาผสมผสาน เพราะดวงญาน ตามความเชื่อทางพระพุทธศานานั้น คือความบริสุทธิ์ผ่องใสไร้ซึ้งกิเลส ผสมผสานกับร่างอันไร้ญานให้เกิดจิตญานในร่างมนุษย์ หรือความรู้สึกนึกคิดผิดชอบชั่วดีโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พิสูจน์ได้ เมื่อคนเรากระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งภายหลังการกระทำผิด หรือเมื่อได้รับบทลงโทษจะเกิดจิตสำนึกในความผิด นั่นเพราะจิตญานเดิมเราเคยบริสุทธิ์ เมื่อมีกิเลสหรือสิ่งใดมากระทำให้ขุ่นมัว ภายในจิตของเราก็จะเกิดการสำนึกถึงจิตอันบริสุทธิ์แต่เดิม
และยังคงเป็นคำถามต่ออีกว่าแล้วมนุษย์เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด เมื่อจิตญานอันบริสุทธิ์มาอยู่รวมในร่างกายของเราแล้ว เมื่อคนเราเกิดมาตัวเปล่าพร้อมกับจิตญานอันบริสุทธิ์ บนโลกมนุษย์ที่มากไปด้วยบททดสอบมากมาย ยิ่งนานนับวันยิ่งเกิดกิเลสภายในใจมนุษย์จิตใจต่ำช้า ก่อกรรมทำเข็ญกันขึ้นเรื่อย แต่เมื่อร่างกายดับสลายลง จากดวงญานที่ขาวใสสะอาดกลายเป็นดวงญานที่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสทั้งปวง
เมื่อดวงญานเกิดกิเลสแต่มนุษย์กลับขวนขวายหาหนทางหลุดพ้นจากกิเลส แต่มนุษย์ก็ยังดำรงชีวิตภายใต้กิเลสทั้งปวงเมื่อร่างดับสลายลง จากดวงญานที่ขาวสะอาด กลายเป็น ญาณที่มากไปด้วยกิเลส เมื่อจิตญานเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายลงไปภายใต้กิเลสญาน จะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ ซึ่งคนเราเรียกว่า “วิญญาณ”ไปหาที่เกิดเพื่อขัดเกลาวิญญาณ ให้ขาวใสสะอาดให้กลายเป็นดวงญานหรือดวงธรรมญาน ไม่ว่าจะเกิดเป็นเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็เวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตนกระทำผิด ซึ่งตรงกลับคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
เมื่อคนเราดับสลาย ก็จะเหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณ นั่นก็คือ จากเริ่มแรกร่างกายเราเกิดจากธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ผสมผสานกับดวงญานที่ผ่องใสบริสุทธิ เมื่อความสมดุลของธรรมชาติดับสลายลง ร่างกับดวงญานก็จะแยกออกจากกัน แต่สิ่งที่ยังมิดับสลายนั่นก็คือดวงวิญญาณที่ยังคงอยู่ ดวงวิญญาณ ก็ยังคงวนเวียนอยู่หรือไปชดใช้กรรมในนรก ตามความเชื่อคนโบราณ
แต่เมื่อดวงวิญญาณกลับมาวนเวียนเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เมื่อกระทำตัวไม่ลุ่มหลงภายใต้กิเลส จากจิตญานที่ขุ่นมัวก็จะถูกขัดเกลาจากดวงวิญญานกลายเป็นดวงธรรมญานที่ขาวใสสะอาดดั่งเดิมเมื่อดับสูญไป ร่างกับดวงธรรมญานก็จะแยกออกจากกันดั่งเดิมแต่ เมื่อดวงญานของเราขาวใสสะอาดดั่งเดิม ดวงญานของเราก็ไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมได้อีก เพราะดวงญานจากที่ขุ่นมัวถูกขัดเกลาจนขาวบริสุทธิ์ ดวงญานนั้นก็สูญสลายไปหรือที่ตามหลักพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า คือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงหรือเรียกว่า การเข้าสู่นิพพานนั่นเอง
ดังนั้นมนุษย์เกิดมาจากความสมดุลของธรรมชาติเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตนกระทำ เหตุผลที่คนเราต้องทุกข์กับสิ่งๆต่าง ไม่ว่าจะเป็น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง ร่างเราเกิดมาจากธรรมชาติเมื่อดับสลายลงก็คืนสู่ธรรม เช่นเดียวกับดวงธรรมญาน เมื่อประพฤติตนภายใต้กิเลสก็จะเวียนตายเกิดไม่รู้จักสิ้น แต่เมื่อละทิ้งจากกิเลสทั้งปวง ดวงญานก็กลับคืนสู่ในที่ๆเคยจากมาเช่นกันทุกอย่างในโลกล้วนเป็นวัฏจักรไม่รู้จักจบจักสิ้นจนกว่าธรรมชาติจะดับสลายลง ดังคำสอนพระพุทธองค์ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
หนึ่งขีดเบิกฟ้า...ชะตาของเรา
หลายๆท่านอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ดวงญาน จิตญาน หรือ ดวงธรรมญาน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริงๆมีตัวตนอยู่จริง แต่ในทางพระพุทธศาสนา หรือ ในทางความเชื่อ ได้กล่าวไว้ว่า”ดวงญาน จิตญาน หรือดวงธรรมญาน นั้น คือจิตอันบริสุทธิ์ไร้ซึ่งกิเลสใดๆทั้งปวง” และจิตที่ขาวสะอาดไร้ซึ่งกิเลส ซึ่งตรงกับคำที่ว่า “นิพพาน” หรือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
