เอพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – ศาลสูงอินโดนีเซียพิพากษาในวันนี้(13) จำคุกมุสลิมอุยกูร์จำนวน 3 คน เป็นเวลา 6 ปีฐานร่วมก่อการร้าย หลังจากพยายามลักลอบพบกับอาบู วาร์ดะห์ ซานโตส (Abu Wardah Santos) ผู้ก่อการร้ายกลุ่ม IS ในอินโดนีเซีย ด้านปักกิ่งได้ออกแถลงการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บางส่วนของผู้ลี้ภัยอุยกูร์ที่ถูกทางการไทยขับออกนอกประเทศ มีแผนเดินทางเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย IS ในอิรักและซีเรีย ด้านเดอะแอตแลนติก สื่อการเมืองสหรัฐฯวิเคราะห์ เหตุใดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงต้องบีบบังคับอุยกูร์กลับจีน
คณะผู้พิพากษาศาลแขวงจาการ์ตาเหนือได้ออกคำตัดสิน อาเหม็ด มาห์มูด (Ahmet Mahmud) วัย 20 ปี อับดุลลาซิส ทูเซอร์ (Abdulbasit Tuzer) วัย 24 ปี และอับดุลเลาะห์ ( Abdullah) วัย 28 ปี ที่รู้จักในนาม อัลตินซี เบย์ราม (Altinci Bayyram) 3 มุสลิมอุยกูร์ ในข้อหาละเมิดกฎหมายเข้าเมืองอินโดนีเซีย และทำผิดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย โดยศาลอินโดนีเซียสั่งจำคุกคนทั้ง 3 เป็นเวลา 6 ปี
เอพีรายงานในวันจันทร์(13)ว่า คนทั้งหมดถูกจับตั้งแต่กันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับมุสลิมอุยกูร์อีก 1 คนคือ อาห์เหม็ด โบโซกลาน (Ahmet Bozoglan) และชายชาวอินโดนีเซีย 3 คนในขณะที่คนทั้งคนได้แอบลักลอบพบกับอาบู วาร์ดะห์ ซานโตส (Abu Wardah Santos) ผู้ก่อการร้ายที่ทางการอินโดนีเซียต้องการที่สุด และเป็นผู้นำกลุ่มก่อการร้ายมูจาฮิดีนอินโดนีเซียตะวันออก (East Indonesia Mujahideen) โยงใยกลุ่มก่อการร้าย IS ในซีเรียและอิรัก
ทั้งนี้ในคำตัดสิน ศาลอิเหนาเห็นว่า
จำเลยทั้งหมดร่วมสมรู้ร่วมคิดกับซานโตส หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายในเมืองโปโซ (Poso )ซูลาเวซีกลาง (Sulawesi) และถือหนังสือเดินทางตุรกีปลอม
และนอกจากนี้ มุสลิมอุยกูร์ทั้ง 3 ยังถูกสั่งให้ต้องจ่ายค่าปรับคนละ 7,535 ดอลลาร์ หรือไม่เช่นนั้น ต้องเลือกถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนเพิ่มจากคำสั่งจำคุก 3 ปี
เอพียังรายงานเพิ่มเติมว่า โบโซกลาน และผู้ต้องหาชายชาวอินโดนีเซียอีก 3 รายถูกขึ้นศาลไต่สวนแยกต่างหาก ซึ่งคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาภายหลัง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่สอบสวนอินโดนีเซียคาดในเบื้องต้นว่า ผู้ต้องหาอูยกูร์ทั้ง 4 เดินทางมาจากตุรกี
ด้านรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์ปกป้องไทยที่ได้สั่งขับผู้ลี้ภัยอุยกูร์จำนวน 109 คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา และนำไปสู่การที่สถานทูตไทยประจำตุรกีถูกโจมตีจากผู้ประท้วงจนต้องสั่งปิด
จากการรายงานของสื่อโทรทัศน์ทางการจีนในช่วงค่ำวันเสาร์(11)ว่า ผู้ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้บางส่วนมีแผนต้องการเดินทางไปยังซีเรียและอิรักเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย
โดยจากรายงานข่าวของสื่อจีนพบว่า ผู้ลี้ภัยอุยกูร์บางส่วนยอมรับว่า ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากกลุ่มเคลื่อนไหว the World Uyghur Congress และการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสลามเติร์กกิสถานตะวันออก( Eastern Turkestan Islamic Movement) หรือ ETIM เพื่อเรียกร้องการปกครองตัวเองของเขตซินเจียง
“ในระหว่างที่คนพวกนี้หลบหนีออกนอกประเทศ คนพวกนี้ได้รับแนวคิดหัวรุนแรงทางการเมืองและศาสนา จนทำให้ต้องการเข้าร่วมทำญิฮัดในซีเรียและอิรัก” สื่อจีนรายงาน
