เอกชนไทย...ส่งสัญญานให้ทั่วโลกรับทราบ ว่าประเทศไทยขับเคลื่อนเรื่อง สิทธิมนุษยชน Human Rights

"สิทธิมนุษยชน การอยู่แบบมีศักดิ์ศรี"

วันนี้ผมมาฟังเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญมากถึง มากที่สุด จริงๆเรื่องนี้ เริ่มมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่2 สมัยนั้น เรียกว่า ใครมีอำนาจมากกว่ามีสิทธิ์มากกว่า มันแย่จนถึงที่สุด คนอยู่แบบไร้ศักดิ์ศรี จนทุกประเทศต้องใส่ใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง!!!


171 ประเทศ ทำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน เพื่อให้ทุกประเทศรับกติกา เพื่อมาออกกฏหมายภายในประเทศ เพื่อให้เป็นจริง

ซีพี จัดงานนี้ขึ้นมา เพราะ เอกชนต้องสนใจเรื่องนี้ โดยสมัครใจ และนอกจากนี้ยัง ชวนเครือข่าย Global compact 15 บริษัท พร้อมด้วยคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาให้ความรู้เรื่อง ธุรกิจ กับหลักการมนุษยชน และที่สำคัญคือ จะเอาไปใช้อย่างไร และส่งสัญญานให้ทั่วโลกรับทราบ ว่าประเทศไทยขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชน

ยุคนี้สิทธิมนุษย์ชนเป็นเรื่องใหญ่ มีองค์กรระดับโลกมาล้อม ทำให้ไม่ทำไม่ได้ เหมือนมีกำลังจากการขับเคลื่อนกระแสโลก คำถามคือ ใครเป็นคนชี้ว่า ละเมิดหรือไม่???  คุณประกายรัฐ ตันธีรวงศ์ อธิบายไว้ได้ชัดมากเรื่อง บทบาทกรรมการสิทธิมนุษย์ชน แต่ภารกิจข้อนึงว่า "ตรวจสอบ และรายงาน ชี้ว่าละเมิด หรือไม่ละเมิด"

วันนี้พอพูดเรื่อง สิทธิมนุษย์ชน มีหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องเช่น Human Right Defender, NGO, ภาครัฐ ภาคเอกชน ทุกกลุ่มมองกันคนละมุม แต่พยายามจะให้กรรมสิทธิ์เป็นสะพานเชื่อมทุกภาคส่วน

สิทธิมนุษยชน เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจอย่างไร?

ธุรกิจประเทศไทย ต้องระวังเรื่องมนุษยชน ต้องยอมรับว่า ภาคธุรกิจมีบทบาทมาก ...ธุรกิจทำให้มีโรงพยาบาลที่ดี มีชีวิตที่ดี เข้าถึงอินเตอร์เนต มนุษย์อยู่ดีกินดี รายได้ทำให้ประเทศพัฒนา แต่ถ้าระวังเรื่องผลกระทบ ก็จะทำให้องค์กรยั่งยืน ลดผลกระทบจากกลิ่น จากเสียง และถือเป็น 1 ในความเสี่ยง

ตัวอย่างอันนึงที่ดีคือ สิทธิในการไม่ถูกนำตัวลงเป็นทาง หรือ ถูกบังคับใช้แรงงาน (Right not to be subjected to slavery, servitude or force labor) สิทธิในสุขภาพ, สิทธิในการมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีเป็นต้น


ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ ง่ายๆ มีแค่ 3 เสาหลัก เท่านั้น


เสาที่ I. หน้าที่ของรัฐในการปกป้องสิทธิมนุษยชน
A. หลักการพื้นฐาน
1. รัฐต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการถูกละเมิดโดยบุคคลที่สามซึ่งรวมถึงภาคธุรกิจ ที่เกิดขึ้นในดินแดนหรือเขตอำนาจของตน ในการนี้ จำเป็นต้องมีขั้นตอนการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อป้องกัน สืบสวน ลงโทษ และแก้ไขการละเมิดเหล่านั้นผ่านทางนโยบาย กฎหมาย ระเบียบและกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ
2. รัฐควรแสดงความคาดหวังที่ชัดเจนให้ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในดินแดนหรือเขตอำนาจของตนเคารพสิทธิมนุษยชนในทุกกระบวนการประกอบธุรกิจของพวกเขา
B. หลักการในทางปฏิบัติ
อำนาจหน้าที่ทั่วไปของรัฐในการกำกับควบคุมและกำหนดนโยบาย
3. เพื่อให้เป็นไปตามหน้าที่ในการปกป้องสิทธิมนุษยชน รัฐควร:
(a) บังคับใช้กฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อ หรือที่มีผลต่อการทำให้ภาคธุรกิจเคารพสิทธิมนุษยชน และต้องมีการประเมินอย่างสม่ำเสมอถึงความเพียงพอของกฎหมายดังกล่าวและแก้ไขช่องว่างที่มีอยู่
(b) สร้างหลักประกันว่ากฎหมายและนโยบายอื่นๆ ที่ควบคุมเกี่ยวกับการจัดตั้งและการดำเนินการของภาคธุรกิจ เช่น กฎหมายบรรษัท ไม่ไปจำกัดแต่อำนวยให้ธุรกิจเคารพสิทธิมนุษยชน
(c) จัดให้มีแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพแก่ผู้ประกอบการธุรกิจเกี่ยวกับวิธีการเคารพสิทธิมนุษยชนในขั้นตอนกระบวนการดำเนินธุรกิจของพวกเขา
(d) กระตุ้นและกำหนดเท่าที่เหมาะสมให้ภาคธุรกิจสื่อสารว่าพวกเขาแก้ไขผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับรัฐ
4. รัฐควรมีมาตรการเพิ่มเติมในการป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยธุรกิจที่รัฐเป็นเจ้าของหรือผู้ควบคุม หรือที่ได้รับการสนับสนุนหรือบริการอย่างมีนัยสำคัญจากหน่วยงานรัฐ เช่น หน่วยงานเกี่ยวกับเครดิตเพื่อการส่งออก ประกันภัยการลงทุนอย่างเป็นทางการ หรือหน่วยงานรับประกัน รวมถึงเรียกร้องให้มีการปฏิบัติต่อสิทธิมนุษยชนอย่างระมัดระวัง
5. รัฐควรดำเนินมาตรการเฝ้าระวังอย่างเพียงพอเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อเข้าทำสัญญากับตรากฎหมายเพื่อให้ภาคธุรกิจจัดทำบริการสาธารณะที่อาจกระทบต่อการเข้าถึงสิทธิมนุษยชน
6. รัฐควรส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนขององค์กรธุรกิจที่รัฐร่วมทำธุรกรรมทางการค้าด้วย
การส่งเสริมธุรกิจให้เคารพสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
7. เนื่องจากความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงมีมากขึ้นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง รัฐควรช่วยสร้างหลักประกันว่าภาคธุรกิจที่ดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีส่วนร่วมในการละเมิดดังกล่าว โดย:
(a) เข้าไปมีส่วนร่วมกับภาคธุรกิจตั้งแต่ชั้นแรกเริ่มที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการช่วยระบุ ป้องกันและลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนของกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขาและความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
(b) ให้ความช่วยเหลือที่เพียงพอต่อภาคธุรกิจในการประเมินและแก้ไขความเสี่ยงที่มากขึ้นของการละเมิด โดยให้ความใส่ใจเป็นพิเศษต่อเรื่องความรุนแรงทางเพศสภาพและทางเพศ
(c) ปฏิเสธการเข้าถึงการสนับสนุนหรือการบริการสาธารณะ สำหรับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและปฏิเสธการให้ความร่วมมือในการจัดการสถานการณ์
(d) ทำให้เกิดความมั่นใจว่านโยบาย กฎหมาย ระเบียบ และมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการแก้ไขความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจจะเข้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
การสร้างหลักประกันความเป็นเอกภาพในทางนโยบาย
8. รัฐควรสร้างหลักประกันว่าหน่วยงาน องค์กรและสถาบันอื่น ๆ ของรัฐที่มีหน้าที่กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับภาคธุรกิจได้ตระหนักถึงและปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกิจของตน ซึ่งรวมถึงการจัดหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การจัดอบรมหรือให้การสนับสนุนแก่หน่วยงานองค์กรดังกล่าว
9. รัฐควรสงวนไว้ซึ่งพื้นที่ทางนโยบายภายในประเทศที่เพียงพอสำหรับดำเนินการให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางนโยบายเกี่ยวกับธุรกิจร่วมกับรัฐอื่น ๆ หรือภาคธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ผ่านการทำสนธิสัญญาข้อตกลง
ด้านการลงทุนหรือการทำสัญญา
10. เมื่อรัฐกระทำการในฐานะสมาชิกของสถาบันองค์กรพหุภาคีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางธุรกิจ รัฐควร
(a) พยายามทำให้เกิดความมั่นใจว่าสถาบันเหล่านั้นไม่ไปจำกัดความสามารถของรัฐสมาชิกที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามหน้าที่ในการปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือสร้างอุปสรรคให้กับภาคธุรกิจในการเคารพสิทธิมนุษยชน
(b) กระตุ้นสถาบันเหล่านั้น ภายใต้หน้าที่รับผิดชอบและศักยภาพของพวกเขา ให้ส่งเสริมภาคธุรกิจให้เคารพสิทธิมนุษยชน และเมื่อได้รับการร้องขอ ให้ช่วยเหลือรัฐให้บรรลุหน้าที่ในการปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยภาคธุรกิจ ซึ่งรวมถึงผ่านการช่วยเหลือทางเทคนิค การสร้างศักยภาพและการเพิ่มความตระหนักรู้
(c) จากหลักการแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ สนับสนุนให้เกิดความเข้าใจร่วมกันและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับธุรกิจและความท้าทายในทางสิทธิมนุษยชน
II. ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อการเคารพสิทธิมนุษยชน

A. หลักการพื้นฐาน
11. ภาคธุรกิจควรเคารพสิทธิมนุษยชน หมายความว่าพวกเขาควรหลีกเลี่ยงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นและควรแก้ไขผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
12. ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนหมายความถึงสิทธิมนุษยชนที่ได้การยอมรับในระดับระหว่างประเทศ อย่างน้อยได้แก่ สิทธิมนุษยชนดังที่ปรากฏในกฎบัตรระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและหลักการเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้เขียนไว้ในปฏิญญาขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในที่ทำงาน
13. ความรับผิดชอบต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ธุรกิจ
(a) หลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดหรือสนับสนุนให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขา และแก้ไขผลกระทบดังกล่าวเมื่อเกิดมีขึ้น
(b) พยายามป้องกันหรือลดผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนที่มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการของพวกเขา ผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนสนับสนุนต่อผลกระทบดังกล่าวก็ตาม
14. ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนปรับใช้กับธุรกิจทั้งหมดโดยไม่พิจารณาถึงขนาด ภาคส่วน บริบทในการประกอบกิจการ ความเป็นเจ้าของ และโครงสร้าง อย่างไรก็ตามขนาดและความซับซ้อนของวิธีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามความรับผิดชอบของภาคธุรกิจอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยที่กล่าวมาและความร้ายแรงของผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนในแต่ละธุรกิจ
15. เพื่อให้เป็นไปตามความรับผิดชอบต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนภาคธุรกิจควรจัดให้มีนโยบายหรือกระบวนการที่เหมาะสมกับขนาดและสภาพแวดล้อมของธุรกิจ ซึ่งรวมถึง
(a) พันธกิจทางนโยบายที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามความรับผิดชอบต่อการเคารพสิทธิมนุษยชน
(b) กระบวนการประเมินผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนเพื่อหาสาเหตุ ป้องกัน ลดและสนองตอบ ต่อการแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของพวกเขา
(c) กระบวนการที่ทำให้สามารถแก้ไขเยียวยาผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนใด ๆที่พวกเขาสร้างหรือมีส่วนทำให้เกิดขึ้น

B. หลักการทางปฏิบัติ
พันธกิจทางนโยบาย
16. เพื่อเป็นพื้นฐานในการผนวกความรับผิดชอบต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ภาคธุรกิจควรแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของพวกเขาที่จะทำตามความรับผิดชอบ โดยผ่านทางถ้อยแถลงทางนโยบายซึ่ง
(a) ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสสูงสุดขององค์กรธุรกิจ
(b) ได้รับการให้ข้อมูลโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทั้งจากภายในและหรือจากภายนอก
(c) กำหนดความคาดหวังด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรสำหรับพนักงาน หุ้นส่วนทางธุรกิจและภาคีส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์กร
(d) เข้าถึงได้โดยสาธารณะและถูกสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร ต่อพนักงานทั้งหมด หุ้นส่วนธุรกิจและฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
(e) ถูกสะท้อนอยู่ในนโยบายทางปฏิบัติและกระบวนการที่จำเป็นเพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้รับการผนวกไว้ในทุกส่วนของธุรกิจ
การตรวจสอบประเมินการปฏิบัติตามความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชน
17. เพื่อบ่งชี้ ป้องกัน บรรเทาและให้เหตุผลต่อวิธีการที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชน ภาคธุรกิจควรดำเนินการให้มีการตรวจสอบประเมินการปฏิบัติตามความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชน กระบวนการดังกล่าวควรรวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นจริงและที่อาจเกิดขึ้นได้ บูรณาการและปฏิบัติบนข้อค้นพบ การตอบสนองต่อการสืบสวนติดตามและการสื่อสารว่าผลกระทบได้รับการแก้ไขอย่างไร การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน
(a) ควรครอบคลุมผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนที่ภาคธุรกิจอาจก่อหรือสนับสนุนให้เกิดผ่านทางกิจกรรมของธุรกิจนั้นเอง หรืออาจมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการประกอบกิจการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการโดยความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
(b) มีความหลากหลายในด้านความซับซ้อน เกี่ยวกับขนาดของธุรกิจ ความเสี่ยงของความร้ายแรงของผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน รวมถึงธรรมชาติและบริบทของการประกอบกิจการของธุรกิจนั้น
(c) ควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยตระหนักว่าความเสี่ยงต่อสิทธิมนุษยชนอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในขณะที่การประกอบกิจการและบริบทของธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง
18. เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนภาคธุรกิจควรระบุและประเมินผลกระทบเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนที่สำคัญหรือที่ชัดเจน ที่พวกเขาอาจเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะผ่านทางกิจกรรมของธุรกิจเองหรือในเป็นผลของความสัมพันธ์ทางธุรกิจ กระบวนการเหล่านี้ควร
(a) ใช้ประโยชน์จากความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนทั้งจากภายในและหรือความเชี่ยวชาญพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนที่เป

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่