สวัสดีคะ ที่สมัครกระทู้นี้เข้ามาก็อยากให้ผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายเข้ามาให้ความคิดเห็น ข้อกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ที่ครอบครัวของเราโดนเอาเปรียบ แถมยังไม่พอทนายที่เราจ้างเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลก็ยังหลอกกินเงินเราไปด้วย ซึ่งคดีของเรา เราเชื่อว่าครอบครัวที่เค้าไม่มีความรู้ด้านที่ดินก็คงตกเป็นเหยื่อไอ้พวกนี้มาเยอะ บางคนจนไม่มีเงินจ้างทนายก็ต้องปล่อยเป็นของพวกที่โกง ไปอย่างน่าเสียดาย เริ่มต้นมายาวมากแล้วคะ เราขอเล่าประสบการณ์โดยตรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา เผื่อจะได้เป็นอุทธาหรณ์สำหรับหลายๆคนนะคะ
สมัย 40 กว่าปีที่ผ่านมา ตาของเราได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง จากนาย ก เนื่องจากที่แปลงนี้มันติดกับที่ของตาเรา ซึ่งเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน เมื่อซื้อขายจ่ายเงินเสร็จ ตาเราเองก็เข้าครอบครอง และยุบรวมกับที่ของตนเอง โดยการล้อมรั้วลวดหนาม ซึ่งคนสมัยก่อน เวลาซื้อขายที่ทาง ก็แค่จ่ายเงินแค่นั่นไม่ได้ทำเป็นสัญญาตกลงอะไรกัน ซึ่งเรามองว่า เมื่อ40 กว่าปีก่อน คนมันไม่โกงกันอยู่แล้วและที่ดินก็ไม่ได้มีค่าอะไร ซึ่งเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันที่ราคาที่ดิน แพงยิ่งกว่าทอง การไม่ได้ทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมากับครอบครัวเรา เนื่องจาก นาย ก กับ ตาของเราได้เสียไปแล้ว แต่ลูกหลานของนาย ก ได้อ้างกรรมสิทธิ์ ว่าเป็นที่ของเค้า เพราะตอนที่ ก่อนที่รัฐบาลจะออกโฉนดที่ดินให้ ที่ดินตรงนี้ คือ นส 3 ซึ่งชื่อเป็นของนาย ก เมื่อรัฐบาลมีการแปลงที่นส 3 ให้เป็นโฉนด แก่ชาวบ้าน โดยการรังวัดจากภาพถ่ายทางอากาศ แทนที่จะเข้าไปรังวัดในพื้นที่ ทำให้แม่เราไม่รู้เลยว่า โฉนดเป็นชื่อลูก นาย ก ซึ่งคนที่รู้ว่าที่มีถูกแบ่ง คือ ตาเรา นาย ก และ ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือ แต่ผู้ใหญ่บ้าน ที่ยังมีชีวิต ส่วนตาของเรา กับนาย ก ตายไปนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางแม่ของเราได้พยายามจะขอโฉนดคืนจากลูก ของนาย ก ลูกของนาย ก ก็เบียงประเด็นตลอด ซึ่งทางเราก็พึ่งรู้มาว่าที่ลูกนาย ก ไม่อยากให้โฉนดแก่ทางเรา เพราะมันได้ขายให้แก พี่สาวของมันไปแล้ว แบบเงียบๆโดยไม่บอกทางเราเลย ซึ่งวันที่เจ้าหน้าที่จากกรมที่ดินมารังวัด พื้นที่ข้างเคียงซึ่งมันติดกับที่เรา ทางฝ่ายมันหลอกให้แม่เราว่า ถ้าเซ็นรับรองพื้นที่ข้างเคียง ก็จะเอาโฉนดมาคืนให้ ซึ่งแม่เราด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด ซื่อ ไม่ได้คิดอะไรเลย และอยากเปลี่ยนชื่อโฉนดแผ่นนั่นมาเป็นของครอบครัวเรา เลยเซ็นลงไป ซึ่งหารู้ไม่ว่ามันเป็นผลดีกับฝ่ายตรงข้าม จากนั่นอีก 4-5 ปีต่อมา ฝ่ายตรงข้ามมันทวงพื้นที่ที่ตาเราซื้อมา มันอ้างว่าโฉนดเป็นชื่อมัน แล้วแม่เราก็ไปเซ็นรับรองเป็นพื้นที่ข้างเคียงด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ว่าจ้างทนายในท้องถิ่นเพราะคิดว่า ค่าใช้จ่ายคงไม่สูงมากเท่ากับทนายใน กทม ซึ่งตอนแรกตามสัญญาจ้างคือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแบบเหมาจ่าย ซึ่งทางเราได้จ่ายก้อนแรก ไป 15,000 แล้วเมื่อคดีจบ ต้องจ่ายอีก 15,000 ซึ่ง ที่คุยกันทนายบอกว่า ดคีเราเข้าข่ายครอบครองปรปัก เพราะทางครอบครัวเราทำกินมาเกิน 10 ปี แต่แล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไป ทนายกลับมาบอกว่า เนื่องจาก แม่เราไปเซ็นรับรองพื้นที่ข้างเคียง ฉะนั่น เรื่องครอบรองปรปักษ์ ก็ตกไป แล้วเค้าก็มีความเห็นว่า ในกรณี ควรจะฟ้องในแง่งของการออกโฉนดโดยมิชอบ เนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่กรมที่ดินไม่ได้มารังวัด แต่ใช้ภาพถ่ายทางอากาศแทน ซึ่งทำให้คนที่เป้นเจ้าของที่ทำมาหากินตรงที่นั่นไม่ทราบมาก่อน และคิดว่าเป็นของตนเอง ประเด็นนี้ ทำให้ ทนายที่เราว่าจ้าง ขอเงินเพิ่มอีก 20,000
จากเรื่องราวข้างต้นที่คอรบครัวเราประสบมา อยากขอคำแนะนำจากผู้ที่รู้กฎหมายว่าเราควรทำยังไงดี ตอนนี้ สำหรับเราแล้ว เราคิกว่า ทนายเรามันคงจะทำพฤติกรรมแบบนี้ ขอเงินกินเป็นช่วงๆ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับดราเลย และไม่รู้มันจะอ้างขอเงินอีกเท่าไร ใครมีคำแนะนำ เรื่อง กฎหมายที่ดินที่มีลักษณะแบบนี้บ้างคะ ช่วยแนะนำด้วยคะ เราโดนโกงจาก ลูกหลานนาย ก แล้ว ยังจะมา โดนทนายหลอก-อีก ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับคนที่ไม่รู้กฎหมายเลย อยากให้คนที่มีความรู้ช่วยแนะนำ เผื่อจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ขอบคุณคะ
กฎหมายที่ดิน
สมัย 40 กว่าปีที่ผ่านมา ตาของเราได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง จากนาย ก เนื่องจากที่แปลงนี้มันติดกับที่ของตาเรา ซึ่งเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน เมื่อซื้อขายจ่ายเงินเสร็จ ตาเราเองก็เข้าครอบครอง และยุบรวมกับที่ของตนเอง โดยการล้อมรั้วลวดหนาม ซึ่งคนสมัยก่อน เวลาซื้อขายที่ทาง ก็แค่จ่ายเงินแค่นั่นไม่ได้ทำเป็นสัญญาตกลงอะไรกัน ซึ่งเรามองว่า เมื่อ40 กว่าปีก่อน คนมันไม่โกงกันอยู่แล้วและที่ดินก็ไม่ได้มีค่าอะไร ซึ่งเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบันที่ราคาที่ดิน แพงยิ่งกว่าทอง การไม่ได้ทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมากับครอบครัวเรา เนื่องจาก นาย ก กับ ตาของเราได้เสียไปแล้ว แต่ลูกหลานของนาย ก ได้อ้างกรรมสิทธิ์ ว่าเป็นที่ของเค้า เพราะตอนที่ ก่อนที่รัฐบาลจะออกโฉนดที่ดินให้ ที่ดินตรงนี้ คือ นส 3 ซึ่งชื่อเป็นของนาย ก เมื่อรัฐบาลมีการแปลงที่นส 3 ให้เป็นโฉนด แก่ชาวบ้าน โดยการรังวัดจากภาพถ่ายทางอากาศ แทนที่จะเข้าไปรังวัดในพื้นที่ ทำให้แม่เราไม่รู้เลยว่า โฉนดเป็นชื่อลูก นาย ก ซึ่งคนที่รู้ว่าที่มีถูกแบ่ง คือ ตาเรา นาย ก และ ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือ แต่ผู้ใหญ่บ้าน ที่ยังมีชีวิต ส่วนตาของเรา กับนาย ก ตายไปนานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางแม่ของเราได้พยายามจะขอโฉนดคืนจากลูก ของนาย ก ลูกของนาย ก ก็เบียงประเด็นตลอด ซึ่งทางเราก็พึ่งรู้มาว่าที่ลูกนาย ก ไม่อยากให้โฉนดแก่ทางเรา เพราะมันได้ขายให้แก พี่สาวของมันไปแล้ว แบบเงียบๆโดยไม่บอกทางเราเลย ซึ่งวันที่เจ้าหน้าที่จากกรมที่ดินมารังวัด พื้นที่ข้างเคียงซึ่งมันติดกับที่เรา ทางฝ่ายมันหลอกให้แม่เราว่า ถ้าเซ็นรับรองพื้นที่ข้างเคียง ก็จะเอาโฉนดมาคืนให้ ซึ่งแม่เราด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด ซื่อ ไม่ได้คิดอะไรเลย และอยากเปลี่ยนชื่อโฉนดแผ่นนั่นมาเป็นของครอบครัวเรา เลยเซ็นลงไป ซึ่งหารู้ไม่ว่ามันเป็นผลดีกับฝ่ายตรงข้าม จากนั่นอีก 4-5 ปีต่อมา ฝ่ายตรงข้ามมันทวงพื้นที่ที่ตาเราซื้อมา มันอ้างว่าโฉนดเป็นชื่อมัน แล้วแม่เราก็ไปเซ็นรับรองเป็นพื้นที่ข้างเคียงด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ว่าจ้างทนายในท้องถิ่นเพราะคิดว่า ค่าใช้จ่ายคงไม่สูงมากเท่ากับทนายใน กทม ซึ่งตอนแรกตามสัญญาจ้างคือ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแบบเหมาจ่าย ซึ่งทางเราได้จ่ายก้อนแรก ไป 15,000 แล้วเมื่อคดีจบ ต้องจ่ายอีก 15,000 ซึ่ง ที่คุยกันทนายบอกว่า ดคีเราเข้าข่ายครอบครองปรปัก เพราะทางครอบครัวเราทำกินมาเกิน 10 ปี แต่แล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไป ทนายกลับมาบอกว่า เนื่องจาก แม่เราไปเซ็นรับรองพื้นที่ข้างเคียง ฉะนั่น เรื่องครอบรองปรปักษ์ ก็ตกไป แล้วเค้าก็มีความเห็นว่า ในกรณี ควรจะฟ้องในแง่งของการออกโฉนดโดยมิชอบ เนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่กรมที่ดินไม่ได้มารังวัด แต่ใช้ภาพถ่ายทางอากาศแทน ซึ่งทำให้คนที่เป้นเจ้าของที่ทำมาหากินตรงที่นั่นไม่ทราบมาก่อน และคิดว่าเป็นของตนเอง ประเด็นนี้ ทำให้ ทนายที่เราว่าจ้าง ขอเงินเพิ่มอีก 20,000
จากเรื่องราวข้างต้นที่คอรบครัวเราประสบมา อยากขอคำแนะนำจากผู้ที่รู้กฎหมายว่าเราควรทำยังไงดี ตอนนี้ สำหรับเราแล้ว เราคิกว่า ทนายเรามันคงจะทำพฤติกรรมแบบนี้ ขอเงินกินเป็นช่วงๆ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับดราเลย และไม่รู้มันจะอ้างขอเงินอีกเท่าไร ใครมีคำแนะนำ เรื่อง กฎหมายที่ดินที่มีลักษณะแบบนี้บ้างคะ ช่วยแนะนำด้วยคะ เราโดนโกงจาก ลูกหลานนาย ก แล้ว ยังจะมา โดนทนายหลอก-อีก ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับคนที่ไม่รู้กฎหมายเลย อยากให้คนที่มีความรู้ช่วยแนะนำ เผื่อจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ ขอบคุณคะ