นอกจากนี้ตำรวจจีนระดับสูงยังได้เปิดเผยในวันเสาร์(11)ว่า ชาวอุยกูร์บางส่วนที่สามารถเดินทางไปถึงตุรกีได้สำเร็จนั้นถูกขายเพื่อไปรบร่วมกลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่ม IS
และมีรายงานว่า ในจำนวนผู้อพยพอุยกูร์ทั้งหมดที่ถูกส่งตัวจากไทยกลับจีน มีจำนวนอย่างน้อย 13 คนถูกตั้งข้อหาต้องสงสัยก่อการร้าย
การร่วมมือระหว่างไทยภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารในเรื่องปัญหาผู้อพยพอุยกูร์ เป็นที่จับตาของสื่อต่างประเทศ เช่น เดอะ แอตแลติก สื่อการเมืองสหรัฐฯ ถึงกับตั้งคำถามผ่านหน้ากระดาษว่า “ทำไมไทยจึงต้องเนรเทศมุสลิมอุยกูร์กลับจีน” ในรายงานในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
โดยตั้งประเด็นว่า อาจเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ ผู้นำรัฐประหารของไทยต้องการเสียงสนับสนุนจากจีน ในขณะที่ปักกิ่งต้องการชาวอุยกูร์กลับคืน
ทั้งนี้ทางการไทยแถลงว่า ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ส่งตัวกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ออกนอกประเทศ โดยพลเอกประยุทธ์ได้ตอบนักข่าวว่า
“คุณต้องการให้ทางเราเก็บผู้อพยพเหล่านี้ไว้จนกระทั่งมีทายาทเป็นรุ่นที่ 3 หรืออย่างไร”
และดูเหมือนว่า ไทยสนใจที่จะใกล้ชิดกับจีนมากในเวลานี้เมื่อเทียบน้ำหนักกับชาติอื่น โดยวิเคราะห์ผ่านการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์หลังจากที่สถานทูตไทยในตุรกีถูกกลุ่มประท้วงโจมตี รวมไปถึงยังกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตุรกี และยังไม่นับที่ทางรัฐบาลยังได้รับเสียงตำหนิจากนานาชาติในการที่ไทยส่งผู้อพยพกลับทั้งๆที่คนเหล่านี้อาจตกอยู่ในอันตรายก่อนหน้านั้น
“ตุรกีและไทยไม่ใช่ศัตรู และทางเราไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ด้านการค้ากับทางตุรกี” พลเอกประยุทธ์แถลงในวันศุกร์(10)หลังเกิดเหตุโจมตีสถานทูตไทย และเสริมต่อว่า “แต่ในขณะเดียวกันทางไทยไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย”
ขอบคุณ
http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000079291
ปล.หัวเรื่องไม่สามารถตั้งครบตามเว็บข่าวได้เนื่องจากข้อจำกัดจำนวนตัวอักษรในการตั้งชื่อกระทู้
ศาลอินโดฯสั่งจำคุก 3 มุสลิมอุยกูร์ 6 ปีฐานร่วมก่อการร้าย...
คณะผู้พิพากษาศาลแขวงจาการ์ตาเหนือได้ออกคำตัดสิน อาเหม็ด มาห์มูด (Ahmet Mahmud) วัย 20 ปี อับดุลลาซิส ทูเซอร์ (Abdulbasit Tuzer) วัย 24 ปี และอับดุลเลาะห์ ( Abdullah) วัย 28 ปี ที่รู้จักในนาม อัลตินซี เบย์ราม (Altinci Bayyram) 3 มุสลิมอุยกูร์ ในข้อหาละเมิดกฎหมายเข้าเมืองอินโดนีเซีย และทำผิดกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย โดยศาลอินโดนีเซียสั่งจำคุกคนทั้ง 3 เป็นเวลา 6 ปี
เอพีรายงานในวันจันทร์(13)ว่า คนทั้งหมดถูกจับตั้งแต่กันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับมุสลิมอุยกูร์อีก 1 คนคือ อาห์เหม็ด โบโซกลาน (Ahmet Bozoglan) และชายชาวอินโดนีเซีย 3 คนในขณะที่คนทั้งคนได้แอบลักลอบพบกับอาบู วาร์ดะห์ ซานโตส (Abu Wardah Santos) ผู้ก่อการร้ายที่ทางการอินโดนีเซียต้องการที่สุด และเป็นผู้นำกลุ่มก่อการร้ายมูจาฮิดีนอินโดนีเซียตะวันออก (East Indonesia Mujahideen) โยงใยกลุ่มก่อการร้าย IS ในซีเรียและอิรัก
ทั้งนี้ในคำตัดสิน ศาลอิเหนาเห็นว่า จำเลยทั้งหมดร่วมสมรู้ร่วมคิดกับซานโตส หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายในเมืองโปโซ (Poso )ซูลาเวซีกลาง (Sulawesi) และถือหนังสือเดินทางตุรกีปลอม
และนอกจากนี้ มุสลิมอุยกูร์ทั้ง 3 ยังถูกสั่งให้ต้องจ่ายค่าปรับคนละ 7,535 ดอลลาร์ หรือไม่เช่นนั้น ต้องเลือกถูกจำคุกเป็นเวลา 6 เดือนเพิ่มจากคำสั่งจำคุก 3 ปี
เอพียังรายงานเพิ่มเติมว่า โบโซกลาน และผู้ต้องหาชายชาวอินโดนีเซียอีก 3 รายถูกขึ้นศาลไต่สวนแยกต่างหาก ซึ่งคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาภายหลัง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่สอบสวนอินโดนีเซียคาดในเบื้องต้นว่า ผู้ต้องหาอูยกูร์ทั้ง 4 เดินทางมาจากตุรกี
ด้านรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจีนได้ออกแถลงการณ์ปกป้องไทยที่ได้สั่งขับผู้ลี้ภัยอุยกูร์จำนวน 109 คนในสัปดาห์ที่ผ่านมา และนำไปสู่การที่สถานทูตไทยประจำตุรกีถูกโจมตีจากผู้ประท้วงจนต้องสั่งปิด
จากการรายงานของสื่อโทรทัศน์ทางการจีนในช่วงค่ำวันเสาร์(11)ว่า ผู้ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้บางส่วนมีแผนต้องการเดินทางไปยังซีเรียและอิรักเพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย
โดยจากรายงานข่าวของสื่อจีนพบว่า ผู้ลี้ภัยอุยกูร์บางส่วนยอมรับว่า ได้รับอิทธิพลแนวคิดมาจากกลุ่มเคลื่อนไหว the World Uyghur Congress และการเคลื่อนไหวของกลุ่มอิสลามเติร์กกิสถานตะวันออก( Eastern Turkestan Islamic Movement) หรือ ETIM เพื่อเรียกร้องการปกครองตัวเองของเขตซินเจียง
“ในระหว่างที่คนพวกนี้หลบหนีออกนอกประเทศ คนพวกนี้ได้รับแนวคิดหัวรุนแรงทางการเมืองและศาสนา จนทำให้ต้องการเข้าร่วมทำญิฮัดในซีเรียและอิรัก” สื่อจีนรายงาน
นอกจากนี้ตำรวจจีนระดับสูงยังได้เปิดเผยในวันเสาร์(11)ว่า ชาวอุยกูร์บางส่วนที่สามารถเดินทางไปถึงตุรกีได้สำเร็จนั้นถูกขายเพื่อไปรบร่วมกลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่ม IS
และมีรายงานว่า ในจำนวนผู้อพยพอุยกูร์ทั้งหมดที่ถูกส่งตัวจากไทยกลับจีน มีจำนวนอย่างน้อย 13 คนถูกตั้งข้อหาต้องสงสัยก่อการร้าย
การร่วมมือระหว่างไทยภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารในเรื่องปัญหาผู้อพยพอุยกูร์ เป็นที่จับตาของสื่อต่างประเทศ เช่น เดอะ แอตแลติก สื่อการเมืองสหรัฐฯ ถึงกับตั้งคำถามผ่านหน้ากระดาษว่า “ทำไมไทยจึงต้องเนรเทศมุสลิมอุยกูร์กลับจีน” ในรายงานในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยตั้งประเด็นว่า อาจเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ ผู้นำรัฐประหารของไทยต้องการเสียงสนับสนุนจากจีน ในขณะที่ปักกิ่งต้องการชาวอุยกูร์กลับคืน
ทั้งนี้ทางการไทยแถลงว่า ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ส่งตัวกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ออกนอกประเทศ โดยพลเอกประยุทธ์ได้ตอบนักข่าวว่า “คุณต้องการให้ทางเราเก็บผู้อพยพเหล่านี้ไว้จนกระทั่งมีทายาทเป็นรุ่นที่ 3 หรืออย่างไร”
และดูเหมือนว่า ไทยสนใจที่จะใกล้ชิดกับจีนมากในเวลานี้เมื่อเทียบน้ำหนักกับชาติอื่น โดยวิเคราะห์ผ่านการให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์หลังจากที่สถานทูตไทยในตุรกีถูกกลุ่มประท้วงโจมตี รวมไปถึงยังกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตุรกี และยังไม่นับที่ทางรัฐบาลยังได้รับเสียงตำหนิจากนานาชาติในการที่ไทยส่งผู้อพยพกลับทั้งๆที่คนเหล่านี้อาจตกอยู่ในอันตรายก่อนหน้านั้น
“ตุรกีและไทยไม่ใช่ศัตรู และทางเราไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ด้านการค้ากับทางตุรกี” พลเอกประยุทธ์แถลงในวันศุกร์(10)หลังเกิดเหตุโจมตีสถานทูตไทย และเสริมต่อว่า “แต่ในขณะเดียวกันทางไทยไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย”
ขอบคุณ http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000079291
ปล.หัวเรื่องไม่สามารถตั้งครบตามเว็บข่าวได้เนื่องจากข้อจำกัดจำนวนตัวอักษรในการตั้งชื่อกระทู้