เรื่องจริงที่ต้องเล่าต่อ
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน ศาลาร้าง ข้าง สี่ แยก
สวัสดี ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ใน ตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้พูดคุย ถึง เรื่อง เงาดำ ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอมาด้วยตนเอง เหตุการณ์ นั้น นับว่า เป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่ ข้าพเจ้า ไม่อาจจะลืมไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ การพบเจอ สิ่งลี้ลับ เหนือธรรมชาติ ของ ข้าพเจ้านั้น ไม่ได้ เกิดขึ้นแค่ ตอนที่ ข้าพเจ้า อยู่ในวัยโตเป็นผู้ใหญ่ และ วัยทำงานแล้วเท่านั้น แต่ เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้า ได้พบเจอ ได้เห็น และ ได้สัมผัส ถึง สิ่งลี้ลับ เหนือธรรมชาติเหล่านั้น ได้ เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก วัยที่ยังไร้เดียงสา ถ้า เปรียบเทียบ คุณสมบัติ ทาง คุณวุฒิ หรือ การตัดสินใจนั้น วัยผู้ใหญ่ ย่อมสามารถพิจารณา เหตุการณ์ ต่างๆ ได้ แยบยล และ ละเอียดดีกว่ามาก แต่ ถ้าหาก เปรียบเทียบคุณสมบัติ ทางการ สื่อสาร ถึง สิ่งลี้ลับ เหนือ ธรรมชาตินั้นแล้ว วัยเด็ก ถือว่า เป็นวัย ที่สามารถ สื่อได้อย่างชัดเจนที่สุด เนื่องจาก เด็ก ย่อมบริสุทธิ์ ไม่ปนเปื้อนจิต ที่ ชั่วร้ายใด ๆ นั่นเอง
มาเข้าเรื่องกันเลยนะ ท่านผู้อ่านที่รัก ทุกท่าน ตอนนั้น จำความได้ เลือนราง ว่า ข้าพเจ้า อายุประมาณ 5 ขวบได้ บ้านข้าพเจ้า เป็นบ้านชนบท ห่างไกล ความสิวิไล ห่างไกล ความเจริญ และ ห่างไกล ความวุ่นวายในเมืองมากเลยทีเดียว บ้านข้าพเจ้า เป็นบ้านไม้สัก ทรงโบราณทางภาคเหนือ บ้านยก ใต้ถุนสูง ตัวบ้าน แบ่งเป็น 2 ห้อง คือ ห้องพ่อแม่ และ ห้อง พี่สาว ส่วนตัวข้าพเจ้า เป็นลูก ที่ไม่ได้ มีการวางแผนให้ออกมา (แถวบ้าน เรียกว่า ลูกหลง) จึงต้อง นอน บริเวณโถงของบ้าน จากตัวบ้าน ลง บันได ที่ แสนยาว สำหรับ ข้าพเจ้า ในวัยเด็ก ตอนนั้น (บันไดบ้านข้าพเจ้า น่าจะมี สัก 12 ซี่) ลงมาถึงที่นั่งพัก ใช้สำหรับ รับแขก พูดคุย กับเครือญาติ และ เพื่อนๆ ที่มาหา บริเวณนั้น มีโอ่งน้ำเล็กๆ ไว้ สำหรับล้างเท้า ก่อน ขึ้นไปบนบ้าน มีต้น สาวน้อยปะแป้ง เรียงราย รอบๆ ที่ นั่งพักนั้น ที่ พี่สาวของข้าพเจ้า ได้ ตั้งใจปลูกไว้เอง ใบสีเขียวแต้มลายจุด แดง เหลือง น้ำเงิน ช่าง สวยงาม
เลยที่นั่งพัก มาทางหน้าบ้าน อีกประมาณ ไม่ถึง 10 ก้าวผู้ใหญ่ ได้ ติดกับรั้วบ้าน เป็นรั้วไม้เก่า ความสูงประมาณ 1 เมตร เป็นที่ตั้งโอ่งน้ำใหญ่ เป็นโอ่งกระเบื้องเคลือบลายมังกร สีน้ำตาลอ่อน ใช้ สำหรับตวงน้ำ ใช้สอย บนบ้าน และ ใช้สอยอื่นๆ เช่น ถ้าต้องทำ อาหาร ซักผ้า หรือ ใช้สอยตามอัธยาศัยหลายอย่าง บริเวณใกล้ๆ โอ่งนั้น ปลูกมะลิซ้อน ไว้ ต้นใหญ่ มาก พอตอนกลางคืนมา กลิ่นมะลิหอมตลบอบอวล ไปทั่วแถวบริเวณบ้าน และ บ้านใกล้เคียง เรียกว่า หอมไป ทั้งซอย น้ำที่อยู่ในโอ่งนั้น เย็นชื่นใจ อย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้า ชอบ ไป อาบน้ำ ที่ โอ่งนั้นมาก เรียกว่า แก้ผ้าอาบโดยไม่ได้อาย ผู้คนเลย ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าได้ อาบน้ำจากในโอ่งใบนั้น ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน จะรู้สึก เย็น สบายไปทั้งตัว ผ่อนคลาย ความเหน็ดเหนื่อยที่เล่นมาทั้งวัน
จำได้ว่า ประมาณ กลางปี ไม่แน่ใจว่า น่าจะเดือนเมษายน ได้เกิดเหตุการณ์ น่า สลดหดหู่ใจ อย่างยิ่ง เกิดขึ้นกับหมู่บ้านเรา นั่นก็คือ คุณครูใหญ่ ที่สอนโรงเรียนประจำหมู่บ้าน และ คุณครูผู้หญิง ที่เป็น ภรรยา ประสบ อุบัติเหตุ รถยนต์พลิกคว่ำ เสียชีวิต ทั้งคู่ ทางหมู่บ้านเรา จัดงานศพ อย่างใหญ่โต และ สมเกียรติ (สมัยนั้น วิชาชีพครู เป็น วิชาชีพที่ ถูกนับถือ และ ยกย่องมาก เกือบเท่ากับพ่อแม่) หลังจากงานศพ ผ่านพ้นไป ได้มีการ ถวาย ศาลาเอนกประสงค์ เพื่อชุมชน ไว้ทำประโยชน์ สำหรับ ประชุม พบปะ หารือ เรื่องงานต่างๆ ของ หมู่บ้าน เป็น ศาลาไม้สัก มีความกว้างขวางใหญ่โต ถ้าประชุมน่าจะจุคน ประมาณ 20 คนได้อย่างสบาย
บ้านข้าพเจ้าเอง ติดกับสี่แยก ของหมู่บ้าน เลยบ้านญาติมาแค่ หลังเดียว และ ศาลาที่ ได้ทำ ถวาย เนื่องใน งานศพครูใหญ่นั้น ก็ถูก สร้างขึ้นที่ ใกล้บริเวณบ้าน ของข้าพเจ้านั่นเอง
เป็นเวลาปกติ ตอนเย็น ๆ ช่วงพลบค่ำ ที่ข้าพเจ้า ต้องอาบน้ำ แล้วเตรียมตัว รับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว หลังจากจัดแจง สบู่ ยาสีฟัน แปรงฟัน แชมพู ถอดเสื้อผ้า เปลือยเสร็จสับ (พูดไป ก็ อาย ท่านผู้อ่านไป) ก็ลงมาจากบ้าน เพื่อ อาบน้ำ ให้ เย็นกาย สบายใจ แต่วันนี้ รู้สึก บรรยากาศเย็นเป็นพิเศษ และ มืดเร็วกว่าปกติด้วย ขณะที่ข้าพเจ้า เริ่ม ตักน้ำจาก โอ่งที่อาบนั้น
……สายตา ข้าพเจ้า ได้ มอง ไป เห็น อะไร บางอย่าง ในศาลา ที่ สี่ แยก
……เอะ นั่น คน หรือ อะไร หรือ ใคร มานั่งอยู่
…....ท่าทาง ของ บุคคล คนนั้น นั่งนิ่งๆ มองมาทาง ข้าพเจ้า
……ปกติ ข้าพเจ้า ก็ ไม่เคย เห็นใคร มานั่งที่ ศาลานี้ ตอนค่ำเลย
……นั่ง เอาคาง วางแนบชิด มือ สองข้างที่วางบน ขอบ ด้านข้างศาลา
……จ้องมองเรา แบบไม่ขยับตัว ไม่ได้ บ่งบอกอาการ ลักษณะของคนปกติ ที่ ต้อง เดินไปมา หรือ ทำกิจกรรมอื่นๆ เลย
……ตอนนั้น ศาลา ไม่ได้ เปิดไฟ มืดสลัว จึง มองไม่ออกว่า บุคคล นั้น ใส่ชุดสีอะไร หรือ ใส่ เสื้อผ้า หรือเปล่า ดูไปแล้ว มันมืด ดำ ไปหมด เหมือนเงา มากกว่า แต่ ทำไม ? ข้าพเจ้ากลับคิดว่า รูปร่าง เหมือนคนมาก
……ทรงผม บุคคลนั้น ผมสั้น หยิกงอ เหมือนประมาณ เงาะป่า หรือ เส้นผม ที่ถูกไฟเผาลนให้ไหม้
……ตาคู่นั้น ที่แดง คือ แดงมาก เหมือนหลอดไฟ ถ้าเปรียบเทียบเป็นตุ๊กตา ก็น่าจะเป็น ตาไฟฟ้า สีแดง แต่ ความ รู้สึกจากตาคู่ นั้น มันแสดงความเศร้า ออกมา แบบบรรยายไม่ถูกเลย
……ปากที่แดงมาก แดงมากกว่า การระบายด้วยลิปสติก สีแดงเลือดนก ด้วยซ้ำ แดงพอๆ กับ ลูกตา ดูแล้วเหมือนเลือด ก็ ไม่เชิง เหมือนหลอดไปสีแดง มากกว่า