คนเรานั้นจะเกิดมาได้ต้องอาศัยธรรมชาติและจิตญาน ร่างกายนั้นเกิดมาจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติซึ่งอาศัยธาตุทั้ง4นั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งตรงกับความเชื่อของคนโบราณที่ว่า กายอวัยวะต่างๆเกิดจากธาตุดิน เลือดเกิดจากธาตุน้ำ ลมหายใจเกิดจากธาตุลม และอุณภูมิภายในร่างกายเกิดจากธาตุไฟ ผสมผสานกับกาลเวลาหลายล้านปีก่อกำเนิดเป็นร่างกาย แต่ร่างกายนั้นจะมีความรู้สึกนึกคิดรับรู้ผิดชอบชั่วดีได้นั้นต้องอาศัย จิตญานอันบริสุทธิ์
ร่างกายเกิดความรู้สึกนึกคิดนั้นต้องอาศัยดวงญานเข้ามาผสมผสาน เพราะดวงญาน ตามความเชื่อทางพระพุทธศานานั้น คือความบริสุทธิ์ผ่องใสไร้ซึ้งกิเลส ผสมผสานกับร่างอันไร้ญานให้เกิดจิตญานในร่างมนุษย์ หรือความรู้สึกนึกคิดผิดชอบชั่วดีโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พิสูจน์ได้ เมื่อคนเรากระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งภายหลังการกระทำผิด หรือเมื่อได้รับบทลงโทษจะเกิดจิตสำนึกในความผิด นั่นเพราะจิตญานเดิมเราเคยบริสุทธิ์ เมื่อมีกิเลสหรือสิ่งใดมากระทำให้ขุ่นมัว ภายในจิตของเราก็จะเกิดการสำนึกถึงจิตอันบริสุทธิ์แต่เดิม
และยังคงเป็นคำถามต่ออีกว่าแล้วมนุษย์เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด เมื่อจิตญานอันบริสุทธิ์มาอยู่รวมในร่างกายของเราแล้ว เมื่อคนเราเกิดมาตัวเปล่าพร้อมกับจิตญานอันบริสุทธิ์ บนโลกมนุษย์ที่มากไปด้วยบททดสอบมากมาย ยิ่งนานนับวันยิ่งเกิดกิเลสภายในใจมนุษย์จิตใจต่ำช้า ก่อกรรมทำเข็ญกันขึ้นเรื่อย แต่เมื่อร่างกายดับสลายลง จากดวงญานที่ขาวใสสะอาดกลายเป็นดวงญานที่ขุ่นมัวไปด้วยกิเลสทั้งปวง
เมื่อดวงญานเกิดกิเลสแต่มนุษย์กลับขวนขวายหาหนทางหลุดพ้นจากกิเลส แต่มนุษย์ก็ยังดำรงชีวิตภายใต้กิเลสทั้งปวงเมื่อร่างดับสลายลง จากดวงญานที่ขาวสะอาด กลายเป็น ญาณที่มากไปด้วยกิเลส เมื่อจิตญานเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายลงไปภายใต้กิเลสญาน จะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่ ซึ่งคนเราเรียกว่า “วิญญาณ”ไปหาที่เกิดเพื่อขัดเกลาวิญญาณ ให้ขาวใสสะอาดให้กลายเป็นดวงญานหรือดวงธรรมญาน ไม่ว่าจะเกิดเป็นเป็นมนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็เวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตนกระทำผิด ซึ่งตรงกลับคำที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
เมื่อคนเราดับสลาย ก็จะเหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณ นั่นก็คือ จากเริ่มแรกร่างกายเราเกิดจากธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ผสมผสานกับดวงญานที่ผ่องใสบริสุทธิ เมื่อความสมดุลของธรรมชาติดับสลายลง ร่างกับดวงญานก็จะแยกออกจากกัน แต่สิ่งที่ยังมิดับสลายนั่นก็คือดวงวิญญาณที่ยังคงอยู่ ดวงวิญญาณ ก็ยังคงวนเวียนอยู่หรือไปชดใช้กรรมในนรก ตามความเชื่อคนโบราณ
แต่เมื่อดวงวิญญาณกลับมาวนเวียนเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เมื่อกระทำตัวไม่ลุ่มหลงภายใต้กิเลส จากจิตญานที่ขุ่นมัวก็จะถูกขัดเกลาจากดวงวิญญานกลายเป็นดวงธรรมญานที่ขาวใสสะอาดดั่งเดิมเมื่อดับสูญไป ร่างกับดวงธรรมญานก็จะแยกออกจากกันดั่งเดิมแต่ เมื่อดวงญานของเราขาวใสสะอาดดั่งเดิม ดวงญานของเราก็ไม่สามารถกลับไปเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมได้อีก เพราะดวงญานจากที่ขุ่นมัวถูกขัดเกลาจนขาวบริสุทธิ์ ดวงญานนั้นก็สูญสลายไปหรือที่ตามหลักพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า คือการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงหรือเรียกว่า การเข้าสู่นิพพานนั่นเอง
ดังนั้นมนุษย์เกิดมาจากความสมดุลของธรรมชาติเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตนกระทำ เหตุผลที่คนเราต้องทุกข์กับสิ่งๆต่าง ไม่ว่าจะเป็น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ หรือความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง ร่างเราเกิดมาจากธรรมชาติเมื่อดับสลายลงก็คืนสู่ธรรม เช่นเดียวกับดวงธรรมญาน เมื่อประพฤติตนภายใต้กิเลสก็จะเวียนตายเกิดไม่รู้จักสิ้น แต่เมื่อละทิ้งจากกิเลสทั้งปวง ดวงญานก็กลับคืนสู่ในที่ๆเคยจากมาเช่นกันทุกอย่างในโลกล้วนเป็นวัฏจักรไม่รู้จักจบจักสิ้นจนกว่าธรรมชาติจะดับสลายลง ดังคำสอนพระพุทธองค์ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว