“...ความโอหังของพุทธอิสระ..." /วัชรานนท์

พุทธอิสระโพสต์ลงในเฟสบุ๊คของตัวเองวันที่ ๑๖ เมื่อสองวันที่ผ่านมาว่า “ไม่ใช่กิจสงฆ์”  คือเขาประเดิมยกอ้าง “พุทธกิจ” ของพระพุทธเจ้ามาก่อนเป็นอันดับแรก(เข้าใจเล่น)  แล้วตามด้วย “กิจ” ของเหล่าพระสงฆ์ดังๆ ที่มีคนนับถือยกย่องประมาณว่าเป็น “ฮีโร่” ในอดีตเช่น พระวันรัต ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรมรังสี) หรืออาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน   พุทธอิสระยกเอาวีรกรรมของท่านเหล่านั้นขึ้นมาแล้วตบท้ายในเชิงคำถามว่า “นี่ไม่ใช่กิจสงฆ์”   เพื่อที่จะโยงเข้าหาการกระทำของตัวเองในอดีตและปัจจุบัน ....ได้อ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าเห็นจะเฉยไม่ได้  https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10155051249228446


การกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าให้พระโมคัลลานะไปทำน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรมให้ชาวโกสัมพีนี่....เป็นการกล่าวหาที่สาหัสสากรรมากๆ  คือนอกจากจะกล่าวหาพระพุทธเจ้าแล้ว  ตัวพุทธอิสระเองก็เปลือยกายตัวเองล่อนจ้อนให้เห็นหมด  บ่งชี้ให้เห็นถึงการเป็นพระแบบปลอมๆ ของพุทธอิสระได้อย่างเด่นชัด  ทั้งคัมภีร์ไม่เคยศึกษา   วันๆ เอาแต่เรื่อง "การเมือง" มาสุมใส่หัว

ตู่พระพุทธเจ้าอย่างไร??
๑. ในพระสุตันตปิฏก “สามัญญผลสูตร” ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าการพ่นน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์นั้น  พระภิกษุไม่ควรปฏิบัติและเป็นเดรัจฉานวิชา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919&pagebreak=0#120 พระพุทธเจ้าย่อมไม่ประพฤติหรือสนับสนุนคนอื่นให้ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงประณามว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์และไม่ใช่หนทางดับทุกข์แน่ๆ...พุทธอิสระเข้าใจเสียให้ถูก

๒. ผมมั่นใจว่าพุทธอิสระจำมาผิดทั้งเพ  เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดที่เมืองโกสัมพี   แต่เป็นเมืองเวสาลีและไม่เกี่ยวอะไรกับพระโมคัลลานะแต่เป็นพระอานนท์  เรื่องย่อๆ มีดังนี้   ชาวเมืองเวสาลี(ไม่ใช่โกสัมพี)เกิดภัยพิบัติแห้งแล้งประชาชนล้มป่วยเป็นอันมาก  พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปโปรดแล้วฝนก็ตกห่าใหญ่  ทรงโปรดให้พระอานนท์(ไม่ใช่พระโมคัลลานะ)ท่องจำพระรัตนสูตรนี้แล้วเดินเข้าในเมืองเวสาลี อะไรประมาณนี้   ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองโกสัมพี  พระโมคัลลานะ และน้ำมนต์อย่างที่พุทธอิสระอ้างเพื่อที่จะโยงเข้าหาการกระทำของตนว่า “ชอบธรรม” แล้ว  เพราะขนาดระดับพระพุทธเจ้ายังเคยกระทำมาก่อนอะไรประมาณนี้....หมอนี่นับวันชักจะโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ



สมเด็จพุทธาจารย์ (โต พรมรังสี)
กรณีสมเด็จโตจุดคบเพลิงเข้าวัง(ประท้วงร.๔)นี้   เป็นเหตุการณ์ที่ยกอ้างกันบ่อยมากและหลายแง่มุมหลายเวอร์ชั่น   พุทธอิสระเองก็ไม่พลาดที่จะนำมาอ้างแล้วพยายามโยงเข้าหาตัวเอง  โดยถามตบท้ายด้วยประโยคให้ฉงนว่า “นี่ก็ไม่ใช่กิจสงฆ์”  โถ...สมเด็จโตท่านออกจะดังและขลังขนาดนั้น   ขืนให้ชาวบ้านชาวช่องไปว่าสิ่งที่ท่านทำว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ดูสิ....บาปกินหัว         สำหรับผม....บอกชัดเปรี้ยงได้อย่างไม่ต้องคิดว่า  การกระทำของสมเด็จพุฒาจารย์(โต)ไม่ใช่กิจสงฆ์อย่างแน่นอน  และรวมไปถึงเรื่องการสร้างพระ(สมเด็จ)  นั่งปลุกเสกอะไรประเภทนั้นด้วย   ไม่ใช่กิจสงฆ์แน่ๆ  



อาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน
พุทธอิสระบอกว่า "ท่านอาจารย์ธรรมโชติในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทำการฝึกอบรมชาวบ้านให้เป็นทหารอาสา สร้างกองกำลังสู้รบกับพม่าเพื่อปกป้องแผ่นดิน นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์”    มาอีกแระ...เรื่องต่อสู้ปกป้องแผ่นดิน   การต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินถือเป็นเรื่องดี...ตรงนี้ไม่เถียง     แต่ก็ต้องแยกแยะเสียบ้างว่านั่นเป็นเรื่องของโลกิยะ...เป็นเรื่องของการปรุงแต่งจิตด้วย ลาภะ โทสะ และโมหะ   ส่วนการเป็นพระสงฆ์นั้นอยู่ในโลกแห่ง​ “โลกุตะระ”   ควรที่จะข่มแล้วกำจัดเสียซึ่งลาภะ โทสะ และโมหะ     ถามว่าสิ่งที่พระอาจารย์ธรรมโชติทำนั้นเป็นกิจของสงฆ์ไหม?.....ก็ไม่ใช่ทั้งเพเลยล่ะ(พระบร้าอะไร? จะมาสอนให้คนอื่นจับดาบไปฆ่าคนอื่น  หรือพระบร้าอะไร? ยินดีที่เห็นคนอื่นเอาปืนใส่ถุงป็อปคอร์นเที่ยวไปไล่ยิงชาวบ้าน)     เปรียบเทียบให้เห็นจะๆ ในยุคเดียวกันและเหตุการณ์เดียวกันเลย...คือยุคที่พม่ายกทัพมาโจมตีกรุงศรีที่มีอาจารย์ธรรมโชติสู้อุตส่าห์ฝึกทหารสู้กับพม่าปกป้องแผ่นดินนั่นแหละ    อีกทางหนึ่ง....พระอีกรูปหนึ่งคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร  ท่านเคยเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน  ต่อมาก็ยกบัลลังก์ให้พระเชษฐาแล้วพระองค์ก็ออกผนวช   เมื่อพม่ายกทัพมาครั้งแรก(ศึกอะลองพญา) พระองค์(สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร)ก็ทรงลาผนวชออกมาต่อสู้ปกป้องแผ่นดินช่วยพระเชษฐา(พระเจ้าเอกทัศน์)จนพม่าถอยทัพกลับไป   ท่านไม่ได้ทำให้ผ้า "กาสาวพัตร์" ต้องมีมลทินแม้แต่น้อย     เสร็จศึกแล้วพระองค์ก็ทรงออกผนวชต่ออีก(จนชาวบ้านเรียกพระองค์ว่า “ขุนหลวงหาวัด”)   เมื่อพม่ายกทัพกลับมาอีกครั้ง....พระเจ้าเอกทัศน์(พระเชษฐา)ก็ไปขอความช่วยเหลือจากท่านอีก   แต่คราวนี้ท่านไม่ประสงค์ที่จะลาผนวช  และท่านก็ปฏิบัติธรรมของท่านไปอย่างปรกติท่ามกลางเสียงดาบ เสียงปืนใหญ่และคาวเลือด   จนกรุงศรีต้องเสียกรุงครั้งที่สอง   ตัวท่านเองก็ทรงถูกพม่าควบคุมตัวไปยังพม่าในขณะที่เป็นสมณะเพศและมรณภาพที่นั่น    ตรงนี้...จึงอยากถามพุทธอิสระว่ามองกรณีของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรพระกับอาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจันในมุมมองของ "ความเป็นพระ" ของทั้งสองท่านว่าอย่างไร?  


ครูบาศรีวิชัย
อันนี้ผมขอข้ามไปเลยนะครับ  เพราะไม่อยากลงรายละเอียดมากนัก(เกรงจะกระทบถึงความปลอดภัยต่อล็อคอินผม)  ถ้าจะถกกันจริงๆ เรื่องนี้ยาวมาก   และอย่าหาว่าอวดตัวอะไรเลย... ผมเชื่อว่า...พุทธอิสระรู้กรณีครูบาศรีวิชัยไม่ถึงครึ่งที่ผมรู้แน่ๆ ผมจึงขอข้าม


ข้อความในเฟสบุ๊คของพุทธอิสระยาว  สุดท้ายก็มาขมวดท้ายรำพึงรำพันว่า :-
พุทธะอิสระไปช่วยเหลือพี่น้องทางใต้ที่ประสบภัยสึนามิ ด้วยการช่วยสร้างบ้านซ่อมเรือนับสิบๆ หลัง นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระจัดประชุม พุทธ-อิสลามจากสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสันติ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระออกตระเวนทำโรงครัวเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปี ๕๔-๕๕ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระขอพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ ทรงผนวชของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙ เพื่อถวายทุกวัดทั่วประเทศจำนวน ๓๕,๐๐๐ วัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์




ไม่ใช่เลยครับ...เหล่านั้นไม่ใช่กิจสงฆ์แต่เป็นกิจของบ้านเมืองล้วนๆ แต่คุณไปเผือกเอง  แล้วยังจะมาบ่นหาพระแสงคาบค่ายอะไรอีกล่ะครับ??    “บางคน” แค่เขาชอบ “ไก่ชน”...เขายังละอายแก่ใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรประพฤติเขายังสึกออกมา    แต่บางคนนี่กระเหี้ยนกระหือรืออยากโลดแล่นบนเวทีทางการเมือง....ก็ได้แต่อาศัยศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อผ้าเหลืองโลดแล่นไปวันๆ..........
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
คน ๆ นี้  เป็นคนที่ "หวังสูง"  มีแผนการอุบาทว์ในใจ
เรียกว่า  อกุศลมูลพอกเต็มตัว  ถึงขนาดซ่อนไม่มิด
อาศัยการ "ท่อง"  แล้วทำเป็นอวดรู้  ลึกล้ำในธรรม  หลอกสั่งสอนคนโง่ให้งมงายเชื่อถือ

อ้างอวดตนว่ารักษาพระธรรมวินัย  แต่ความจริงคือ การหอบพระธรรมวินัยมาเร่ขายหากินเท่านั้นเอง


ข้อความทำนองนี้  จะได้เห็นบ่อย  ทั้งทางวาจา และทางเฟซบุค

พุทธะอิสระขอพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ ทรงผนวชของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙ เพื่อถวายทุกวัดทั่วประเทศจำนวน ๓๕,๐๐๐ วัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์

(หรือการอวดอ้างบ่อย ๆ ว่า  สังฆราชองค์ก่อนเสด็จไปหาถึงวัดสองสามครั้ง)

เสียงทาร์ซานลั่นก้องป่า
หวังสูงจนต้องแสดงออกบ่อย ๆ  กลัวไม่เข้าตากรรมการ



คนพาลนั้น  ดูง่าย   คือมักชี้นิ้วใส่คนอื่นว่าชั่ว
แม้ตัวเองทำชั่ว  ก็อ้างว่าทำชั่วเพื่อทำลายชั่ว จำเป็นต้องชั่ว

ทำตัวไม่มุ่งในเรื่องยศช้างขุนนางพระ
แต่โทษทีเหอะ  ใครไม่รู้ ก็ต้องคิดว่าหมอนี่คือเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย
และพฤติการณ์ที่แสดงออก  ก็คือ วางตนเป็น "ผู้บัญชาการ"  ควบคุมทุกอย่าง แต่อ้างไม่ปรารถนาในตำแหน่ง

เห็นหมอนี่ทำทีเป็นผู้ทรงศีลทีไร  คิดถึงการ์ตูนวาดพระนั่งสมาธิเห็นสาวนุ่งน้อยห่มน้อยทุกที


สำหรับคน ๆ นี้  หากไม่มีอันเป็นไปก่อน   จะได้เห็น "เนื้อแท้" หลุดลอกออกมาชัด ๆ ในอีกไม่นานนี่แหละครับ
มันอั้นไม่มิดหรอก

ที่เห็น ๆ อยู่ทุกวันนี้  แค่เปลือกที่ลอกออกมาจาก "วาสนา" เท่านั้นเอง
ถีบขาคู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่