.
"
อุยกูร์" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ "เตอร์กิช" หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตุรกี อาศัยกระจายอยู่ทั่วโลกเป็นกลุ่มก้อนมากบ้างน้อยบ้าง และหนึ่งในพื้นที่ที่มีชาวอุยกูร์อาศัยอยู่มากที่สุด คือ เขตการปกครองพิเศษซินเจียง-อุยกูร์ ของจีน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ ทั้งชาวอุยกูร์และชาวฮั่น(ชนชาติจีนในปัจจุบัน) ต่างก็ตกอยู่ในสภาพของผู้แพ้เช่นเดียวกัน เพราะทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างผ่ายแพ้ให้กับ ชนเผ่ามองโกล ของ เจงกิสข่าน เหมือนๆกัน แต่ต่างกันตรงที่ ถ้านับญาติกันจริงๆ ชาวอุยกูร์ก็ถือเป็นชาติพันธุ์เดียวกับพวกมองโกล เพราะทั้งคู่ถือว่าจัดอยู่ในชาติพันธุ์ “
เติร์ก” เหมือนกัน ในขณะที่คนจีนหรือชาวฮั่นนั้นอยู่คนละสายชาติพันธุ์
เมื่อตอนที่ราชวงค์หยวน ของ กุบไลข่าน ผู้เป็นหลาน เจงกิสข่าน ผู้ซึ่งเป็นคนโค่นล้มราชวงค์ซ่งของชนชาติฮั่น และปกครองจีนในช่วงนั้นและก่อตั้งราชวงค์หยวนขึ้นเพื่อปกครองประเทศ ได้สิ้นสุดลงหลังปกครองจีนได้ 50 ปี(พ.ศ. 1814 - 1911) เพราะถูก จูหยวนจาง โค่นล้ม จากการอาศัยกบฏโพกผ้าแดงที่ลุกลามบานปลายไปทั่วประเทศจากความไม่พอใจในราชสำนักมองโกลของประชาชน เมื่อจูหยวนจางนำทัพกบฏเข้าประชิดเมืองหลวง จักรพรรดิซุ่นตี้แห่งราชวงค์หยวนเห็นว่าเกินกว่ากำลังที่จะรับมือได้ จึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมองโกลทิ้งเมือง หนีออกนอกด่านไป จูหยวนจางจึงเป็นฝ่ายชนะ และเขาก็ได้ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทนที่ราชวงค์หยวน และนั้นคือจุดเริ่ม ที่ทำให้ชาวอุยกูร์ ใน ซินเจียง ต้องถูกผนวกรวมกับจีนมาตั้งแต่ยุคสมัยของ กุบไลข่าน(ชนรชาติเติร์ก) ก็ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน(ชนชาติฮั่น)เรื่อยมา
แม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครอง จากการปฏิวัตินำโดยดอกเตอร์ซุน ยัตเซ็น เมื่อปี 2454 มณฑลซินเกียงก็ถูกส่งต่อเปลี่ยนมือผู้ปกครองจากราชวงค์สุดท้ายของจีน คือราชวงค์ ชิง มาเป็นกองทัพของฝ่ายปฏิวัติ ถึงชาวอุยกูร์จะมีความพยายามเรียกร้องเอกราชแก่ดินแดนของตนเองเป็นระยะ และประกาศตนเป็นสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก ในปี พ.ศ.แต่ก็เป็นเอกราชในระยะสั้น ๆ
เพราะที่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2498 ก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนส่งกำลังทหารเข้ามาควบคุมและจัดตั้งให้เป็นเขตปกครองพิเศษซินเจียง-อุยกูร์ มาจนถึงปัจจุบัน
และเพื่อบรรเทาเบาบางความเป็นเจ้าของพื้นที่จากเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งเพียงเผ่าพันธุ์เดียว รัฐบาลจีนจึงได้สนับสนุนให้ชาวฮั่นอพยพขึ้นไปอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ จากเดิมที่ชาวฮั่นอพยพมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนประชากรขึ้นในสัดส่วนแทบจะใกล้เคียงกัน ในปัจจุบันเขตการปกครองซินเจียง-อุยกูร์ ซึ่งมีประชากรทั้งสิ้นราว 23 ล้านคน คิดเป็นชาวอุยกูร์ร้อยละ 45 และชาวฮั่นมากกว่าร้อยละ 40 นโยบายนี้เริ่มต้นเพราะก่อนปี 2492 มีชาวอุยกูร์เป็นร้อยละ 95 ของประชากรทั้งหมดในเขตพื้นที่ ซินเจียง
แต่ว่าความกรุกรุ่นกับแนวคิดแยกตัวเป็นอิสระยังไม่เคยจางหาย เมื่อในปี 2534 คอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลาย กลุ่มชาติพันธ์ชิดเชื้อกับพวก เติร์กอุยกูร์ ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองของรัสเซีย ก็ได้รับเอกราช กลายเป็นประเทศ “4 สถาน” คือ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน สังกัดอนุทวีปเอเชียกลาง ติดกับมณฑลซินเกียง แต่ว่าเมื่อเผ่าพันธุ์อุยกูร์เรียกร้องเอกราชที่เขาคิดว่าพวกเขาควรได้ กลับโดนทางการจีนปราบปรามอย่างหนัก
ที่ร้ายกว่านั้น คือ หลังจากการปราบปรามชาวอุยกูร์เริ่มถูกจำกัดสิทธิ์ในการดำเนินวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมของตน เผชิญการถูกแบ่งแยกเลือกปฏิบัติระหว่างชาวฮั่นและอุยกูร์ สุเหร่าหลายแห่งถูกปิด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยบางแห่งห้ามการใช้ภาษาอุยกูร์ คนงานชาวอุยกูร์ถูกเบี้ยวค่าแรง ไม่รับชาวอุยกูร์เข้าทำงาน จำกัดพื้นที่การเดินทาง บางพื้นที่ห้ามหญิงชาวอุยกูร์ใส่ผ้าคลุมศีรษะ ขณะที่ผู้ชายถูกห้ามไว้เครา ฯลฯ ส่งผลให้ชาวอุยกูร์ก็มีความคิดว่าตนเองคงไม่สามารถกลมกลืนไปกับจีนได้ ทั้งด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศาสนา และมีการประท้วงเรียกร้องสิทธิ์ขึ้นเป็นระยะ
แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ได้ ก็คือ เลือดกับน้ำตา
อย่างในเหตุจลาจลอุรุมชี เกิดจากชาวอุยกูร์รวมตัวกันประท้วงเรียกร้องในเมืองอุรุมชี ซึ่งเป็นเมืองเอกของซินเจียง-อุยกูร์ เพื่อทวงความยุติธรรมให้ชาวอุยกูร์จากเหตุการประท้วงเมืองเสากวนในมณฑลกว่างตง ที่มีการปะทะกันระหว่างคนงานชาวฮั่นและอุยกูร์ อันส่งผลให้ชาวอุยกูร์ถูกฆ่าตาย 2 คน แต่เหตุการณ์ประท้วงอุรุมชีบานปลายเป็นการจลาจล เกิดการปะทะกันระหว่างชาวอุยกูร์กับชาวฮั่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 197 ราย บาดเจ็บอีก 1,721 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทางการจีนรายงาน แต่ชาวอุยกูร์ที่รวมชุมนุมในครั้งนั้นเปิดเผยว่า ที่จริงยอดผู้เสียชีวิตมีมากกว่าที่ทางการรายงานไม่รู้กี่เท่า เพราะหลังจากการชุมนุม มีผู้เข้าร่วมประท้วงชาวอุยกูร์สาปสูญหายไปจำนวนมาก
แม้จะเป็นดินแดนที่ตนอยู่มาตั้งแต่ต้น แต่ชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ ที่อยู่ภายใต้ปีกของจีน กลับต้องใช้ชีวิตอย่างคับแค้นภายใต้สิทธิ์ที่ถูกจำกัดจำเขี่ย ถูกชาวฮั่นแย่งอาชีพ แย่งพื้นที่เศรษฐกิจ จีนยังไม่ยอมรับวัฒนธรรมและการนับถือศาสนาของชาวอุยกูร์ ใช้นโยบายเข้มงวดในการดำเนินการกับชาวอุยกูร์ ปราบปรามผู้ออกมาประท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง และตั้งข้อหากับแกนนำชาวอุยกูร์ในข้อหาด้านความมั่นคง จนทำให้ชาวอุยกูร์บางคน ทนไม่ไหวและคิดจะทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองไปเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า
ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศไหนในโลกที่พร้อมจะอ้าแขนรับ ผู้อพยพชาวอุยกูร์เลย
นอกจากประเทศตุรกีซึ่งมองชาวอุยกูร์ผู้ใช้ภาษาเตอร์กิช ว่าเป็นพวกเดียวกับตน ก็แสดงตนอ้าแขนต้อนรับผู้อพยพอุยกูร์อย่างเต็มใจ ทำให้มีชาวอุยกูร์ในจีนจำนวนไม่น้อยประสงค์จะไปปักหลักใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น และจีนก็ไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมาก กล่าวหาตุรกีว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประท้วงของชาวอุยกูร์ในซินเจียง และเป็นตัวการสั่นคลอนความมั่นคงของจีนในพื้นที่เขตปกครองพิเศษซินเจียง
แต่ตุรกีก็หาได้สนใจอะไรไม่ ยังคงเปิดกว้างอ้าแขนรับผู้อพยพชาวอุยกูร์ต่อไป ไม่เคยแม้แต่จะแคร์สักนิดว่าประเทศพี่เบิ้มอย่างจีนจะเขม่นตาชักสีหน้าไม่พอใจตนเอง ก็อย่างว่าแหละครับในอดีตชนชาติเติร์กของพวกเขายังเคยปกครองชนชาติจีนครอบครองประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ได้ แล้ววันนี้ทำไมพวกเขาต้องจะกลัวให้กับคนที่เคยผ่ายแพ้ให้แก่พวกเขามาแล้ว
หากใครเคยอ่านนิยายจีนกำลังภายในมาบ้าง ไม่ว่าจากสองสุดยอดนักประพันธ์อย่าง กิมย้ง หรือ โกวเล้ง ท่านอาจเคยเห็นความอาฆาตมาดร้ายทางตัวอักษรที่ชนชาติฮั่นมีต่อชาวมองโกวหรือชนชาติเติร์กมาแล้วด้วยการยัดบทร้ายให้กับชาวมองโกวเรื่อยมา โดยไม่เคยกล่าวถึงพฤติกรรมร้ายๆที่ชนชาวฮั่น กระทำทารุณกรรมกับชนเผ่านอกด่าน ในแทบทุกราชวงค์ที่มีชนชาวฮั่นเป็นผู้ปกครองจีน ซึ่งไว้ว่างๆผมจะรวบรวมมาเล่าให้ฟัง
และในวันนี้ หากถามผมว่า มีชนชาติใดในโลกที่ไม่เกรงกลัวจีน พวกท่านที่เข้ามาอ่าน คงรู้แล้วใช่ไหมว่า ว่าผมจะตอบคำถามนี้เช่นไร
ที่หยิบเอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะหาอะไรทำระหว่างนั่งแช่ง เอ้ย...เชียร์บอลคู่ดึก ตามประสาแฟนบอล ซึ่งผลที่ออกมา แม้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ก็คงทำให้คืนนี้นอนหลับสบายอีกหนึ่งคืน และตื่นเช้ามาจะได้ไปจ่ายตลาดซื้อปี๊บไปฝากบรรดาเพื่อนๆหลายคน ที่คาดว่าน่าจะต้องการสวมใส่ในระหว่างที่สนทนาเรื่องฟุตบอลเกมส์เมื่อคืน 555 สุขใจเล็กๆตามประสา The KOP
ป.ล.จริงๆแล้วบทความนี้ เดิมผมเขียนขึ้นเมื่อ2-3 ปีก่อนตอนที่ข่าว ผู้อพยพอุยกูร์กำลังดังๆ ซึ่งมีข่าวว่าทางการไทยจะส่งตัวผู้อพยพกลุ่มนี้ให้กับทางการจีนแล้ว UN ออกมาคัดค้าน แต่ด้วยปรากฏการณ์อภิหารของการตั้งกะทู้ในราชดำเนิน ก็ทำให้จนแล้วจนรอดบทความชิ้นนี้ก็ไม่เคยได้แสดงออกมา วันนี้ไม่รู้ผมคิดยังไง จึงหยิบบทความชิ้นนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น แก้ไขเนื้อหาใจความใหม่ให้ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีข้อความที่แสลงตาแสลงใจใครบางคน อีกทั้งยังเปลี่ยนประเด็นเรื่องให้มาเป็นการเมืองระหว่างประเทศ ที่มีปมประวัติสอดแทรกจากเรื่องราวความหลังจากหน้าประวัติศาสตร์แทนของเดิมซะ แล้วเอามาลองตั้งกะทู้ใหม่ดู ซึ่งถ้าผ่านท่านก็คงได้อ่านกัน และก็ถือว่าอ่านเล่นกันฆ่าเวลาไปสนุกๆนะครับ
ในวันเวลาที่ห้องการเมืองคุยเรื่องการเมืองไม่ได้ ก็ต้องเขียนบทความไว้อ่านเล่นฆ่าเวลาประมาณนี้แหละครับ
ขอบคุณครับ
(บทความ..ฆ่าเวลา) อุยกูร์หนึ่งเผ่าพันธุ์ที่ไร้สิทธิ์เสียง กับหนึ่งสำเนียงของชนชาติที่ไม่เคยเกรงกลัวอำนาจจีน
"อุยกูร์" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ "เตอร์กิช" หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตุรกี อาศัยกระจายอยู่ทั่วโลกเป็นกลุ่มก้อนมากบ้างน้อยบ้าง และหนึ่งในพื้นที่ที่มีชาวอุยกูร์อาศัยอยู่มากที่สุด คือ เขตการปกครองพิเศษซินเจียง-อุยกูร์ ของจีน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ ทั้งชาวอุยกูร์และชาวฮั่น(ชนชาติจีนในปัจจุบัน) ต่างก็ตกอยู่ในสภาพของผู้แพ้เช่นเดียวกัน เพราะทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างผ่ายแพ้ให้กับ ชนเผ่ามองโกล ของ เจงกิสข่าน เหมือนๆกัน แต่ต่างกันตรงที่ ถ้านับญาติกันจริงๆ ชาวอุยกูร์ก็ถือเป็นชาติพันธุ์เดียวกับพวกมองโกล เพราะทั้งคู่ถือว่าจัดอยู่ในชาติพันธุ์ “เติร์ก” เหมือนกัน ในขณะที่คนจีนหรือชาวฮั่นนั้นอยู่คนละสายชาติพันธุ์
เมื่อตอนที่ราชวงค์หยวน ของ กุบไลข่าน ผู้เป็นหลาน เจงกิสข่าน ผู้ซึ่งเป็นคนโค่นล้มราชวงค์ซ่งของชนชาติฮั่น และปกครองจีนในช่วงนั้นและก่อตั้งราชวงค์หยวนขึ้นเพื่อปกครองประเทศ ได้สิ้นสุดลงหลังปกครองจีนได้ 50 ปี(พ.ศ. 1814 - 1911) เพราะถูก จูหยวนจาง โค่นล้ม จากการอาศัยกบฏโพกผ้าแดงที่ลุกลามบานปลายไปทั่วประเทศจากความไม่พอใจในราชสำนักมองโกลของประชาชน เมื่อจูหยวนจางนำทัพกบฏเข้าประชิดเมืองหลวง จักรพรรดิซุ่นตี้แห่งราชวงค์หยวนเห็นว่าเกินกว่ากำลังที่จะรับมือได้ จึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมองโกลทิ้งเมือง หนีออกนอกด่านไป จูหยวนจางจึงเป็นฝ่ายชนะ และเขาก็ได้ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นมาแทนที่ราชวงค์หยวน และนั้นคือจุดเริ่ม ที่ทำให้ชาวอุยกูร์ ใน ซินเจียง ต้องถูกผนวกรวมกับจีนมาตั้งแต่ยุคสมัยของ กุบไลข่าน(ชนรชาติเติร์ก) ก็ตกมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน(ชนชาติฮั่น)เรื่อยมา
แม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครอง จากการปฏิวัตินำโดยดอกเตอร์ซุน ยัตเซ็น เมื่อปี 2454 มณฑลซินเกียงก็ถูกส่งต่อเปลี่ยนมือผู้ปกครองจากราชวงค์สุดท้ายของจีน คือราชวงค์ ชิง มาเป็นกองทัพของฝ่ายปฏิวัติ ถึงชาวอุยกูร์จะมีความพยายามเรียกร้องเอกราชแก่ดินแดนของตนเองเป็นระยะ และประกาศตนเป็นสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก ในปี พ.ศ.แต่ก็เป็นเอกราชในระยะสั้น ๆ เพราะที่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2498 ก็ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนส่งกำลังทหารเข้ามาควบคุมและจัดตั้งให้เป็นเขตปกครองพิเศษซินเจียง-อุยกูร์ มาจนถึงปัจจุบัน
และเพื่อบรรเทาเบาบางความเป็นเจ้าของพื้นที่จากเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่งเพียงเผ่าพันธุ์เดียว รัฐบาลจีนจึงได้สนับสนุนให้ชาวฮั่นอพยพขึ้นไปอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ จากเดิมที่ชาวฮั่นอพยพมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนประชากรขึ้นในสัดส่วนแทบจะใกล้เคียงกัน ในปัจจุบันเขตการปกครองซินเจียง-อุยกูร์ ซึ่งมีประชากรทั้งสิ้นราว 23 ล้านคน คิดเป็นชาวอุยกูร์ร้อยละ 45 และชาวฮั่นมากกว่าร้อยละ 40 นโยบายนี้เริ่มต้นเพราะก่อนปี 2492 มีชาวอุยกูร์เป็นร้อยละ 95 ของประชากรทั้งหมดในเขตพื้นที่ ซินเจียง
แต่ว่าความกรุกรุ่นกับแนวคิดแยกตัวเป็นอิสระยังไม่เคยจางหาย เมื่อในปี 2534 คอมมิวนิสต์โซเวียตล่มสลาย กลุ่มชาติพันธ์ชิดเชื้อกับพวก เติร์กอุยกูร์ ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองของรัสเซีย ก็ได้รับเอกราช กลายเป็นประเทศ “4 สถาน” คือ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน สังกัดอนุทวีปเอเชียกลาง ติดกับมณฑลซินเกียง แต่ว่าเมื่อเผ่าพันธุ์อุยกูร์เรียกร้องเอกราชที่เขาคิดว่าพวกเขาควรได้ กลับโดนทางการจีนปราบปรามอย่างหนัก
ที่ร้ายกว่านั้น คือ หลังจากการปราบปรามชาวอุยกูร์เริ่มถูกจำกัดสิทธิ์ในการดำเนินวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมของตน เผชิญการถูกแบ่งแยกเลือกปฏิบัติระหว่างชาวฮั่นและอุยกูร์ สุเหร่าหลายแห่งถูกปิด โรงเรียนและมหาวิทยาลัยบางแห่งห้ามการใช้ภาษาอุยกูร์ คนงานชาวอุยกูร์ถูกเบี้ยวค่าแรง ไม่รับชาวอุยกูร์เข้าทำงาน จำกัดพื้นที่การเดินทาง บางพื้นที่ห้ามหญิงชาวอุยกูร์ใส่ผ้าคลุมศีรษะ ขณะที่ผู้ชายถูกห้ามไว้เครา ฯลฯ ส่งผลให้ชาวอุยกูร์ก็มีความคิดว่าตนเองคงไม่สามารถกลมกลืนไปกับจีนได้ ทั้งด้านชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศาสนา และมีการประท้วงเรียกร้องสิทธิ์ขึ้นเป็นระยะ
แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ได้ ก็คือ เลือดกับน้ำตา
อย่างในเหตุจลาจลอุรุมชี เกิดจากชาวอุยกูร์รวมตัวกันประท้วงเรียกร้องในเมืองอุรุมชี ซึ่งเป็นเมืองเอกของซินเจียง-อุยกูร์ เพื่อทวงความยุติธรรมให้ชาวอุยกูร์จากเหตุการประท้วงเมืองเสากวนในมณฑลกว่างตง ที่มีการปะทะกันระหว่างคนงานชาวฮั่นและอุยกูร์ อันส่งผลให้ชาวอุยกูร์ถูกฆ่าตาย 2 คน แต่เหตุการณ์ประท้วงอุรุมชีบานปลายเป็นการจลาจล เกิดการปะทะกันระหว่างชาวอุยกูร์กับชาวฮั่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 197 ราย บาดเจ็บอีก 1,721 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทางการจีนรายงาน แต่ชาวอุยกูร์ที่รวมชุมนุมในครั้งนั้นเปิดเผยว่า ที่จริงยอดผู้เสียชีวิตมีมากกว่าที่ทางการรายงานไม่รู้กี่เท่า เพราะหลังจากการชุมนุม มีผู้เข้าร่วมประท้วงชาวอุยกูร์สาปสูญหายไปจำนวนมาก
แม้จะเป็นดินแดนที่ตนอยู่มาตั้งแต่ต้น แต่ชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ ที่อยู่ภายใต้ปีกของจีน กลับต้องใช้ชีวิตอย่างคับแค้นภายใต้สิทธิ์ที่ถูกจำกัดจำเขี่ย ถูกชาวฮั่นแย่งอาชีพ แย่งพื้นที่เศรษฐกิจ จีนยังไม่ยอมรับวัฒนธรรมและการนับถือศาสนาของชาวอุยกูร์ ใช้นโยบายเข้มงวดในการดำเนินการกับชาวอุยกูร์ ปราบปรามผู้ออกมาประท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง และตั้งข้อหากับแกนนำชาวอุยกูร์ในข้อหาด้านความมั่นคง จนทำให้ชาวอุยกูร์บางคน ทนไม่ไหวและคิดจะทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเองไปเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า
ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศไหนในโลกที่พร้อมจะอ้าแขนรับ ผู้อพยพชาวอุยกูร์เลย นอกจากประเทศตุรกีซึ่งมองชาวอุยกูร์ผู้ใช้ภาษาเตอร์กิช ว่าเป็นพวกเดียวกับตน ก็แสดงตนอ้าแขนต้อนรับผู้อพยพอุยกูร์อย่างเต็มใจ ทำให้มีชาวอุยกูร์ในจีนจำนวนไม่น้อยประสงค์จะไปปักหลักใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น และจีนก็ไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมาก กล่าวหาตุรกีว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประท้วงของชาวอุยกูร์ในซินเจียง และเป็นตัวการสั่นคลอนความมั่นคงของจีนในพื้นที่เขตปกครองพิเศษซินเจียง
