เพื่อไทย อัดรัฐเอื้อนายทุน บริหารงานผิดพลาด หารายได้เข้าประเทศไม่เป็น ผลักภาระผู้ประกอบการ แบกค่าไฟสูงกว่าเพื่อนบ้าน
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2565 นาย
กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย เขต 1 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีผลการประชุมของรัฐบาลเพื่อสรุปอัตราค่าไฟและค่า FT ในงวด ม.ค. – เม.ย. 2566 โดยขึ้นค่าไฟในภาคธุรกิจเป็น 5.69 บาทต่อหน่วย พร้อมยังต้องใช้หนี้ให้ EGAT ว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับรัฐบาลที่หารายได้เข้าประเทศไม่เป็น และยังต้องดูแลทุนใหญ่ การเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มรายได้ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายกลไกที่สำคัญที่สุดก็คือภาคธุรกิจรายย่อย ซึ่งกำลังจะถูกทำร้ายรายวันกับต้นทุนที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่มาจากการบริหารงานที่ผิดพลาด และการไม่เข้าใจโครงสร้างของเศรษฐกิจในภาพรวม มิหนำซ้ำยังต้องเอื้อนายทุน
นาย
กฤษฎา กล่าวต่อว่า วันนี้ภาคอุตสาหกรรม นักลงทุน และภาคธุรกิจ กำลังเริ่มฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจ รัฐบาลแต่ละประเทศต่างพยายามช่วยผู้ประกอบการในการประคับประคองให้กลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้ หากภาคธุรกิจดี การจัดเก็บภาษีของภาครัฐก็สามารถที่จะกลับมาสู่ภาวะปกติได้เช่นกัน หากคิดในมุมของภาษี ภาครัฐก็เหมือนผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัท ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหน อยากเห็นบริษัทตัวเองเจ๊ง ดังนั้นวันนี้อะไรที่ช่วยได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะของเรื่องต้นทุนการผลิต เช่น ค่าไฟ ค่าขนส่ง ค่าน้ำมัน ค่าดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ในความดูแลของภาครัฐทั้งนั้น
นาย
กฤษฎา กล่าวอีกว่า วันนี้ค่าไฟในประเทศถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังถือว่าสูงกว่าพอสมควร ทั้งที่เราเองมีความต้องการใช้มากกว่า มิหนำซ้ำยังสามารถผลิตเองได้เกินปริมาณความต้องการใช้ แต่ที่แปลกคือค่าไฟเราก็ยังสูงกว่า แปลว่าวันนี้นโยบายภาครัฐด้านพลังงานต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติ การวางโครงสร้างต้นทุนพวกนี้ บวกกับการบริหารที่เข้าใจภาวะเศรษฐกิจโลก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่ผู้นำประเทศจะต้องรู้ โดยเฉพาะผู้นำที่ดูแลด้านเศรษฐกิจโดยตรง สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงอนาคตของประเทศ
นาย
กฤษฎา กล่าวต่อว่า การที่นักลงทุนจากต่างประเทศจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือเข้าไปลงทุนในประเทศหนึ่งประเทศใด มีหลายปัจจัยที่จะต้องเอามารวมเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่หากเรายังบริหารต้นทุนด้านการผลิตแบบนี้ และยังไม่เข้าใจภาพรวมในการที่จะดึงคนเข้ามา เกรงว่าแทนที่จะดึงเข้า กลับกลายเป็นคนของเราเองจะออกไปลงทุนที่อื่นด้วย ซึ่งจริงๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว
“
ค่าไฟเป็นเพียงแค่ต้นทุนและปัจจัยหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน แต่วันนี้มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่ว่าหากรัฐบาลตัดสินใจกับเรื่องๆ หนึ่งอย่างไร กับเรื่องอื่นๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจแบบนั้น ดังนั้นหากรัฐบาลยังดูแลค่าไฟให้ผู้ประกอบการและประชาชนไม่ได้ เกรงว่าอนาคตต้นทุนอื่นๆ ก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกัน” นายกฤษฎา กล่าว
เพื่อไทยแจ้งจับ ‘ทิพานัน’ รองโฆษก รบ.ใส่ร้ายพรรค ระบุออกนโยบายหวังโกง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3726632
พท.แจ้งความเอาผิดอาญา-ร้อง กกต. “ทิพานัน” เหตุใส่ร้ายพรรค ออกนโยบายคิดใหญ่ โกงเป็น
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม น.ส.
ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.ได้ดำเนินคดีเอาผิดกับ น.ส.
ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังเผยแพร่ข่าวผ่านเว็บไซต์รัฐบาลไทย www.thaigov.go.th ระบุว่า ‘
ทิพานัน ห่วงเพื่อไทยเปิดนโยบาย ซ้ำรอยอดีต คิดใหญ่ โกงเป็น จี้หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี ยกผลประกอบธุรกิจตระกูลชินวัตร ตอกกลับขณะที่ภาคธุรกิจ 112 องค์กรจ่อขึ้นเงินเดือน’ โดยใช้ถ้อยคำในลักษณะที่ทำให้ผู้เห็นและอ่านข้อความ มีความเข้าใจว่าพรรค พท.เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ดี คิดทำนโยบายเรื่องใหญ่เพื่อหวังจะโกงหรือทุจริต ซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น
น.ส.
ตรีชฎากล่าวต่อว่า พรรค พท.จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.
ทิพานัน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กรณีนำเสนอข่าวดังกล่าว ทำให้พรรค พท.ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
น.ส.
ตรีชฎากล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.ยังได้ยื่นคำร้องต่อประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ดำเนินการสืบสวนและไต่สวน และดำเนินคดีกับ น.ส.
ทิพานัน ตามมาตรา 169 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ 2561 เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 73 (5) เป็นความผิดตามมาตรา 159 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ 2561 เนื่องจากการกระทำของ น.ส.
ทิพานัน เป็นการเจตนาใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครและพรรค พท. และจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งงดเว้นการลงคะแนนให้กับผู้สมัครและพรรค พท.
“
การวิพากษ์วิจารณ์แนวนโยบายอย่างสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่สังคมสามารถทำได้ แต่ที่ผ่านมา น.ส.ทิพานัน ได้เผยแพร่ข่าวในลักษณะที่สร้างความเสียหายและความเข้าใจผิดต่อพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง แม้พรรคจะชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง และเตือนว่าให้ระมัดระวังอย่าพูดจาอะไรที่ล้ำเส้น แต่ น.ส.ทิพานันยังไม่หยุด พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การเป็นนักการเมืองและเป็นสมาชิกพรรคการเมือง มีส่วนได้เสียโดยตรง ควรมุ่งหวังไปที่การหาวิธีการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน แก้ปัญหาที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่ ไม่ใช่เอาแต่ใส่ร้ายทางการเมืองกันแบบนี้” น.ส.
ตรีชฎากล่าว
“ณัฐวุฒิ” กะซวก “บิ๊กตู่” ไร้สำนึกรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภา คิดแต่จะรักษาอำนาจ
https://www.matichon.co.th/clips/news_3727178
“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผู้อำนวยการครอบครับเพื่อไทย จัดหนัก จัดเต็ม พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภา คิดแต่จะรักษาอำนาจต่อไปอย่างไร ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
“ก้าวไกล” โวย “ดีอีเอส” ออกประกาศกระทรวงฯลักไก่ ให้อำนาจลบข้อมูลโซเชียลใน 24 ชม.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7415317
“ก้าวไกล” โวย “ดีอีเอส” ออกประกาศกระทรวงฯลักไก่ ปิดปากปชช. ให้อำนาจลบข้อมูลโซเชียลภายใน 24 ชม. แบบไร้การโต้แย้ง จ่อ เรียก “ชัยวุฒิ” แจง
เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 15 ธ.ค.65 ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร และ นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล แถลงถึงประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ว่า ประชาชนสงสัยต่อประกาศฉบับนี้ที่มีเนื้อหาควบคุมข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดีย
โดยเฉพาะกรณีที่ถ้าหากกระทรวงดีอีเอสเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รมว.ดีอีเอส มีอำนาจสั่งให้ลบข้อมูลได้ ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงสิทธิเสรีภาพในการใช้พื้นที่ของประชาชน เพื่อใช้ตามล่าหาความจริง และบางครั้งพื้นที่เหล่านี้ก็ทำให้ปัญหาสังคมคลี่คลายลงได้
นาย
ณัฐชา กล่าวต่อว่า ตามประกาศนี้รมว.ดีอีเอสมีอำนาจสั่งลบข้อมูลใดๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องสอบถามความจริงใดๆก่อน ดังนั้น ตนและพรรคก้าวไกลไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เพราะเป็นการเพิ่มเคี้ยวเล็บให้กับพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.คอมพ์) ด้วย จึงจะเชิญนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อคณะกมธ. ในวันที่ 22 ธ.ค. นี้
ด้าน นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชัดเจนว่า รมว.ดีอีเอส ส่วนใหญ่ใช้อำนาจรัฐควบคุมประชาชน และเมื่อมีประกาศฉบับนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่ามีการลักไก่และปิดปากประชาชนมากขึ้น เพราะสามารถลบข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ข้อมูลเท็จ และข้อมูลลามกอนาจาร ตามแฟลตฟอร์มต่างๆภายใน 24 ชั่วโมง
อีกทั้งยังไม่เปิดช่องให้เจ้าของข้อมูลชี้แจงโต้แย้งใดๆ ดังนั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และต้องการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา รมว.ดีอีเอสก็สามารถใช้อำนาจตามประกาศฉบับนี้ได้เลย ซึ่งเห็นว่าประกาศดังกล่าวอาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อ 9 ของประกาศกระทรวงฯ มีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา29 เพราะได้รับรองสิทธิว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่กลายเป็นว่าข้อ9 ของประกาศนี้ระบุชัดเจนว่า ถ้าเจ้าของแฟลตฟอร์มไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ให้สันนิษฐานไว้ว่าแฟลตฟอร์มนั้นกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา15
JJNY : 5in1 พท.อัดรัฐเอื้อนายทุน│พท.แจ้งจับ‘ทิพานัน’│“ณัฐวุฒิ”กะซวก“ตู่”│“ก้าวไกล”โวยดีอีเอส│UN ขวางผู้แทนรบ.ทหารเมียนมา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7415505
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2565 นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย เขต 1 พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีผลการประชุมของรัฐบาลเพื่อสรุปอัตราค่าไฟและค่า FT ในงวด ม.ค. – เม.ย. 2566 โดยขึ้นค่าไฟในภาคธุรกิจเป็น 5.69 บาทต่อหน่วย พร้อมยังต้องใช้หนี้ให้ EGAT ว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับรัฐบาลที่หารายได้เข้าประเทศไม่เป็น และยังต้องดูแลทุนใหญ่ การเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มรายได้ แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายกลไกที่สำคัญที่สุดก็คือภาคธุรกิจรายย่อย ซึ่งกำลังจะถูกทำร้ายรายวันกับต้นทุนที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่มาจากการบริหารงานที่ผิดพลาด และการไม่เข้าใจโครงสร้างของเศรษฐกิจในภาพรวม มิหนำซ้ำยังต้องเอื้อนายทุน
นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า วันนี้ภาคอุตสาหกรรม นักลงทุน และภาคธุรกิจ กำลังเริ่มฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจ รัฐบาลแต่ละประเทศต่างพยายามช่วยผู้ประกอบการในการประคับประคองให้กลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้ หากภาคธุรกิจดี การจัดเก็บภาษีของภาครัฐก็สามารถที่จะกลับมาสู่ภาวะปกติได้เช่นกัน หากคิดในมุมของภาษี ภาครัฐก็เหมือนผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัท ไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหน อยากเห็นบริษัทตัวเองเจ๊ง ดังนั้นวันนี้อะไรที่ช่วยได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะของเรื่องต้นทุนการผลิต เช่น ค่าไฟ ค่าขนส่ง ค่าน้ำมัน ค่าดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ในความดูแลของภาครัฐทั้งนั้น
นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า วันนี้ค่าไฟในประเทศถ้าเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังถือว่าสูงกว่าพอสมควร ทั้งที่เราเองมีความต้องการใช้มากกว่า มิหนำซ้ำยังสามารถผลิตเองได้เกินปริมาณความต้องการใช้ แต่ที่แปลกคือค่าไฟเราก็ยังสูงกว่า แปลว่าวันนี้นโยบายภาครัฐด้านพลังงานต้องมีบางอย่างที่ผิดปกติ การวางโครงสร้างต้นทุนพวกนี้ บวกกับการบริหารที่เข้าใจภาวะเศรษฐกิจโลก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่ผู้นำประเทศจะต้องรู้ โดยเฉพาะผู้นำที่ดูแลด้านเศรษฐกิจโดยตรง สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงอนาคตของประเทศ
นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า การที่นักลงทุนจากต่างประเทศจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือเข้าไปลงทุนในประเทศหนึ่งประเทศใด มีหลายปัจจัยที่จะต้องเอามารวมเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่หากเรายังบริหารต้นทุนด้านการผลิตแบบนี้ และยังไม่เข้าใจภาพรวมในการที่จะดึงคนเข้ามา เกรงว่าแทนที่จะดึงเข้า กลับกลายเป็นคนของเราเองจะออกไปลงทุนที่อื่นด้วย ซึ่งจริงๆ เกิดขึ้นมานานแล้ว
“ค่าไฟเป็นเพียงแค่ต้นทุนและปัจจัยหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน แต่วันนี้มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่ว่าหากรัฐบาลตัดสินใจกับเรื่องๆ หนึ่งอย่างไร กับเรื่องอื่นๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจแบบนั้น ดังนั้นหากรัฐบาลยังดูแลค่าไฟให้ผู้ประกอบการและประชาชนไม่ได้ เกรงว่าอนาคตต้นทุนอื่นๆ ก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกัน” นายกฤษฎา กล่าว
เพื่อไทยแจ้งจับ ‘ทิพานัน’ รองโฆษก รบ.ใส่ร้ายพรรค ระบุออกนโยบายหวังโกง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3726632
พท.แจ้งความเอาผิดอาญา-ร้อง กกต. “ทิพานัน” เหตุใส่ร้ายพรรค ออกนโยบายคิดใหญ่ โกงเป็น
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.ได้ดำเนินคดีเอาผิดกับ น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังเผยแพร่ข่าวผ่านเว็บไซต์รัฐบาลไทย www.thaigov.go.th ระบุว่า ‘ทิพานัน ห่วงเพื่อไทยเปิดนโยบาย ซ้ำรอยอดีต คิดใหญ่ โกงเป็น จี้หยุดวาทกรรมเศรษฐกิจไม่ดี ยกผลประกอบธุรกิจตระกูลชินวัตร ตอกกลับขณะที่ภาคธุรกิจ 112 องค์กรจ่อขึ้นเงินเดือน’ โดยใช้ถ้อยคำในลักษณะที่ทำให้ผู้เห็นและอ่านข้อความ มีความเข้าใจว่าพรรค พท.เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ดี คิดทำนโยบายเรื่องใหญ่เพื่อหวังจะโกงหรือทุจริต ซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น
น.ส.ตรีชฎากล่าวต่อว่า พรรค พท.จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ทิพานัน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กรณีนำเสนอข่าวดังกล่าว ทำให้พรรค พท.ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
น.ส.ตรีชฎากล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ฝ่ายกฎหมายของพรรค พท.ยังได้ยื่นคำร้องต่อประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ดำเนินการสืบสวนและไต่สวน และดำเนินคดีกับ น.ส.ทิพานัน ตามมาตรา 169 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ 2561 เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 73 (5) เป็นความผิดตามมาตรา 159 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.พ.ศ 2561 เนื่องจากการกระทำของ น.ส.ทิพานัน เป็นการเจตนาใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครและพรรค พท. และจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งงดเว้นการลงคะแนนให้กับผู้สมัครและพรรค พท.
