เพื่อไทย ลั่น รธน.ต้องมาจากประชาชน ชงแก้กฎหมาย รัฐประหารถือเป็นกบฏ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7407812
เพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ ระบุ ชัดในกฎหมายรัฐประหาร ถือเป็นกบฏ พร้อมมุ่งแก้รธน.มาตรา 272 เลือกนายกฯ ต้องเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรค นำโดยนายชัยเกษม นิติสิริ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายจาตุรนต์ ฉายแสง และน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรค อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. ว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นรากฐานของประเทศชาติ
ต้องยอมรับว่าในประเทศเสรีประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศมีความสำคัญ ทั้งในเชิงการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม หากบ้านเมืองมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย จะส่งเสริมให้ระบบการเมืองมีความเข้มแข็ง ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีความเจริญเติบโตและพัฒนาการ ประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศก็ย่อมได้รับประโยชน์โดยทั่วถึง
แต่หากได้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และขาดการยอมรับจากประชาชน จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ดังนั้น รัฐธรรมนูญที่ดีต้องมีความเป็นประชาธิปไตยสูง มีหลักนิติรัฐนิติธรรม ต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ จะต้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และการจัดสรรอำนาจองค์กรต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่มีองค์กรใดอยู่เหนือองค์กรอื่นจนขาดการตรวจสอบการใช้อำนาจ
สถานการณ์ของประเทศในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ที่ผ่านมารัฐธรรมนูญของประเทศไทยส่วนใหญ่ มีผลพวงมาจากการรัฐประหาร ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้งการเจริญเติบโตและการพัฒนาของประเทศ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มีผลพวงมาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 และถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความต้องการสืบทอดอำนาจของ คสช. และความมีอคติทางการเมืองของผู้ร่าง และคนที่อยู่เบื้องหลัง
เนื้อหาขาดความเป็นประชาธิปไตย ที่มาก็ขาดความชอบธรรม แต่ด้วยกรอบป้องกันหรือกำแพงสูงที่ถูกสร้างขึ้น โดยกลไกรัฐธรรมนูญ แม้สมาชิกรัฐสภาและประชาชน จะพยายามร่วมกันในการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพิ่งสำเร็จครั้งแรกคือเรื่องการแก้ไขระบบเลือกตั้งเท่านั้น แต่กลไกอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคและปัญหาสำคัญยังคงไม่สามารถแก้ไขได้
พรรคเพื่อไทย มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการจัดทำหรือการให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยพรรคเสนอให้มีการจัดทำฉบับใหม่ ซึ่งยังคงรูปแบบของรัฐ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติและให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมายกร่าง
นอกจากนี้ เพื่อตัดวงจรอุบาทว์คือการรัฐประหาร พรรคมีข้อเสนอให้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่า การรัฐประหารถือเป็นกบฏ คดีไม่มีอายุความ และจะนิรโทษกรรมไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ห้ามมิให้องค์กร และหน่วยงานของรัฐยอมรับคณะรัฐประหารว่าเป็นรัฐฐาธิปัตย์ โดยให้ถือว่าหลักการดังกล่าวเป็นประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย ขอให้ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย และได้โปรดร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประสบความสำเร็จ เพื่อสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ในเบื้องต้นพรรคเพื่อไทยขอเชิญชวนพรรคการเมือง ส.ส. และส.ว. ร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล เพื่อให้การเลือกนายกรัฐมนตรีกระทำในสภาผู้แทนราษฎร ตามที่บทบัญญัติหลักกำหนดไว้ด้วยการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ควรมาด้วยกติกาที่เป็นธรรมเสมอภาค สะท้อนเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชนที่แท้จริงผ่านการเลือกตั้ง
พร้อมกับสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ให้นายกฯ มีที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและความต้องการของประชาชนจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักการสากลที่ประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วโลกได้ปฏิบัติกันมาโดยตลอด
ปธ.กสม.ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนฯ วอนตระหนักศักดิ์ศรี เสรีภาพ ยุติธรรม เคารพความเห็นต่าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718541
ปธ.กสม.ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนสากล วอนทุกฝ่ายตระหนักถึงศักดิ์ศรี เสรีภาพ ความยุติธรรม เคารพความเห็นต่าง
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม น.ส.
พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่สาร เนื่องในวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม ประจำปี 2565 มีเนื้อหาระบุว่า “
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง” ถ้อยคำดังกล่าวปรากฏในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งบัญญัติคุ้มครอง “
สิทธิมนุษยชน” ของปวงชนชาวไทยทุกคนอย่างเสมอกัน
หลักการดังกล่าวสอดรับกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ข้อ 1 ที่ระบุว่า “
มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตน มีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ” เอกสารนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญของโลกซึ่งองค์การสหประชาชาติมีมติรับรองเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) อันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายร่วมกันของนานาชาติที่ต้องการสร้างความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และนำสังคมสู่ความสงบสุขด้วยการเคารพในสิทธิของกันและกัน
วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี นอกจากจะเป็นวันสำคัญสำหรับคนไทยคือ “
วันรัฐธรรมนูญ” แล้ว จึงเป็นวันที่สำคัญยิ่งสำหรับคนทั่วโลกในฐานะ “
วันสิทธิมนุษยชน” ทั้งสองวันนี้ล้วนมีความสำคัญสอดคล้องกันด้วยเป็นวันที่หลักการสิทธิมนุษยชนได้รับการบัญญัติรับรองขึ้นอย่างเป็นทางการ
ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบในมิติต่าง ๆ ต่อกลุ่มเปราะบาง ความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองที่หลายครั้งนำไปสู่เหตุขัดแย้งรุนแรง ความสะดวกของเทคโนโลยีการสื่อสารที่เอื้อให้เกิดการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชังหรือการกลั่นแกล้งทางออนไลน์อันมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นได้โดยง่าย และความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ยังคงอยู่และเป็นเหตุให้ผู้คนมากมายยังถูกเลือกปฏิบัติและไม่ได้รับความยุติธรรม ล้วนเป็นประเด็นที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ห่วงกังวล
ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครอง ส่งเสริม เฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว กสม. มีนโยบายขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ โดยเน้นคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชน สิทธิสถานะบุคคล การขจัดการเลือกปฏิบัติ และการยุติความรุนแรงในครอบครัว ทั้งนี้ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกคน คือสิ่งสำคัญยิ่งที่จะทำให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในประเทศประสบผลได้เป็นรูปธรรม
ในโอกาสวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม ประจำปี 2565 นี้ กสม. ขอเชิญชวนทุกคนในสังคมร่วมสร้างความตระหนักในหลักสิทธิมนุษยชนภายใต้แนวคิดการรณรงค์สากลของปีนี้ คือ
“ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน” (Dignity, Freedom, and Justice for All) โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลคำนึงถึงหน้าที่ที่จะต้องเคารพ คุ้มครอง และทำให้สิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ เป็นจริงและเข้าถึงได้สำหรับคนทุกคน และขอให้สังคมตระหนักว่า สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้น ขอให้เราเคารพในสิทธิมนุษยชนของกันและกันบนเส้นทางแห่งความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ ของสังคมพหุวัฒนธรรมนี้
ภาคเอกชนพิจิตร มั่นใจ เพื่อไทยทำได้ ขึ้นค่าแรง 600 ชี้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7407890
ภาคเอกชนพิจิตร เชื่อ เพื่อไทย ทำได้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายใน 5 ปี เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชี้ ค่าแรง 300 บาทไม่เพียงพอ
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2565 นาย
ตระการ คุณาวุฒิ ประธานอดีตรองประธานหอการค้าจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า กรณีพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ตนมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยทำได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้บอกว่าจะขึ้นปีนี้หรือปีหน้า แต่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2570 ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่
นาย
ตระการ กล่าวว่า ถ้าคิดอย่างใจเป็นธรรม ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 300 กว่าบาท ถามว่ามือหนึ่งกินอาหารตามสั่งจานละ 50-60 บาท ถ้า 3 จาน ตกเท่าไหร่ และถ้ามีครอบครัวก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มันไม่เพียงพอ ดังนั้น ตนเห็นสมควรแล้วที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เพราะจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยทำได้
นาย
ตระการ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐเคยเสนอนโยบายขึ้นค่าแรง 450 บาท แต่ทำไม่ได้ จึงทำให้ประชาชนหวั่นวิตกว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท กลัวจะเป็นเหมือนพรรคพลังประชารัฐ อาจทำไม่ได้
“
ทั้งนี้ ไม่ต้องกลัวว่านักลงทุนต่างชาติจะย้ายโรงงานไปต่างประเทศ เพราะปัจจุบันค่าแรงประเทศไทยถูก เขายังย้ายไปเลยเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น ผมถือว่านโยบายพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายที่ท้าทาย เพราะเป็นการโชว์วิสัยทัศน์ในการเลือกตั้งสมัยหน้า” นาย
ตระการ กล่าว
JJNY : พท.ลั่นชงแก้ รัฐประหาร| ปธ.กสม.ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนฯ| เอกชนพิจิตรมั่นใจพท.ทำได้| ปูตินเปรย รัสเซียอาจล้มหลักการ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7407812
เนื้อหาขาดความเป็นประชาธิปไตย ที่มาก็ขาดความชอบธรรม แต่ด้วยกรอบป้องกันหรือกำแพงสูงที่ถูกสร้างขึ้น โดยกลไกรัฐธรรมนูญ แม้สมาชิกรัฐสภาและประชาชน จะพยายามร่วมกันในการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพิ่งสำเร็จครั้งแรกคือเรื่องการแก้ไขระบบเลือกตั้งเท่านั้น แต่กลไกอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคและปัญหาสำคัญยังคงไม่สามารถแก้ไขได้
พรรคเพื่อไทย มีนโยบายชัดเจนในเรื่องการจัดทำหรือการให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง โดยพรรคเสนอให้มีการจัดทำฉบับใหม่ ซึ่งยังคงรูปแบบของรัฐ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติและให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมายกร่าง
นอกจากนี้ เพื่อตัดวงจรอุบาทว์คือการรัฐประหาร พรรคมีข้อเสนอให้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่า การรัฐประหารถือเป็นกบฏ คดีไม่มีอายุความ และจะนิรโทษกรรมไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ห้ามมิให้องค์กร และหน่วยงานของรัฐยอมรับคณะรัฐประหารว่าเป็นรัฐฐาธิปัตย์ โดยให้ถือว่าหลักการดังกล่าวเป็นประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทย ขอให้ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย และได้โปรดร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประสบความสำเร็จ เพื่อสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ในเบื้องต้นพรรคเพื่อไทยขอเชิญชวนพรรคการเมือง ส.ส. และส.ว. ร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล เพื่อให้การเลือกนายกรัฐมนตรีกระทำในสภาผู้แทนราษฎร ตามที่บทบัญญัติหลักกำหนดไว้ด้วยการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ควรมาด้วยกติกาที่เป็นธรรมเสมอภาค สะท้อนเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชนที่แท้จริงผ่านการเลือกตั้ง
พร้อมกับสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ให้นายกฯ มีที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและความต้องการของประชาชนจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักการสากลที่ประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วโลกได้ปฏิบัติกันมาโดยตลอด
ปธ.กสม.ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนฯ วอนตระหนักศักดิ์ศรี เสรีภาพ ยุติธรรม เคารพความเห็นต่าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718541
ปธ.กสม.ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนสากล วอนทุกฝ่ายตระหนักถึงศักดิ์ศรี เสรีภาพ ความยุติธรรม เคารพความเห็นต่าง
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เผยแพร่สาร เนื่องในวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม ประจำปี 2565 มีเนื้อหาระบุว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง” ถ้อยคำดังกล่าวปรากฏในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งบัญญัติคุ้มครอง “สิทธิมนุษยชน” ของปวงชนชาวไทยทุกคนอย่างเสมอกัน
หลักการดังกล่าวสอดรับกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ข้อ 1 ที่ระบุว่า “มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ต่างในตน มีเหตุผลและมโนธรรม และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ” เอกสารนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญของโลกซึ่งองค์การสหประชาชาติมีมติรับรองเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) อันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมายร่วมกันของนานาชาติที่ต้องการสร้างความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และนำสังคมสู่ความสงบสุขด้วยการเคารพในสิทธิของกันและกัน
วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี นอกจากจะเป็นวันสำคัญสำหรับคนไทยคือ “วันรัฐธรรมนูญ” แล้ว จึงเป็นวันที่สำคัญยิ่งสำหรับคนทั่วโลกในฐานะ “วันสิทธิมนุษยชน” ทั้งสองวันนี้ล้วนมีความสำคัญสอดคล้องกันด้วยเป็นวันที่หลักการสิทธิมนุษยชนได้รับการบัญญัติรับรองขึ้นอย่างเป็นทางการ
ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบในมิติต่าง ๆ ต่อกลุ่มเปราะบาง ความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมืองที่หลายครั้งนำไปสู่เหตุขัดแย้งรุนแรง ความสะดวกของเทคโนโลยีการสื่อสารที่เอื้อให้เกิดการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชังหรือการกลั่นแกล้งทางออนไลน์อันมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นได้โดยง่าย และความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ยังคงอยู่และเป็นเหตุให้ผู้คนมากมายยังถูกเลือกปฏิบัติและไม่ได้รับความยุติธรรม ล้วนเป็นประเด็นที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ห่วงกังวล
ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครอง ส่งเสริม เฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว กสม. มีนโยบายขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ โดยเน้นคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชน สิทธิสถานะบุคคล การขจัดการเลือกปฏิบัติ และการยุติความรุนแรงในครอบครัว ทั้งนี้ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกคน คือสิ่งสำคัญยิ่งที่จะทำให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในประเทศประสบผลได้เป็นรูปธรรม
ในโอกาสวันสิทธิมนุษยชน 10 ธันวาคม ประจำปี 2565 นี้ กสม. ขอเชิญชวนทุกคนในสังคมร่วมสร้างความตระหนักในหลักสิทธิมนุษยชนภายใต้แนวคิดการรณรงค์สากลของปีนี้ คือ “ศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความยุติธรรมสำหรับทุกคน” (Dignity, Freedom, and Justice for All) โดยขอเรียกร้องให้รัฐบาลคำนึงถึงหน้าที่ที่จะต้องเคารพ คุ้มครอง และทำให้สิทธิมนุษยชนด้านต่าง ๆ เป็นจริงและเข้าถึงได้สำหรับคนทุกคน และขอให้สังคมตระหนักว่า สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้น ขอให้เราเคารพในสิทธิมนุษยชนของกันและกันบนเส้นทางแห่งความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ ของสังคมพหุวัฒนธรรมนี้
ภาคเอกชนพิจิตร มั่นใจ เพื่อไทยทำได้ ขึ้นค่าแรง 600 ชี้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7407890
ภาคเอกชนพิจิตร เชื่อ เพื่อไทย ทำได้ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายใน 5 ปี เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชี้ ค่าแรง 300 บาทไม่เพียงพอ
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2565 นายตระการ คุณาวุฒิ ประธานอดีตรองประธานหอการค้าจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า กรณีพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ตนมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยทำได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทยไม่ได้บอกว่าจะขึ้นปีนี้หรือปีหน้า แต่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2570 ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่
นายตระการ กล่าวว่า ถ้าคิดอย่างใจเป็นธรรม ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 300 กว่าบาท ถามว่ามือหนึ่งกินอาหารตามสั่งจานละ 50-60 บาท ถ้า 3 จาน ตกเท่าไหร่ และถ้ามีครอบครัวก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มันไม่เพียงพอ ดังนั้น ตนเห็นสมควรแล้วที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เพราะจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยทำได้
นายตระการ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐเคยเสนอนโยบายขึ้นค่าแรง 450 บาท แต่ทำไม่ได้ จึงทำให้ประชาชนหวั่นวิตกว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาท กลัวจะเป็นเหมือนพรรคพลังประชารัฐ อาจทำไม่ได้
“ทั้งนี้ ไม่ต้องกลัวว่านักลงทุนต่างชาติจะย้ายโรงงานไปต่างประเทศ เพราะปัจจุบันค่าแรงประเทศไทยถูก เขายังย้ายไปเลยเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น ผมถือว่านโยบายพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายที่ท้าทาย เพราะเป็นการโชว์วิสัยทัศน์ในการเลือกตั้งสมัยหน้า” นายตระการ กล่าว