แต่ตุรกีก็หาได้สนใจอะไรไม่ ยังคงเปิดกว้างอ้าแขนรับผู้อพยพชาวอุยกูร์ต่อไป ไม่เคยแม้แต่จะแคร์สักนิดว่าประเทศพี่เบิ้มอย่างจีนจะเขม่นตาชักสีหน้าไม่พอใจตนเอง ก็อย่างว่าแหละครับในอดีตชนชาติเติร์กของพวกเขายังเคยปกครองชนชาติจีนครอบครองประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ได้ แล้ววันนี้ทำไมพวกเขาต้องจะกลัวให้กับคนที่เคยผ่ายแพ้ให้แก่พวกเขามาแล้ว
หากใครเคยอ่านนิยายจีนกำลังภายในมาบ้าง ไม่ว่าจากสองสุดยอดนักประพันธ์อย่าง กิมย้ง หรือ โกวเล้ง ท่านอาจเคยเห็นความอาฆาตมาดร้ายทางตัวอักษรที่ชนชาติฮั่นมีต่อชาวมองโกวหรือชนชาติเติร์กมาแล้วด้วยการยัดบทร้ายให้กับชาวมองโกวเรื่อยมา โดยไม่เคยกล่าวถึงพฤติกรรมร้ายๆที่ชนชาวฮั่น กระทำทารุณกรรมกับชนเผ่านอกด่าน ในแทบทุกราชวงค์ที่มีชนชาวฮั่นเป็นผู้ปกครองจีน ซึ่งไว้ว่างๆผมจะรวบรวมมาเล่าให้ฟัง
และในวันนี้ หากถามผมว่า มีชนชาติใดในโลกที่ไม่เกรงกลัวจีน พวกท่านที่เข้ามาอ่าน คงรู้แล้วใช่ไหมว่า ว่าผมจะตอบคำถามนี้เช่นไร
ที่หยิบเอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะหาอะไรทำระหว่างนั่งแช่ง เอ้ย...เชียร์บอลคู่ดึก ตามประสาแฟนบอล ซึ่งผลที่ออกมา แม้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ก็คงทำให้คืนนี้นอนหลับสบายอีกหนึ่งคืน และตื่นเช้ามาจะได้ไปจ่ายตลาดซื้อปี๊บไปฝากบรรดาเพื่อนๆหลายคน ที่คาดว่าน่าจะต้องการสวมใส่ในระหว่างที่สนทนาเรื่องฟุตบอลเกมส์เมื่อคืน 555 สุขใจเล็กๆตามประสา The KOP
ป.ล.จริงๆแล้วบทความนี้ เดิมผมเขียนขึ้นเมื่อ2-3 ปีก่อนตอนที่ข่าว ผู้อพยพอุยกูร์กำลังดังๆ ซึ่งมีข่าวว่าทางการไทยจะส่งตัวผู้อพยพกลุ่มนี้ให้กับทางการจีนแล้ว UN ออกมาคัดค้าน แต่ด้วยปรากฏการณ์อภิหารของการตั้งกะทู้ในราชดำเนิน ก็ทำให้จนแล้วจนรอดบทความชิ้นนี้ก็ไม่เคยได้แสดงออกมา วันนี้ไม่รู้ผมคิดยังไง จึงหยิบบทความชิ้นนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น แก้ไขเนื้อหาใจความใหม่ให้ไม่เกี่ยวข้อง และไม่มีข้อความที่แสลงตาแสลงใจใครบางคน อีกทั้งยังเปลี่ยนประเด็นเรื่องให้มาเป็นการเมืองระหว่างประเทศ ที่มีปมประวัติสอดแทรกจากเรื่องราวความหลังจากหน้าประวัติศาสตร์แทนของเดิมซะ แล้วเอามาลองตั้งกะทู้ใหม่ดู ซึ่งถ้าผ่านท่านก็คงได้อ่านกัน และก็ถือว่าอ่านเล่นกันฆ่าเวลาไปสนุกๆนะครับ
ในวันเวลาที่ห้องการเมืองคุยเรื่องการเมืองไม่ได้ ก็ต้องเขียนบทความไว้อ่านเล่นฆ่าเวลาประมาณนี้แหละครับ