“การวิพากษ์วิจารณ์แนวนโยบายอย่างสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่สังคมสามารถทำได้ แต่ที่ผ่านมา น.ส.ทิพานัน ได้เผยแพร่ข่าวในลักษณะที่สร้างความเสียหายและความเข้าใจผิดต่อพรรคเพื่อไทยหลายครั้ง แม้พรรคจะชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง และเตือนว่าให้ระมัดระวังอย่าพูดจาอะไรที่ล้ำเส้น แต่ น.ส.ทิพานันยังไม่หยุด พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การเป็นนักการเมืองและเป็นสมาชิกพรรคการเมือง มีส่วนได้เสียโดยตรง ควรมุ่งหวังไปที่การหาวิธีการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน แก้ปัญหาที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่ ไม่ใช่เอาแต่ใส่ร้ายทางการเมืองกันแบบนี้” น.ส.ตรีชฎากล่าว
“ณัฐวุฒิ” กะซวก “บิ๊กตู่” ไร้สำนึกรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภา คิดแต่จะรักษาอำนาจ
https://www.matichon.co.th/clips/news_3727178
“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ผู้อำนวยการครอบครับเพื่อไทย จัดหนัก จัดเต็ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภา คิดแต่จะรักษาอำนาจต่อไปอย่างไร ติดตามรายละเอียดจากคลิปด้านล่างนี้
“ก้าวไกล” โวย “ดีอีเอส” ออกประกาศกระทรวงฯลักไก่ ให้อำนาจลบข้อมูลโซเชียลใน 24 ชม.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7415317
“ก้าวไกล” โวย “ดีอีเอส” ออกประกาศกระทรวงฯลักไก่ ปิดปากปชช. ให้อำนาจลบข้อมูลโซเชียลภายใน 24 ชม. แบบไร้การโต้แย้ง จ่อ เรียก “ชัยวุฒิ” แจง
เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 15 ธ.ค.65 ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล แถลงถึงประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เรื่องขั้นตอนการแจ้งเตือน การระงับการทำให้แพร่หลายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ และการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ ว่า ประชาชนสงสัยต่อประกาศฉบับนี้ที่มีเนื้อหาควบคุมข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดีย
โดยเฉพาะกรณีที่ถ้าหากกระทรวงดีอีเอสเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รมว.ดีอีเอส มีอำนาจสั่งให้ลบข้อมูลได้ ภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงสิทธิเสรีภาพในการใช้พื้นที่ของประชาชน เพื่อใช้ตามล่าหาความจริง และบางครั้งพื้นที่เหล่านี้ก็ทำให้ปัญหาสังคมคลี่คลายลงได้
นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ตามประกาศนี้รมว.ดีอีเอสมีอำนาจสั่งลบข้อมูลใดๆ ก็ได้ โดยไม่ต้องสอบถามความจริงใดๆก่อน ดังนั้น ตนและพรรคก้าวไกลไม่อาจนิ่งนอนใจได้ เพราะเป็นการเพิ่มเคี้ยวเล็บให้กับพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.คอมพ์) ด้วย จึงจะเชิญนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อคณะกมธ. ในวันที่ 22 ธ.ค. นี้
ด้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาชัดเจนว่า รมว.ดีอีเอส ส่วนใหญ่ใช้อำนาจรัฐควบคุมประชาชน และเมื่อมีประกาศฉบับนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่ามีการลักไก่และปิดปากประชาชนมากขึ้น เพราะสามารถลบข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ข้อมูลเท็จ และข้อมูลลามกอนาจาร ตามแฟลตฟอร์มต่างๆภายใน 24 ชั่วโมง
อีกทั้งยังไม่เปิดช่องให้เจ้าของข้อมูลชี้แจงโต้แย้งใดๆ ดังนั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และต้องการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา รมว.ดีอีเอสก็สามารถใช้อำนาจตามประกาศฉบับนี้ได้เลย ซึ่งเห็นว่าประกาศดังกล่าวอาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ข้อ 9 ของประกาศกระทรวงฯ มีความสุ่มเสี่ยงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา29 เพราะได้รับรองสิทธิว่าผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แต่กลายเป็นว่าข้อ9 ของประกาศนี้ระบุชัดเจนว่า ถ้าเจ้าของแฟลตฟอร์มไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ให้สันนิษฐานไว้ว่าแฟลตฟอร์มนั้นกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา15