เรื่องจริงที่ต้องเล่าต่อ
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน ยายข้างบ้าน
จากเรื่องเดิมที่แล้ว เรื่อง ศาลาร้าง ข้างสี่แยก ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็กมาก เมื่อข้าพเจ้าโตมาอีกหน่อย จำไม่ผิด เป็นช่วงที่ข้าพเจ้า น่าจะ เรียนอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
และเรื่องที่จะเล่านั้น คือช่วงเดือน เมษายน เป็นเดือนที่เข้าสู่ หน้าร้อนของประเทศไทย ในช่วงเดือนนี้ ต้นมะม่วงที่บ้าน ออกผลดกมากมาย เต็มต้น และเมนูที่นิยมทำ จนถูกปากกันอย่างมากมาย เรียกได้ว่า ไม่มีบ้านไหน ไม่ทำทานกัน นั่นก็คือ ตำมะม่วง ตำมะม่วงเดือนเมษายน เป็น ตำมะม่วงที่อร่อยมากที่สุด อาจจะ ด้วยบรรยากาศที่เข้ากันอย่าง บอกไม่ถูก อากาศแสนร้อน อบอ้าว ตำมะม่วงเผ็ดเปรี๊ยว เข็ดฟัน ทานคู่กับ ผักพื้นบ้านสดๆ หรือ จะลวก ก็ให้รสชาติ อร่อยไปอีกแบบ
บ้านข้าพเจ้าก็เช่นกัน เป็นรายการอาหาร ที่ แต่ละวันขาดไม่ได้เลยว่างั้น อาจเป็นเพราะ ตัวข้าพเจ้าเอง ชอบทาน อาหารรสจัด ตำมะม่วงเลยเป็น อาหารอีกจานที่ข้าพเจ้า ชอบทาน
เวลาประมาณเที่ยงวัน แม่ของข้าพเจ้า ก็สอยมะม่วงจากหน้าบ้าน มาตำทานด้วยกัน เก็บผัก ริมรั้วบ้าง ในสวนบ้านข้างๆ บ้าง มาทานเคียง หลังจาก ทานอาหารเสร็จไม่นาน ข้าพเจ้าได้เหลือบมองไปเห็น รถพยาบาลประจำอำเภอ ได้ขับเข้ามาในหมู่บ้าน ขับผ่านบ้านข้าพเจ้า (บ้านข้าพเจ้าติดกับถนนสายหลัก ทางเข้าหมู่บ้าน) เรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ รถพยาบาล ไม่ได้ขับเร็ว หรือ เร่งรีบอะไรเลย ขับเข้ามาในหมู่บ้าน อย่าง ช้าๆ
ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีน้าคนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก และ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มาหาแม่ที่บ้าน ทั้งสองยืนพูดคุยเรื่องบางอย่างกัน ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ไม่ได้ยิน รู้แต่ว่า สีหน้าของน้าคนนั้น และ สีหน้า ของแม่ ค่อนข้างเศร้า สังเกตได้จาก ตาของน้าคนนั้นแดงเหมือนคนร้องไห้นั่นเอง
ตึง ตึง ตึง เสียงกลองจากวัดดังก้องมา
ปกติกลองที่วัด ที่เรียกว่า กลองบูชา จะตีก็ต่อเมื่อ มีงาน บุญใหญ่ จะตี เป็นทำนอง ไพเราะ ช้าบ้าง เร็วบ้าง สลับกันไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วการตี 3 ครั้ง ติดต่อกันละ …………………….
การตีกลอง 3 ครั้ง ติดต่อกัน เป็นการขอขมา พระรัตนตรัย และ แจ้งให้ ชาวบ้านทราบว่า ได้มี ชาวบ้าน เสียชีวิตนั่นเอง
แม่ : แม่จะไปอาบน้ำศพ อยู่เฝ้าบ้านนะ
ข้าพเจ้า : แม่ไปไหน จะไปด้วย
แม่ : แน่ใจกา ลูก (ภาษาเหนือนะครับ แปลว่า แน่ใจหรือลูก) มันน่ากลัวนะ
ข้าพเจ้า : อยากไปด้วย (ตอนนั้น ข้าพเจ้า อยากเห็นว่า การอาบน้ำศพ ทำกันอย่างไร อีกอย่าง ข้าพเจ้า ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว)
ในที่สุด ข้าพเจ้า ก็ได้ไปกับแม่ ที่บ้านของน้าคนนั้น มีชาวบ้านมากมาย มาช่วยกันเตรียมงานศพ ทั้งยก เต้น เตรียมโต๊ะ เก้าอี้ สถานที่ อาหารเลี้ยงแขกต่างๆ มีผู้คนมากมาย ทั้งใต้ถุนบ้าน และ ชั้นบนของบ้าน (ทางภาคเหนือ นิยม ทำบ้านยกใต้ถุนสูง เพื่อประโยชน์ ใช้สอย ต่าง ๆ) แม่พาข้าพเจ้า เดินทางไปบนบ้านหลังนั้น
จากที่สังเกต บนบ้านจะมีแต่ ญาติสนิท และ คนแก่คนเฒ่า บุคคลสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน นั่งอยู่ใกล้ๆ ร่างอันไร้ วิญาณ ของยายแก่ ๆ เจ้าของบ้านนั้นเอง ใช่ครับ ยายเสียชีวิตแล้ว และ ทุกคน กำลัง จะทำพิธี อาบน้ำศพ ถ้าเป็นทางภาคกลางแล้ว จะใช้วิธี รดน้ำศพ แต่ทางภาคเหนือนั้น จะอาบ และ แต่งตัว โดยญาติ ๆ เป็น ครั้ง สุดท้าย
ข้าพเจ้าก็มีโอกาส ได้เห็นการอาบน้ำศพ เป้นครั้งแรก เรียกได้ว่า เห็นชัด ระดับ Full HD เพราะว่า นั่งอยู่ใกล้ กับ ศพ แนบชิด ตัวแทบติดกัน ระหว่างที่ดู พิธีการรดน้ำศพนั้น มียายอีกคน เป็นยายคนละคนกับ ยายที่เสียชีวิต ยายคนนี้ อยู่ข้างบ้านข้าพเจ้า รั้วบ้านติดกัน ยายคนนี้ เดินเข้ามาช้าๆ และ นั่งข้างๆ ข้าพเจ้า ไม่พูดจา ไม่ทักทาย ไม่เหมือนปกติ ที่เจอกันทีไร ก็ ทักทายตลอด อีกอย่าง ยายข้างบ้าน ชอบมา เที่ยว มาพูดคุย ที่บ้านข้าพเจ้า อยู่ เป็นประจำ ยายเดินมานั่งข้างข้าพเจ้า ไม่พูดจา เอาแต่มองมาทางข้าพเจ้าอย่างเดียว ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้สนใจอะไร คิดว่า ยายอาจจะเศร้าอยู่มั้ง
หลังจากนั้น ข้าพเจ้ากับแม่ ได้กลับมาที่บ้าน ตอนนั้นเป็นเวลา ประมาณ บ่าย 3 โมง ขณะที่ข้าพเจ้า นั่งคุยกับแม่ ใต้ถุนบ้าน ยายข้างบ้าน ใช่ ยายข้างบ้านคนที่นั่งข้าง ๆ ข้าพเจ้า ที่ งานศพ มาอีกแล้ว ยายเดินจากบ้านตัวเอง มาที่บ้านข้าพเจ้าซึ่งอยู่ติดกัน
ยาย : ศพมาละกะ อาบน้ำศพเสร็จ หรือยัง ?
ข้าพเจ้า : (ตกใจมาก สีหน้าตอนนั้น คงไม่ต่างอะไรกับ เนื้อไก่ต้ม ซีด ๆ) ก็เมื่อกี้ ยายนั่งใกล้ผมนี่ครับ ที่ งานศพ
ยาย : ไม่ได้ไปนี่ ยายได้ยินเสียงกลอง และ ได้ยินคนที่ตลาด คุยกันว่า มีคนตาย จึงกลับมาทำงานบ้านก่อน พึ่งเสร็จ นี่ว่าจะไปงานศพ อยู่เหมือนกัน
ข้าพเจ้า : แล้วถ้า คนนั้น ไม่ใช่ยาย แล้ว เป็นใครกัน
ยายกับแม่ ทำหน้าตา งง แล้วไม่ได้พูดอะไร ส่วนยายข้างบ้าน ก็เดินทางไปงานศพ ตามที่วางแผนไว้ แม่ก็ไปเตรียมอาหารเย็น ข้าพเจ้าเอง ก็ทำอะไรไม่ถูก กลัวก็กลัว งงก็งง
วิเคราะห์เหตุการณ์
จากเรื่องนี้ ข้าพเจ้า ได้เห็นยายข้างบ้าน 2 ครั้ง แตกต่างกันที่ สถานที่ และ เวลา แต่ คิดว่ายายทั้ง 2 คน ไม่ใช่ คนเดียวกันอย่างแน่นอน อาจจะเป็นไปได้ว่า ยายที่ ข้าพเจ้า เห็นนั้น คือ ยาย คนที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นวิญญาณ ที่มารอคอย การขอขมา ลาโทษ จาด ลูกหลาน เป็นวิญญาณ ที่ยังไม่ได้เดินทางไปยัง สัมปรายภพ ที่ควรเป็น ยังเป็นวิญญาณ ที่รอ การนำพาสู่โลกแห่ง วิญญาณนั่งเอง
ข้อคิด
ชีวิตหลังความตาย มีมากมาย หลายหลาก รูปแบบ แต่ ไม่ว่าจะแบบใดนั้น ความผูกพัน ระหว่างคนในครอบครัว และ สายสัมพันธ์ เครือญาติ เป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบัน สถาบันครองครัวในประเทศไทย ค่อนข้างอ่อนแอลง เนื่องจากการพัฒนา สู่ สังคมการทำมาหากินนอกบ้าน และ ใช้ เงิน เป็นตัวซื้อความสะดวกสบาย ใช้เงินจ้างบุคคลอื่น ที่ ไม่ใช่พ่อและแม่ มาดูแลลูก ใช้เงินจ้างบุคคลอื่น มาดูแล พ่อแม่เรายามแก่เฒ่า จนบางครอบครัว แทบ ไม่ได้เห็นหน้าพูดคุยกันด้วยซ้ำ แต่เมื่อตายไป ทรัพย์สิน หรือ เครื่องอำนวยความสะดวก เหล่านั้น ไม่ได้ติดตัวเราไปเลย คงไว้แค่ความดีงาม ความรัก และ สายสัมพันธ์ เท่านั้นเอง
เศษฝุ่นสีเงิน
เรื่องจริง สู่ เรื่องเล่า 3
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน ยายข้างบ้าน
จากเรื่องเดิมที่แล้ว เรื่อง ศาลาร้าง ข้างสี่แยก ตอนนั้นข้าพเจ้ายังเด็กมาก เมื่อข้าพเจ้าโตมาอีกหน่อย จำไม่ผิด เป็นช่วงที่ข้าพเจ้า น่าจะ เรียนอยู่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
และเรื่องที่จะเล่านั้น คือช่วงเดือน เมษายน เป็นเดือนที่เข้าสู่ หน้าร้อนของประเทศไทย ในช่วงเดือนนี้ ต้นมะม่วงที่บ้าน ออกผลดกมากมาย เต็มต้น และเมนูที่นิยมทำ จนถูกปากกันอย่างมากมาย เรียกได้ว่า ไม่มีบ้านไหน ไม่ทำทานกัน นั่นก็คือ ตำมะม่วง ตำมะม่วงเดือนเมษายน เป็น ตำมะม่วงที่อร่อยมากที่สุด อาจจะ ด้วยบรรยากาศที่เข้ากันอย่าง บอกไม่ถูก อากาศแสนร้อน อบอ้าว ตำมะม่วงเผ็ดเปรี๊ยว เข็ดฟัน ทานคู่กับ ผักพื้นบ้านสดๆ หรือ จะลวก ก็ให้รสชาติ อร่อยไปอีกแบบ
บ้านข้าพเจ้าก็เช่นกัน เป็นรายการอาหาร ที่ แต่ละวันขาดไม่ได้เลยว่างั้น อาจเป็นเพราะ ตัวข้าพเจ้าเอง ชอบทาน อาหารรสจัด ตำมะม่วงเลยเป็น อาหารอีกจานที่ข้าพเจ้า ชอบทาน
เวลาประมาณเที่ยงวัน แม่ของข้าพเจ้า ก็สอยมะม่วงจากหน้าบ้าน มาตำทานด้วยกัน เก็บผัก ริมรั้วบ้าง ในสวนบ้านข้างๆ บ้าง มาทานเคียง หลังจาก ทานอาหารเสร็จไม่นาน ข้าพเจ้าได้เหลือบมองไปเห็น รถพยาบาลประจำอำเภอ ได้ขับเข้ามาในหมู่บ้าน ขับผ่านบ้านข้าพเจ้า (บ้านข้าพเจ้าติดกับถนนสายหลัก ทางเข้าหมู่บ้าน) เรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ รถพยาบาล ไม่ได้ขับเร็ว หรือ เร่งรีบอะไรเลย ขับเข้ามาในหมู่บ้าน อย่าง ช้าๆ
ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีน้าคนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก และ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มาหาแม่ที่บ้าน ทั้งสองยืนพูดคุยเรื่องบางอย่างกัน ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ไม่ได้ยิน รู้แต่ว่า สีหน้าของน้าคนนั้น และ สีหน้า ของแม่ ค่อนข้างเศร้า สังเกตได้จาก ตาของน้าคนนั้นแดงเหมือนคนร้องไห้นั่นเอง
ตึง ตึง ตึง เสียงกลองจากวัดดังก้องมา
ปกติกลองที่วัด ที่เรียกว่า กลองบูชา จะตีก็ต่อเมื่อ มีงาน บุญใหญ่ จะตี เป็นทำนอง ไพเราะ ช้าบ้าง เร็วบ้าง สลับกันไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วการตี 3 ครั้ง ติดต่อกันละ …………………….
การตีกลอง 3 ครั้ง ติดต่อกัน เป็นการขอขมา พระรัตนตรัย และ แจ้งให้ ชาวบ้านทราบว่า ได้มี ชาวบ้าน เสียชีวิตนั่นเอง
แม่ : แม่จะไปอาบน้ำศพ อยู่เฝ้าบ้านนะ
ข้าพเจ้า : แม่ไปไหน จะไปด้วย
แม่ : แน่ใจกา ลูก (ภาษาเหนือนะครับ แปลว่า แน่ใจหรือลูก) มันน่ากลัวนะ
ข้าพเจ้า : อยากไปด้วย (ตอนนั้น ข้าพเจ้า อยากเห็นว่า การอาบน้ำศพ ทำกันอย่างไร อีกอย่าง ข้าพเจ้า ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว)
ในที่สุด ข้าพเจ้า ก็ได้ไปกับแม่ ที่บ้านของน้าคนนั้น มีชาวบ้านมากมาย มาช่วยกันเตรียมงานศพ ทั้งยก เต้น เตรียมโต๊ะ เก้าอี้ สถานที่ อาหารเลี้ยงแขกต่างๆ มีผู้คนมากมาย ทั้งใต้ถุนบ้าน และ ชั้นบนของบ้าน (ทางภาคเหนือ นิยม ทำบ้านยกใต้ถุนสูง เพื่อประโยชน์ ใช้สอย ต่าง ๆ) แม่พาข้าพเจ้า เดินทางไปบนบ้านหลังนั้น
จากที่สังเกต บนบ้านจะมีแต่ ญาติสนิท และ คนแก่คนเฒ่า บุคคลสำคัญ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน นั่งอยู่ใกล้ๆ ร่างอันไร้ วิญาณ ของยายแก่ ๆ เจ้าของบ้านนั้นเอง ใช่ครับ ยายเสียชีวิตแล้ว และ ทุกคน กำลัง จะทำพิธี อาบน้ำศพ ถ้าเป็นทางภาคกลางแล้ว จะใช้วิธี รดน้ำศพ แต่ทางภาคเหนือนั้น จะอาบ และ แต่งตัว โดยญาติ ๆ เป็น ครั้ง สุดท้าย
ข้าพเจ้าก็มีโอกาส ได้เห็นการอาบน้ำศพ เป้นครั้งแรก เรียกได้ว่า เห็นชัด ระดับ Full HD เพราะว่า นั่งอยู่ใกล้ กับ ศพ แนบชิด ตัวแทบติดกัน ระหว่างที่ดู พิธีการรดน้ำศพนั้น มียายอีกคน เป็นยายคนละคนกับ ยายที่เสียชีวิต ยายคนนี้ อยู่ข้างบ้านข้าพเจ้า รั้วบ้านติดกัน ยายคนนี้ เดินเข้ามาช้าๆ และ นั่งข้างๆ ข้าพเจ้า ไม่พูดจา ไม่ทักทาย ไม่เหมือนปกติ ที่เจอกันทีไร ก็ ทักทายตลอด อีกอย่าง ยายข้างบ้าน ชอบมา เที่ยว มาพูดคุย ที่บ้านข้าพเจ้า อยู่ เป็นประจำ ยายเดินมานั่งข้างข้าพเจ้า ไม่พูดจา เอาแต่มองมาทางข้าพเจ้าอย่างเดียว ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้สนใจอะไร คิดว่า ยายอาจจะเศร้าอยู่มั้ง
หลังจากนั้น ข้าพเจ้ากับแม่ ได้กลับมาที่บ้าน ตอนนั้นเป็นเวลา ประมาณ บ่าย 3 โมง ขณะที่ข้าพเจ้า นั่งคุยกับแม่ ใต้ถุนบ้าน ยายข้างบ้าน ใช่ ยายข้างบ้านคนที่นั่งข้าง ๆ ข้าพเจ้า ที่ งานศพ มาอีกแล้ว ยายเดินจากบ้านตัวเอง มาที่บ้านข้าพเจ้าซึ่งอยู่ติดกัน
ยาย : ศพมาละกะ อาบน้ำศพเสร็จ หรือยัง ?
ข้าพเจ้า : (ตกใจมาก สีหน้าตอนนั้น คงไม่ต่างอะไรกับ เนื้อไก่ต้ม ซีด ๆ) ก็เมื่อกี้ ยายนั่งใกล้ผมนี่ครับ ที่ งานศพ
ยาย : ไม่ได้ไปนี่ ยายได้ยินเสียงกลอง และ ได้ยินคนที่ตลาด คุยกันว่า มีคนตาย จึงกลับมาทำงานบ้านก่อน พึ่งเสร็จ นี่ว่าจะไปงานศพ อยู่เหมือนกัน
ข้าพเจ้า : แล้วถ้า คนนั้น ไม่ใช่ยาย แล้ว เป็นใครกัน
ยายกับแม่ ทำหน้าตา งง แล้วไม่ได้พูดอะไร ส่วนยายข้างบ้าน ก็เดินทางไปงานศพ ตามที่วางแผนไว้ แม่ก็ไปเตรียมอาหารเย็น ข้าพเจ้าเอง ก็ทำอะไรไม่ถูก กลัวก็กลัว งงก็งง
วิเคราะห์เหตุการณ์
จากเรื่องนี้ ข้าพเจ้า ได้เห็นยายข้างบ้าน 2 ครั้ง แตกต่างกันที่ สถานที่ และ เวลา แต่ คิดว่ายายทั้ง 2 คน ไม่ใช่ คนเดียวกันอย่างแน่นอน อาจจะเป็นไปได้ว่า ยายที่ ข้าพเจ้า เห็นนั้น คือ ยาย คนที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นวิญญาณ ที่มารอคอย การขอขมา ลาโทษ จาด ลูกหลาน เป็นวิญญาณ ที่ยังไม่ได้เดินทางไปยัง สัมปรายภพ ที่ควรเป็น ยังเป็นวิญญาณ ที่รอ การนำพาสู่โลกแห่ง วิญญาณนั่งเอง
ข้อคิด
ชีวิตหลังความตาย มีมากมาย หลายหลาก รูปแบบ แต่ ไม่ว่าจะแบบใดนั้น ความผูกพัน ระหว่างคนในครอบครัว และ สายสัมพันธ์ เครือญาติ เป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบัน สถาบันครองครัวในประเทศไทย ค่อนข้างอ่อนแอลง เนื่องจากการพัฒนา สู่ สังคมการทำมาหากินนอกบ้าน และ ใช้ เงิน เป็นตัวซื้อความสะดวกสบาย ใช้เงินจ้างบุคคลอื่น ที่ ไม่ใช่พ่อและแม่ มาดูแลลูก ใช้เงินจ้างบุคคลอื่น มาดูแล พ่อแม่เรายามแก่เฒ่า จนบางครอบครัว แทบ ไม่ได้เห็นหน้าพูดคุยกันด้วยซ้ำ แต่เมื่อตายไป ทรัพย์สิน หรือ เครื่องอำนวยความสะดวก เหล่านั้น ไม่ได้ติดตัวเราไปเลย คงไว้แค่ความดีงาม ความรัก และ สายสัมพันธ์ เท่านั้นเอง