ไม่ได้เขียนเรื่องสั้นมานานครับ ฝืดมากกว่าจะไต่ไปได้ทีละย่อหน้า เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว(กระมัง) แนว SONG982 นั้นแล
อ่านแล้วรู้สึกคิดเห็นอย่างไร พร้อมน้อมรับด้วยความเต็มใจครับผม
------------------------------------------------------------------
เรื่องสั้น 3 ตอนจบ
นางฟ้า
ตอนที่ 1
“ฉันไม่สบายใจเลยนะพี่ปรง...” นวลชำเลืองมองสามี อยากพูดมากกว่านั้น แต่ท่าทางเขาตอนนี้ก็เคร่งเครียด จนไม่น่าจะช่วยแบกรับความวิตกกังวลใดๆ ของหล่อนได้อีกแล้ว
“นวลรอในรถนี้ละ พี่เข้าไปประเดี๋ยวเดียว” เขาเอ่ยขึ้น คล้ายไม่ได้ยินประโยคของหล่อนเมื่ออึดใจก่อนหน้า แววตาที่หันกลับมาสบตา มันระคนปนเปด้วยสารพัดความรู้สึก ทุกข์ โศก หรือกระทั่งความอาฆาตแค้น
ปรงเลื่อนมือมากุมมือภรรยา บีบเบาๆ ทั้งที่มือเขาก็เย็นเฉียบ นวลจึงใช้อีกมือกุมทับ ยิ้มให้กำลังใจ “ฉันจะรอ พี่รีบมานะ”
ทั้งที่ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก แค่ไปขอปันกล้วยน้ำว้าไหว้ศพหวีนั้นออกมา กับแค่เดนบูชาผี ใครเขาจะหวงห้าม แต่สิ่งที่หล่อนรู้อยู่แก่ใจ มันยังตามหลอกหลอนอยู่ไม่จบสิ้น
ลูกสาวนวลตายไปแล้วหลายเดือน ตายทั้งที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เจ็ดแปดวัน ตายเพราะความรักหนักหนา พาขึ้นมาให้นอนกลาง จะได้ผลัดกันกับสามีช่วยประคบประหงม ปรงก็มีท่าว่ารักลูกสาวคนแรกนี้ แบบไม่มีเงื่อนไขใดเคลือบแฝง ทั้งที่ทั้งคู่ยังไม่แน่ใจว่าใช่ผลผลิตจากน้ำยาของเขาจริงๆ หรือเปล่า
เช้าวันนั้น มีลูกน้อยนอนกลางดั่งเคย นวลอึดอัดและรู้สึกตัวตื่น เพราะมือปรงที่เอื้อมข้ามตัวลูกมาบีบต้นแขน หล่อนรู้สึกเหมือนถูกย้ำปลุก ตอนยังงัวเงียนั่น กลายเป็นตาสว่างได้ทันทีที่ได้ยินเสียงปรง
“นวล ลูก... ลูกไม่หายใจ... ลูกไม่หายใจแล้ว” น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นและเคร่งเครียด ไม่ได้เอะอะโวยวาย สายตากระด้างที่นวลลืมตาขึ้นมาสบตา มันรวดร้าวสาหัส เย็นเยียบไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
หล่อนตกตะลึง กะพริบตาถี่และตั้งสติ แววตาสามีที่เห็น ทำให้ไม่อยากเชื่อสายตา นั่นมันสายตาของฆาตกรชัดๆ แต่สิ่งที่ได้ยิน กลับทำให้ไม่อยากเชื่อหูตนเองมากกว่า
ลูกตาย!
เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานเพิ่งไปหยอดวัคซีน หมอยังว่าสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกอย่าง
ที่ผุดลุกแล้วตั้งแต่แรก ตอนนี้นวลค่อยโน้มตัวลง เท้าศอกยันข้างศพทารกน้อย บีบกุมเท้าเล็กๆ ไว้ในมือ ยังอุ่น ยังอุ่นๆ อยู่เลย
น้ำตาหล่อนพรากลงอาบแก้ม ลูกน้อยคล้ายแค่หลับสนิท แต่หัวใจไม่เต้น แน่นิ่ง หลับตาพริ้ม คล้ายกำลังฝันสนุก ขนตาดำยาวปราศจากการไหวติง หล่อนจะเขย่าปลุก แต่ปรงห้ามไว้ “อย่ากวนลูกเลย รอให้ตื่นเองเถอะนวล...”
หล่อนคิดว่ารู้ สามีต้องกล้ำกลืนถึงแค่ไหน กับการต้องเข้มแข็ง เป็นฝ่ายปลอบโยนครอบครัวเล็กๆ ของตน ซึ่งจะต้องผ่านมรสุมร้ายอีกคราวไปให้ได้
จากนั้น ก็คล้ายนวลเป็นแค่กล่องรับภาพ เห็นเขาค่อยช้อนประคองร่างน้อย ทะนุถนอมให้นอนลงในเปลเล็กข้างเตียง เลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุม จัดหมอนข้างแนบข้าง อีกข้างใช้ตุ๊กตานางฟ้าวางเป็นเพื่อน
“หลับสบายเลย...” เสียงปรงพึมพำ แล้วหล่อนก็รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ที่หัวไหล่ ก่อนรั้งทั้งตัวหล่อนเข้าไปโอบกอด เขากอดหล่อนแน่น ตอนนั้นละที่สามีหล่อนเริ่มสะอื้นไห้ เนื้อตัวสั่นเทาราวหวาดกลัว ลำแขนที่เขากอดรัด ยิ่งกระชับน้ำหนักจนหล่อนอึดอัดไปหมด
“พี่เป็นอะไร ไหนว่าลูกแค่หลับ หลับสบายเลย” นวลเว้นช่วง กระแอมไล่ความจริงที่แล่นขึ้นมาจุกอก ให้กลับลงไปซ่อนซุกไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ “ไปทำงานเถอะพี่ เดี๋ยวจะสาย”
“พี่ลาพักร้อน” เขายังกอดไม่ปล่อย
“จริงสิ ฉันลืมไป ถ้าอย่างนั้น...” หล่อนค่อยปลดมือสามีจากการกอดรัด “นวลอาบน้ำก่อน พี่อยากกินอะไร จะได้ลงไปทำรอไว้ให้”
แล้วจากวันนั้น จนวันนี้ ผ่านไปถึงครึ่งปี กิจวัตรประจำวันของทั้งสองคน ก็ยังดำเนินไปตามปกติ ครอบครัวเล็กๆ ที่ต่างคนต่างเคยคิดว่าโชคดีวิเศษสุด เพราะทั้งคู่ไร้ญาติขาดมิตร การได้มาคอยดูแลซึ่งกันและกัน มันคือการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย
และตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหล่อนตั้งครรภ์ แล้วเริ่มประคบประหงมกัน จนถึงวันนี้ วันที่ทารกน้อยยังนิ่งนอนอยู่ในที่เดิม ท่ามกลางอากาศที่ถูกปรับให้เย็นยะเยือก ผ้ารองผ้าห่ม หมอนหนุนหมอนข้าง รวมทั้งนางฟ้าผ้าสำลีตัวสวยนั่น แม้จะดำด่างไปด้วยคราบสีน้ำตาลเข้มข้น แต่แม่หนูน้อย ส่วนที่เป็นความสมบูรณ์แบบของครอบครัวเล็กๆ นี้ ก็ยังนอนหลับอยู่ที่เดิม
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ก่อนไปทำงานเขาจะบอกลาลูกสาว เมื่อทำงานกลับมาค่ำมืด ก็จะชะโงกมองแล้วยิ้มทักทาย หลายครั้งที่จำได้ เขายังเคยแซวหล่อนว่า เลี้ยงลูกยังไง ถึงได้ผอมลงๆ นอนก็ขี้เซานัก
ตอนเขาพูดมาอย่างนั้น หล่อนก็เพียงยิ้มๆ ตอบกลับไป “เด็กทารกก็อย่างนี้ นอนทั้งวัน”
ตั้งแต่วันนั้น วันที่แปดหลังจากเด็กหญิงตัวน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลก เขายังไม่เคยเอ่ยปากต่อว่า หรือเรียกร้องสิ่งไรจากหล่อนอีกเลย ปล่อยให้หล่อนเป็นแม่บ้าน ดูแลหุงหา ปัดกวาดทำความสะอาด ซักรีดและเลี้ยงดู ไปตามที่ควร
ที่เคยมีแม่บ้าน เคยมีคนที่จะจ้างมาช่วยเลี้ยงลูก เขาก็เสนอให้หล่อนเป็นผู้รับภาระ ซึ่งนวลก็เต็มใจ เพราะจะได้ไม่มีใครมาวุ่นวายจุกจิก กับครอบครัวเล็กๆ แสนบรมสุขของเขาและหล่อน
นวลแทบไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย ปล่อยให้เรื่องราวภายนอกเป็นภาระของปรง เช่นเดียวกับที่หล่อนเป็นฝ่ายรับภาระในบ้าน บางทีหญิงสาวยังเคยถามเขา ไม่มีสังสรรค์ ไม่มีเพื่อนฝูงจะมาเยี่ยมหาบ้างเลยหรือ เขาก็แค่ยิ้มๆ บอกเหมือนอย่างที่บอกเสมอ
“เรามีกันสามคนแค่นี้ พี่ก็พอใจแล้ว...”
หล่อนยังยิ้มด้วยซ้ำ ตอนที่อยู่ๆ พื้นที่นั่งก็ไหวยวบ ดึงทุกความคิดความรู้สึกของหล่อนให้กลับมายังห้วงเวลาในปัจจุบันขณะ
หญิงสาวเหลียวดูรอบตัว ในรถยนต์คันกะทัดรัดยังติดเครื่องและเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ด้านคนขับยังว่างเปล่า ด้านหลังและนอกประตูก็เช่นกัน กระจกรถติดฟิล์มทึบ มีแต่ภาพเบื้องหน้าไกลๆ เท่านั้นที่ชัดเจนไม่มืดมน
แดดร่มลมตก อาทิตย์คล้อยลับหลังคาสวดศพไปแล้ว ที่ตรงนี้จึงตกอยู่ใต้เงาหม่นมัว ลึกเข้าไปด้านสุดกำแพงโน่น โรงครัวกำลังเตรียมการ ติดเตา ตั้งหม้อใบยักษ์ สำหรับจัดเลี้ยงผู้มาร่วมงานสวดพระอภิธรรม ส่วนตรงหน้าศพเป็นมุมอับสายตา นวลขยับชะเง้อเห็นมุมโลงผี ด้านข้างตั้งไว้ด้วยรูปผู้ตาย หล่อนยังนึกอยู่ว่า ดีแล้วที่ไม่ต้องเห็นหน้าเพื่อนเคยสนิทคนนั้นชัดๆ
นวลเผลอทอดถอนใจ เมื่อนึกไปถึงตรงนี้ ตรงที่ไม่รู้ว่าใครจะทุกข์ทรมานกว่าใคร ระหว่างที่นอนเป็นศพตายทั้งกลมอยู่โน่น กับหล่อนที่รอให้ลูกสาวฟื้นตื่นอยู่ทุกคืนวัน
ประตูด้านคนขับเปิดผลัวะออก นวลผวาเฮือก ลมภายนอกโชยวูบเข้ามาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าสะอิดสะเอียด หล่อนวิงเวียนอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งอยากจะเปิดประตูพ้นออกไป เมื่อเสียงแหลมๆ แตกๆ ของลำโพงปากแตรมหึมา เริ่มตะเบ็งถ่ายทอดเสียงปี่พาทย์ทำนองแสนวิโยคโศกศัลย์
“นวล... นวล... ไม่เป็นไรน่ะ” ปรงถามภรรยา เพราะเห็นหล่อนสะดุ้งแล้วก็ก้มหน้างุด
คนถูกถามยังนิ่ง ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง ทำให้ยิ่งอยากจะอาเจียน หล่อนได้แต่ทำมือไม้ เป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร ทั้งที่รีบผลักประตูด้านตัวเอง แล้วโก่งคอปล่อยของที่กระเพาะขย้อนย้อนกลับขึ้นมา
เสียงประตูด้านคนขับปิดลง ตามด้วยมือหนักแน่นค่อยลูบหลังหล่อนช้าๆ ความอบอุ่นเป็นเช่นนี้ มีหรือที่จะต้องคิดเลิกรัก...
ขวดน้ำถูกยื่นให้ นวลล้างและบ้วนปาก ความรู้สึกเริ่มโปร่งโล่ง ค่อยหับประตูพร้อมยึดกายกลับขึ้นนั่งพิงพนักตามเดิม
“พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องมา นี้คงแพ้... ใช่ไหมเล่า” เขายื่นด้ายแดงที่คล้องเป็นบ่วงไว้แล้ว ให้หล่อนรูดกระชับกับกระดุมเม็ดหนึ่ง “พี่ขอโทษ ที่พามาลำบาก”
นวลสบตาสามี แล้วเหลือบตามองหาสิ่งของในมือ ไม่เห็นมีอะไรถือติดมา ปรงคงเดาออกจากท่าทาง จึงรีบบอก “ยังไม่ได้ ทางไม่สะดวก...”
เขาพูดเป็นนัย แต่หล่อนก็ไม่คิดสานต่อ บอกง่ายๆ ว่า “อย่างนั้นก็กลับบ้าน ฉันห่วงลูก นี้ดีว่าไม่ไกล ไม่นั้นฉันไม่ออกมาด้วย”
“พี่ก็เป็นห่วง ใจจริงก็ไม่อยากให้มา” อีกฝ่ายคล้ายแก้ตัว แต่ที่จริงหล่อนก็รู้ เขากลัวอะไรกันแน่
(มีต่อคคห.ที่1)
เรื่องสั้น 3 ตอนจบ : นางฟ้า : ตอนที่ 1
อ่านแล้วรู้สึกคิดเห็นอย่างไร พร้อมน้อมรับด้วยความเต็มใจครับผม
เรื่องสั้น 3 ตอนจบ
นางฟ้า
ตอนที่ 1
“ฉันไม่สบายใจเลยนะพี่ปรง...” นวลชำเลืองมองสามี อยากพูดมากกว่านั้น แต่ท่าทางเขาตอนนี้ก็เคร่งเครียด จนไม่น่าจะช่วยแบกรับความวิตกกังวลใดๆ ของหล่อนได้อีกแล้ว
“นวลรอในรถนี้ละ พี่เข้าไปประเดี๋ยวเดียว” เขาเอ่ยขึ้น คล้ายไม่ได้ยินประโยคของหล่อนเมื่ออึดใจก่อนหน้า แววตาที่หันกลับมาสบตา มันระคนปนเปด้วยสารพัดความรู้สึก ทุกข์ โศก หรือกระทั่งความอาฆาตแค้น
ปรงเลื่อนมือมากุมมือภรรยา บีบเบาๆ ทั้งที่มือเขาก็เย็นเฉียบ นวลจึงใช้อีกมือกุมทับ ยิ้มให้กำลังใจ “ฉันจะรอ พี่รีบมานะ”
ทั้งที่ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก แค่ไปขอปันกล้วยน้ำว้าไหว้ศพหวีนั้นออกมา กับแค่เดนบูชาผี ใครเขาจะหวงห้าม แต่สิ่งที่หล่อนรู้อยู่แก่ใจ มันยังตามหลอกหลอนอยู่ไม่จบสิ้น
ลูกสาวนวลตายไปแล้วหลายเดือน ตายทั้งที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เจ็ดแปดวัน ตายเพราะความรักหนักหนา พาขึ้นมาให้นอนกลาง จะได้ผลัดกันกับสามีช่วยประคบประหงม ปรงก็มีท่าว่ารักลูกสาวคนแรกนี้ แบบไม่มีเงื่อนไขใดเคลือบแฝง ทั้งที่ทั้งคู่ยังไม่แน่ใจว่าใช่ผลผลิตจากน้ำยาของเขาจริงๆ หรือเปล่า
เช้าวันนั้น มีลูกน้อยนอนกลางดั่งเคย นวลอึดอัดและรู้สึกตัวตื่น เพราะมือปรงที่เอื้อมข้ามตัวลูกมาบีบต้นแขน หล่อนรู้สึกเหมือนถูกย้ำปลุก ตอนยังงัวเงียนั่น กลายเป็นตาสว่างได้ทันทีที่ได้ยินเสียงปรง
“นวล ลูก... ลูกไม่หายใจ... ลูกไม่หายใจแล้ว” น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นและเคร่งเครียด ไม่ได้เอะอะโวยวาย สายตากระด้างที่นวลลืมตาขึ้นมาสบตา มันรวดร้าวสาหัส เย็นเยียบไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
หล่อนตกตะลึง กะพริบตาถี่และตั้งสติ แววตาสามีที่เห็น ทำให้ไม่อยากเชื่อสายตา นั่นมันสายตาของฆาตกรชัดๆ แต่สิ่งที่ได้ยิน กลับทำให้ไม่อยากเชื่อหูตนเองมากกว่า
ลูกตาย!
เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานเพิ่งไปหยอดวัคซีน หมอยังว่าสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกอย่าง
ที่ผุดลุกแล้วตั้งแต่แรก ตอนนี้นวลค่อยโน้มตัวลง เท้าศอกยันข้างศพทารกน้อย บีบกุมเท้าเล็กๆ ไว้ในมือ ยังอุ่น ยังอุ่นๆ อยู่เลย
น้ำตาหล่อนพรากลงอาบแก้ม ลูกน้อยคล้ายแค่หลับสนิท แต่หัวใจไม่เต้น แน่นิ่ง หลับตาพริ้ม คล้ายกำลังฝันสนุก ขนตาดำยาวปราศจากการไหวติง หล่อนจะเขย่าปลุก แต่ปรงห้ามไว้ “อย่ากวนลูกเลย รอให้ตื่นเองเถอะนวล...”
หล่อนคิดว่ารู้ สามีต้องกล้ำกลืนถึงแค่ไหน กับการต้องเข้มแข็ง เป็นฝ่ายปลอบโยนครอบครัวเล็กๆ ของตน ซึ่งจะต้องผ่านมรสุมร้ายอีกคราวไปให้ได้
จากนั้น ก็คล้ายนวลเป็นแค่กล่องรับภาพ เห็นเขาค่อยช้อนประคองร่างน้อย ทะนุถนอมให้นอนลงในเปลเล็กข้างเตียง เลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุม จัดหมอนข้างแนบข้าง อีกข้างใช้ตุ๊กตานางฟ้าวางเป็นเพื่อน
“หลับสบายเลย...” เสียงปรงพึมพำ แล้วหล่อนก็รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ที่หัวไหล่ ก่อนรั้งทั้งตัวหล่อนเข้าไปโอบกอด เขากอดหล่อนแน่น ตอนนั้นละที่สามีหล่อนเริ่มสะอื้นไห้ เนื้อตัวสั่นเทาราวหวาดกลัว ลำแขนที่เขากอดรัด ยิ่งกระชับน้ำหนักจนหล่อนอึดอัดไปหมด
“พี่เป็นอะไร ไหนว่าลูกแค่หลับ หลับสบายเลย” นวลเว้นช่วง กระแอมไล่ความจริงที่แล่นขึ้นมาจุกอก ให้กลับลงไปซ่อนซุกไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ “ไปทำงานเถอะพี่ เดี๋ยวจะสาย”
“พี่ลาพักร้อน” เขายังกอดไม่ปล่อย
“จริงสิ ฉันลืมไป ถ้าอย่างนั้น...” หล่อนค่อยปลดมือสามีจากการกอดรัด “นวลอาบน้ำก่อน พี่อยากกินอะไร จะได้ลงไปทำรอไว้ให้”
แล้วจากวันนั้น จนวันนี้ ผ่านไปถึงครึ่งปี กิจวัตรประจำวันของทั้งสองคน ก็ยังดำเนินไปตามปกติ ครอบครัวเล็กๆ ที่ต่างคนต่างเคยคิดว่าโชคดีวิเศษสุด เพราะทั้งคู่ไร้ญาติขาดมิตร การได้มาคอยดูแลซึ่งกันและกัน มันคือการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย
และตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหล่อนตั้งครรภ์ แล้วเริ่มประคบประหงมกัน จนถึงวันนี้ วันที่ทารกน้อยยังนิ่งนอนอยู่ในที่เดิม ท่ามกลางอากาศที่ถูกปรับให้เย็นยะเยือก ผ้ารองผ้าห่ม หมอนหนุนหมอนข้าง รวมทั้งนางฟ้าผ้าสำลีตัวสวยนั่น แม้จะดำด่างไปด้วยคราบสีน้ำตาลเข้มข้น แต่แม่หนูน้อย ส่วนที่เป็นความสมบูรณ์แบบของครอบครัวเล็กๆ นี้ ก็ยังนอนหลับอยู่ที่เดิม
ตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ก่อนไปทำงานเขาจะบอกลาลูกสาว เมื่อทำงานกลับมาค่ำมืด ก็จะชะโงกมองแล้วยิ้มทักทาย หลายครั้งที่จำได้ เขายังเคยแซวหล่อนว่า เลี้ยงลูกยังไง ถึงได้ผอมลงๆ นอนก็ขี้เซานัก
ตอนเขาพูดมาอย่างนั้น หล่อนก็เพียงยิ้มๆ ตอบกลับไป “เด็กทารกก็อย่างนี้ นอนทั้งวัน”
ตั้งแต่วันนั้น วันที่แปดหลังจากเด็กหญิงตัวน้อยลืมตาขึ้นมาดูโลก เขายังไม่เคยเอ่ยปากต่อว่า หรือเรียกร้องสิ่งไรจากหล่อนอีกเลย ปล่อยให้หล่อนเป็นแม่บ้าน ดูแลหุงหา ปัดกวาดทำความสะอาด ซักรีดและเลี้ยงดู ไปตามที่ควร
ที่เคยมีแม่บ้าน เคยมีคนที่จะจ้างมาช่วยเลี้ยงลูก เขาก็เสนอให้หล่อนเป็นผู้รับภาระ ซึ่งนวลก็เต็มใจ เพราะจะได้ไม่มีใครมาวุ่นวายจุกจิก กับครอบครัวเล็กๆ แสนบรมสุขของเขาและหล่อน
นวลแทบไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย ปล่อยให้เรื่องราวภายนอกเป็นภาระของปรง เช่นเดียวกับที่หล่อนเป็นฝ่ายรับภาระในบ้าน บางทีหญิงสาวยังเคยถามเขา ไม่มีสังสรรค์ ไม่มีเพื่อนฝูงจะมาเยี่ยมหาบ้างเลยหรือ เขาก็แค่ยิ้มๆ บอกเหมือนอย่างที่บอกเสมอ
“เรามีกันสามคนแค่นี้ พี่ก็พอใจแล้ว...”
หล่อนยังยิ้มด้วยซ้ำ ตอนที่อยู่ๆ พื้นที่นั่งก็ไหวยวบ ดึงทุกความคิดความรู้สึกของหล่อนให้กลับมายังห้วงเวลาในปัจจุบันขณะ
หญิงสาวเหลียวดูรอบตัว ในรถยนต์คันกะทัดรัดยังติดเครื่องและเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ด้านคนขับยังว่างเปล่า ด้านหลังและนอกประตูก็เช่นกัน กระจกรถติดฟิล์มทึบ มีแต่ภาพเบื้องหน้าไกลๆ เท่านั้นที่ชัดเจนไม่มืดมน
แดดร่มลมตก อาทิตย์คล้อยลับหลังคาสวดศพไปแล้ว ที่ตรงนี้จึงตกอยู่ใต้เงาหม่นมัว ลึกเข้าไปด้านสุดกำแพงโน่น โรงครัวกำลังเตรียมการ ติดเตา ตั้งหม้อใบยักษ์ สำหรับจัดเลี้ยงผู้มาร่วมงานสวดพระอภิธรรม ส่วนตรงหน้าศพเป็นมุมอับสายตา นวลขยับชะเง้อเห็นมุมโลงผี ด้านข้างตั้งไว้ด้วยรูปผู้ตาย หล่อนยังนึกอยู่ว่า ดีแล้วที่ไม่ต้องเห็นหน้าเพื่อนเคยสนิทคนนั้นชัดๆ
นวลเผลอทอดถอนใจ เมื่อนึกไปถึงตรงนี้ ตรงที่ไม่รู้ว่าใครจะทุกข์ทรมานกว่าใคร ระหว่างที่นอนเป็นศพตายทั้งกลมอยู่โน่น กับหล่อนที่รอให้ลูกสาวฟื้นตื่นอยู่ทุกคืนวัน
ประตูด้านคนขับเปิดผลัวะออก นวลผวาเฮือก ลมภายนอกโชยวูบเข้ามาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าสะอิดสะเอียด หล่อนวิงเวียนอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งอยากจะเปิดประตูพ้นออกไป เมื่อเสียงแหลมๆ แตกๆ ของลำโพงปากแตรมหึมา เริ่มตะเบ็งถ่ายทอดเสียงปี่พาทย์ทำนองแสนวิโยคโศกศัลย์
“นวล... นวล... ไม่เป็นไรน่ะ” ปรงถามภรรยา เพราะเห็นหล่อนสะดุ้งแล้วก็ก้มหน้างุด
คนถูกถามยังนิ่ง ทั้งกลิ่น ทั้งเสียง ทำให้ยิ่งอยากจะอาเจียน หล่อนได้แต่ทำมือไม้ เป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร ทั้งที่รีบผลักประตูด้านตัวเอง แล้วโก่งคอปล่อยของที่กระเพาะขย้อนย้อนกลับขึ้นมา
เสียงประตูด้านคนขับปิดลง ตามด้วยมือหนักแน่นค่อยลูบหลังหล่อนช้าๆ ความอบอุ่นเป็นเช่นนี้ มีหรือที่จะต้องคิดเลิกรัก...
ขวดน้ำถูกยื่นให้ นวลล้างและบ้วนปาก ความรู้สึกเริ่มโปร่งโล่ง ค่อยหับประตูพร้อมยึดกายกลับขึ้นนั่งพิงพนักตามเดิม
“พี่บอกแล้วว่าไม่ต้องมา นี้คงแพ้... ใช่ไหมเล่า” เขายื่นด้ายแดงที่คล้องเป็นบ่วงไว้แล้ว ให้หล่อนรูดกระชับกับกระดุมเม็ดหนึ่ง “พี่ขอโทษ ที่พามาลำบาก”
นวลสบตาสามี แล้วเหลือบตามองหาสิ่งของในมือ ไม่เห็นมีอะไรถือติดมา ปรงคงเดาออกจากท่าทาง จึงรีบบอก “ยังไม่ได้ ทางไม่สะดวก...”
เขาพูดเป็นนัย แต่หล่อนก็ไม่คิดสานต่อ บอกง่ายๆ ว่า “อย่างนั้นก็กลับบ้าน ฉันห่วงลูก นี้ดีว่าไม่ไกล ไม่นั้นฉันไม่ออกมาด้วย”
“พี่ก็เป็นห่วง ใจจริงก็ไม่อยากให้มา” อีกฝ่ายคล้ายแก้ตัว แต่ที่จริงหล่อนก็รู้ เขากลัวอะไรกันแน่
(มีต่อคคห.ที่1)