ลูกอายุ 19 ปี แต่บวกเลขไม่ได้!!

กระทู้นี้ ขอเป็นกระทู้สำหรับแม่ๆ หรือพ่อๆ นะคะ อยากขอคำปรึกษาว่าเราควรทำยังไงดี?
                ลูกสาวเราอายุ 19 ปี ตอนนี้เรียนอยู่ ปี 2 การเรียนอยู่ในระดับที่ถือว่า ไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งอะไร และเป็นเด็กปกติ ไม่มีโรคเกี่ยวกับสมอง หรือไอคิวต่ำ (เคยพาไปเช็คมา)
                เมื่อวานเราได้ให้ลูกลองหัดทำแบบทดสอบการใช้งานโปรแกรม Excel คำนวนหาผลลัพท์ง่ายๆ เช่น การ Sum ผลรวม เช่น
ไม้บรรทัด 9 ชิ้น ราคาชิ้นละ 10 บาท ลูกเราก็ทำแบบทดสอบโดยใช้โปรแกรม Excel แต่ไม่ได้หาผลลัพท์ โดยการใช้สูตรนำมาคูณ แต่ไปใช้วิธีการบวกแทน เราเลยบอกลูกว่า "ข้อนี้ใช้สูตรผิดนะ ลองให้คิดตามหลักความเป็นจริง ถ้าเราซื้อไม้บรรทัด 9 ชิ้น ราคาชิ้นละ 10 บาท หนูต้องจ่ายเงินเท่าไร?" ลูกเราก็ยังตอบว่า 19 บาท เราย้ำไปอีกที ให้ลองคิดดีๆ เค้าก็ยังตอบว่า 19 บาท ตอนนั้นเราก็คิดแค่ว่า ลูกเราคงมึนๆ งงๆ คงไม่ได้เป็นอะไร
                 และวันนี้ เราได้ปริ้นตารางให้ลูกเราเอาตัวเลขมาบวกกัน ลูกเราบวกไม่ได้เลย เช่น 12,000+5,000+2,500 เค้าทดเลขในกระดาษ คิดคำตอบนี้นานมากกก คำตอบที่ได้คือผิด เราเลยถามไปว่า "สมมุติ! ไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายข้าวมันไก่ ลูกค้าเรียกคิดเงิน กินข้าวมันไก่ไป 3 จานๆ ละ 35 บาท คิดเป็นเงินเท่าไร และจ่ายแบงค์พันไป ต้องทอนเงินเท่าไร?" เชื่อไหมค่ะ เค้าตอบไม่ได้ เค้าใช้เวลาคิดไป 5 นาที เค้าก็นังตอบเราไม่ได้ และมีอีกหลายๆ เรื่องที่เราได้ทดสอบไป แต่ขอลงประเด็นไว้เท่านี้ก่อน
                 คิดว่าเราควรทำยังไงดีค่ะ ลูกเรามีปัญหาไหม หรือต้องพบแพทย์ ช่วยแนะนำทีค่ะ ตอนนี้เรามืดแปดด้านจริงๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและรับฟังนะคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 137
ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ไม่ได้เข้ามาตอบคอมเม้นหลายๆ คนที่ถาม หรือแนะแนวทางกันเข้ามา ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆ คนด้วยที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาให้นะคะ วันนี้จะขอพิมพ์ยาวหน่อย อยากจะเล่าเรื่องราวของลูกเราให้ฟัง
        ลูกเรา อายุ 19 ปี เรียน ปวส. ปี2 สาขาการตลาด ที่วิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. ตั้งแต่ที่เค้าเริ่มเข้าเรียน ม.1 จนถึง ม.6 เค้ามีปัญหาด้านการเรียนมาตลอด วัดได้จากเกรดที่ออกมา และติด 0 คุณครูที่โรงเรียนมีแจ้งมาตลอด ว่าลูกเราไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบนั่งเหม่อลอย ถามว่าเรามีการตามแก้ไขปัญหาตรงนี้ไหม ตามตลอดเลยค่ะ เรากับสามีไม่เคยนิ่งนอนใจเรื่องนี้เลย แต่สุดท้าย มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเค้า ว่าเค้าจะทำหรือไม่ทำ บางครั้งเค้าไม่ทำ เราก็ต้องบังคับให้ทำ เช่น การไปแก้ซ่อม ตามงานต่างๆ ที่ไม่ได้ส่ง เรามีปรึกษากับครูที่ปรึกษาและเพื่อนสนิทเค้าตลอด แต่เราก็ทำได้เท่าที่เราทำได้ จะบังคับหมดซะทุกอย่างมันก็เป็นไปไม่ได้ มันจะเหมือนว่าเราไปกักเค้าซะทุกอย่าง จนมาถึงตอนจะจบ ม.6 ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เรากับสามีไม่ช่วยตามงานของลูก ปล่อยให้เค้าตามงานเอง เพราะเรากับสามีก็ไม่ไหวแล้ว อันนี้พ่อๆ แม่ๆ น่าจะรู้กันนะคะ ว่ารู้สึกกันยังไง จนในที่สุด เค้าก็สามารถตามงานเอง และแก้เกรดได้ จนจบ ม. 6 ค่ะ โดยที่เรากับสามีไม่ได้ช่วยอะไรเลย (ที่ผ่านมาเรายอมรับนะคะ ว่าเรากับสามีเองที่ผิด ผิดที่ดูแลเค้าไม่ดีพอ และผิดที่ไปช่วยงานเค้า เราคิดกันแต่ว่าอยากให้ลูกผ่านและเลื่อนชั้นให้ได้ อันนี้ไม่ตอกย้ำนะคะ เราขอสำนึกเอง)
       หลังจากเรียนจบแล้ว เรากับสามีได้ถามความคิดเห็นลูก ว่าอยากเข้าเรียนมหาลัยหรือเรียน ปวส. แต่ในความคิดเราคือ ลูกเราเหมาะกับเรียน ปวส. มากกว่า เพราะกลัวจะเรียนไม่ไหว และอาจหยุดเรียนกลางคันได้ เราก็เลยแนะนำว่า ไปเรียน ปวส. ก่อนไหม แล้วถ้าจบอยากเรียนต่อ ก็ค่อยไปเรียนต่อ ป.ตรี อีกทีนึง อย่างน้อยลูกก็ได้วุฒิมาแล้ว 1 ใบ ลูกเราก็เห็นดีด้วย และเค้าก็ได้ให้คำสัญญากับเราว่า เค้าจะไม่เกเร และไม่ดื้ออีกแล้ว แต่นั้น มันก็ยังไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันอะไรได้ ว่าเค้าจะตั้งใจจริงๆ จากนั้นเราก็พาเค้าไปสมัครเรียนที่วิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ใน กทม. (ไม่ต้องสอบแค่สมัครก็เรียนได้) ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ไป-กลับเองได้สะดวก ทางอาจารย์ที่แนะแนวการศึกษา ก็ได้ให้คำแนะนำกับลูกเราให้เรียนการตลาด น่าจะเหมาะกับลูกเราที่สุด เมื่อถึงวันที่ต้องไปเรียน ลูกเราก็ดูจะมีความกระตื้อรื้อร้นสูงที่อยากจะไป มีการตามงานทุกวิชา และไม่เคยขาดเรียน หรือโดดเรียนอะไร (ตอนนั้นเราก็ยังดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ตลอด) เรากับสามีก็คอยถามวันนี้เป็นไง เรียนเป็นยังไงบ้างลูก มีการบ้านไหม เค้าตอบว่ามีค่ะแม่ แต่ส่งในคาบแล้ว ตอนนั้นเราดีใจมากกก... เออออ ลูกเราเป็นผู้เป็นคนกับเค้าแล้วเว้ย ^ ^ ชีวิตก็ดูจะแฮปปี้ดีขึ้น เกรดเฉลี่ยออกมาก็ดีขึ้นกว่าตอนมัธยม แต่...พอเราถามว่า คะแนนสอบปลายภาคได้คะแนนเท่าไรแต่ละวิชา พอฟังแล้วเราอังค่ะ แต่ละวิชาคะแนนไม่หนีกันเลย เฉลี่ยแล้ว 4-7 คะแนน เต็ม 20 คะแนน เราถามว่า ทำไมคะแนนสอบได้เท่านี้ ตอนเรียนไม่เข้าใจหรือว่าอะไร ลูกเราตอบว่าเข้าใจดี แต่พอข้อสอบออกมามันทำไม่ได้ (อันนี้เราคิดล่ะว่า เค้าไม่เข้าใจแน่นอน) แต่งานที่ส่งอาจารย์ล่ะ? ทำได้ยังไง เค้าตอบเราว่า ทำเอง แต่บางข้อที่ทำไม่ได้ก็ถามเพื่อน จากนั้นพอเทอม 2 เราก็ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ เพราะเราเข้าใจว่าการที่เค้าสอบไม่ได้ เป็นเพราะลูกเราไม่อ่านหนังสือ ดังนั้นเราเลยให้เค้าอ่านหนังสือทุกวัน จ.-ศ. วันละ 1 ชั่วโมง (ถ้ามีเวลา) มันก็เหมือนการออกไปติวหนังสือข้างนอก แต่พ่อเค้าเป็นคนติวให้เองในทุกๆ วัน จนมาถึงปลายเทอม เกรดเฉลี่ยจริงๆ มันควรจะดีขึ้นใช่ไหมค่ะ แต่ไม่เลยค่ะ เท่าเดิม (แต่ก็ยังดีที่ไม่ติด 0 อะไร ถ้าเทียบกับลูกคนเก่าที่เรียนมัธยมติด 0 ทุกเทอม) ส่วนคะแนนสอบก็ยังเหมือนเดิม ไม่ผ่านเลยสักวิชา
       มันทำให้เรารู้สึกว่า ลูกเราเป็นอะไร ทั้งๆ ที่ตั้งใจแล้ว แต่ทำไมกลับทำไม่ได้ เมื่อก่อนที่ลูกเราติด 0 สมัยมัธยม เรายังรู้สาเหตุว่าลูกเราขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน จนมาถึงวันที่เราให้ลูกทำแบบทดสอบนี้แหละค่ะ เราถึงได้รู้ว่าลูก บวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้ จึงได้มาปรึกษา แม่ๆ พ่อๆ ในนี้ จนเราได้หลากหลายคำแนะนำ เราจึงลองเอาไปปฏิบัติและพูดคุยในเมื่อวาน จนทำให้รู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วว่า ลูกไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่เป็นคนที่คิดนาน คิดนานในที่นี้คือ เค้าไม่สามารถคิดเลขในใจได้ เค้าจะต้องทดเลขในกระดาษ และมีวิธีคิดที่เป็นของเค้า อย่างในโจทย์ที่เราตั้งกระทู้ถามในตอนแรก นั้นคือเค้าสามารถตอบได้ แต่ถ้าจะให้หาร หรือยากๆ เค้ายังทำไม่ได้ เพราะท่องสูตรคูณได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่างเช่น แม่ 8 พอถึง 8*5 เป็น 40 เค้าก็จะท่อง 8*5 เป็น 45 ตรงนี้เรากับลูกคุยกันแล้ว เค้าจะพยายามหัดท่อง เราเลยบอกว่า ถ้าท่องไม่ได้จริงๆ ให้ใช้วิธีการเขียนลงไปในกระดาษก่อน แล้วหนูก็จะเข้าใจเอง เพราะการใช้วิธีการเขียน การอ่าน มันสามารถทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้น และจำได้ และลูกเราก็ยังพูดออกมาอีกหลายๆ อย่างที่เค้าไม่เคยพูด เพราะเค้าไม่กล้าที่บอกพ่อกับแม่ คือ ที่ผ่านมา 1 ปี กับการเรียน ปวส. เค้าไม่เคยทำการบ้านเองเลย ลอกเพื่อนหมดทุกวิชา นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เฉลยปัญหาทั้งหมด ที่เรากับสามีคิดกันมานาน และได้เคยถามเค้าไป แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้ลอก จนมาเมื่อวานลูกเราได้พูดออกมาทุกๆ อย่าง หลายๆ เรื่อง หลายๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเค้า ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไม? หนูไม่บอกแม่
         มาถึงตอนนี้ เรากับลูก ก็ได้เข้าใจกันมากขึ้น คิดว่าแทบจะทุกเรื่อง และเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การคิดเลขนะคะ ที่เราเอามาปรึกษา แต่เรามองว่ามันคือชีวิตทั้งชีวิตของลูก เราไม่ได้มองแค่ว่า "ลูกเราแค่คิดเลขไม่ได้ ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร สมัยนี้มีเครื่องคิดเลขจะไปกลัวอะไร" เราขอตอบเลยว่า การที่ให้คนเราได้ใช้สมองมันยังดีกว่า การไม่ใช่สมองเลย แล้วยิ่งเด็กในวัยนี้ อนาคตเค้ายังต้องไปอีกไกล วันนึงเค้าออกไปทำงาน ไปพบเจอสังคมที่ต่างจากที่เค้าเคยอยู่ เค้าก็จะอยู่ได้ค่ะ
         สุดท้าย เราขอขอบคุณกำลังใจดีๆ จากพ่อๆ แม่ๆ ทุกคนในนี้ ขอบคุณที่เข้าใจเรา ขอบคุณที่ให้คำปรึกษากับเรา ถ้าไม่มีพวกคุณ วันนี้เรากับลูกก็คงยังไม่เข้าใจกัน ส่วนเรื่องที่คิดว่าลูกเราจะเป็น LD รึเปล่า วันจันทร์หน้านี้เราจะพาลูกไปปรึกษาแพทย์ค่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรคืบหน้า ยังไงเราจะมาเล่าให้ฟังนะคะ และขอให้ทุกๆ คนในนี้มีแต่ความสุขนะคะ ขอบคุณค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 25
เห็นด้วยกับคห. 21 นะครับ
ควรพาไปพบแพทย์
มีโอกาสเป็นพวก learning disability ( LD ) ที่มีปัญหาโดยเฉพาะในเรื่องคณิตศาตร์หรือการคำนวณได้สูงทีเดียวครับ
ความคิดเห็นที่ 15
แล้วน้องผ่าน ประถม มัธยม มาได้ยังไงเนี่ย
ความคิดเห็นที่ 21
ถ้าสติปัญญาปกติ แต่มีปัญหาด้านคณิตศาสตร์อย่างมาก ควรต้องสงสัยว่ามีปัญหาแล้ว
อาจจะเป็นแอลดีทางคณิตศาสตร์. ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการฝึกกับคุณครูผู้เชี่ยวชาญ

แนะนำว่าควรพาไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นเพื่อทำทดสอบ ไม่ควรปล่อยปะละเลย.
น้องไม่จำเป็นต้องเก่งคณิตศาสตร์แต่ความรู้ทางคณิตศาสตร์พื้นฐานควรมีติดตัวเพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข


ขอเสริมอีกนิดการไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัว หรือจะทำให้เสียภาพพจน์อย่างที่หลายๆคนในสังคมจินตนาการกัน
มีเด็กๆมากมายที่คุณพ่อคุณแม่พามาปรึกษาปัญหาการเรียน
ความคิดเห็นที่ 13
ลองพบแพทย์ดูครับ
ที่จริงการบวกลบเลข มันคือตรรกะการใช้ชีวิตปกติ(หมายถึงสิ่งรอบตัวเรามันก็คือคณิตศาสร์นั่นแหละ ไม่ใช่เลขอย่างเดียว)
ลูกคุณน่าจะคิดได้นะครับ อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ละคนวิธีการคิดไม่เหมือนกัน มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตนะ อายุ 19 ปีแล้ว
อันนี้ผมพูดในกรณีที่ลูกคุณคิดไม่ได้จริงๆนะ
บางคนไม่ชอบ บางคนไม่สนใจจะคิด อาจทำให้คิดช้าหรือล้มเลิกไปเลย อันนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก คนเราถนัดไม่เหมือนกัน
แต่คุณต้องลองเปิดใจคุยกับลูก คือให้เขาลองคิดดูจริงๆว่าคิดได้ไหม ถ้าไม่ได้ผมว่ามันไม่น่าจะปกติ
เช่นหากลูกคุณไปกินบุฟเฟ่จำกัดเวลา 1 ชม. แต่ตอบไม่ได้ว่ากินได้ถึงกี่โมง(เพราะคิดไม่ได้) ผมว่าอันนี้มีปัญหากับการใช้ชีวิตนะ

อันนี้ผมก็ไม่ชัวร์ จึงลองให้พบแพทย์ดูครับน่าจะเป็นทางออกที่ดีทีสุด
ส่วนพวกกิจกรรมเสริม เล่นคอม เล่นเกม เล่นมือถือ ปล่อยไปเถอะครับ ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหน
คือถ้ากรณีแย่สุดเป็นที่ระบบความคิด มันไม่เกี่ยวกับเล่นมือถือจนไม่ใส่ใจการเรียนแล้วครับ ต่อให้ตั้งใจเรียนยังไงก็ไม่รอด ต้องพบแพทย์
สมัยนี้ทุกคนติดมือถือกันทั้งนั้น ผมเชื่อว่าลูกคุณติดมือถือไม่ต่างจากคนอื่น เรื่องนี้ไม่ต้องซีเรียสครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่