ข้าพเจ้าเอง ก็ ไม่ได้ใส่ใจ อะไรนัก เพราะ ด้วยความเป็นเด็ก และ ไม่รู้ว่า สิ่งที่ เห็น ต้องการ อะไรจากเรา (ถ้าเป็นตอนโตคงวิ่งไปนานละ) จึงได้อาบน้ำต่อ ด้วยคนสงสัย และ ยัง งง อยู่ ในใจ
เสร็จจากการ อาบน้ำ ที่ละทิ้ง ความสงสัยไว้ ก็ ขึ้นไปบนบ้าน แต่งตัว ไปนั่งพร้อมหน้ากัน รอ รับประทานอาหาร มื้อเย็น ที่แสนเอร็ดอร่อย
หลังจากอิ่มหมีพลีมัน เต็มที่ แล้ว แต่.............. ความ สงสัย ยังคงอยู่ ระหว่าง นั่งดูโทรทัศน์ กับแม่ จึงได้บอกแม่ไป
ข้าพเจ้า : แม่ แม่ เมื่อกี้ ตอนอาบน้ำ มีคน มานั่งดูน้องด้วย (ปกติ เวลาคุยกับแม่ ข้าพเจ้าจะแทนตัวเอง ว่า น้อง)
แม่ : ว่าไปเรื่อยละ ใครมาจะดู เด็กน้อย อาบน้ำกัน
ข้าพเจ้า : จริงๆ นะแม่ คนคนนั้น นั่งอยู่ในศาลา
แม่ และ พ่อ เริ่ม หันหน้ามองกัน สีหน้า เหมือนกับว่า มีอะไรจะบอกกัน แต่ไมได้พูดอะไร ออกมา
แม่ : ท่าทางคนนั้นเป็นยังไง เล่าให้แม่ฟังหน่อย
ข้าพเจ้า : เหมือนเป็นลุงนะแม่ (เพราะท่าทางเป็นผู้ชายมีอายุ) มานั่ง จ้องมองน้องอาบน้ำ ตาลุง กับ ปากลุง แดงมาก เหมือนหลอดไฟ
ท่าทางแม่ดูตกใจ และ เหมือน แสดงว่า กลัวอะไร สักอย่าง
แม่ : นี่พูดจริง ๆ หรือ ล้อเล่น ?
ข้าพเจ้า : ก็น้องเห็นจริง ๆ ไม่เคยเห็นลุงมาก่อน ก็เลยถามแม่ดู อีกอย่าง ลุงดูน่ากลัว
แม่เริ่มหา กระดาษ อะไรบ่างอย่าง มาให้เราดู เป็นกระดาษขาวดำ ที่มีรูป อยู่ตรงกลาง แม่ได้มาจาก งานศพ ตอนกลางวัน
แม่ : (ชี้รูปในกระดาษ แผ่นนั้น) เหมือนคนนี้ ไหม ?
ข้าพเจ้า : (พยักหน้า) เหมือนอยู่นะ แต่ตากับปากลุง สีแดง
แม่หันไปคุยกับพ่อ
แม่ : พ่อมัน ครูใหญ่
จากนั้นพ่อรีบไปปิด ประตูบ้าน เก็บข้าวของ เครื่องใช้ ต่างๆ จากการไปสวนมา และ พวกเรา เข้านอน กัน อย่างรวดเร็ว
วิเคราะห์เหตุการณ์
ใน สถานที่ ต่างๆ ที่ร้าง หรือ ไม่มีผู้คนอยู่ อาศัย เช่น บ้านร้าง โรงเรียนร้าง วัดร้าง หรือ ศาลาริมทางต่าง ๆ ในความเชื่อพื้นบ้านของเรา เชื่อกันว่า จะมี วิญญาณล่องลอย เป็นดวงจิต ที่ไม่มี สถานที่ สิงสถิต เข้าไปพัก อาศัย วนเวียนอยู่ และ อาจจะ แสดงตัวตน ให้ ผู้คน ได้พบเห็น อยู่ เพื่อ ขอส่วนบุญ ส่วนกุศล หรือ ต้องการ แสดงความต้องการ อย่างไดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกัน กับ กรณีนี้ ซึ่ง ข้าพเจ้า คิดว่า น่าจะเป็น สัมภเวสี แตกต่างอยู่ นิดหน่อย กับ กรณี เงาดำ ใน ซอยเปลี่ยว (เรื่องเล่า สู่ เรื่องจริง 1) คือ วิญญาณ ที่ ข้าพเจ้า พบเห็น ใน ศาลานี้ ไม่ได้เร่ร่อน แต่ วนเวียนอาศัย ใน ศาลานี้ที่ ชาวบ้าน ถวายให้ เพื่อ เป็น อนุสรณ์ ความดี ของ “ครู” ด้วยกรรมดี บารมีที่วิญญาณนั้นสะสมมา ด้วยการ อบรม สั่งสอน เด็ก ๆ ให้เติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็น อนาคตของชาติ ดูแล บุตรหลานของชาวบ้าน ในระหว่างช่วงที่ ชาวบ้านไปประกอบอาชีพ เพื่อ เลี้ยงครอบครัว ให้ข้อคิด ให้หลักคำสอนที่ดีงาม วิญญาณครูใหญ่นี้ จึง สามารถ สถิตย์ ณ ที่ ศาลานี้ได้ และ รอ ปลดปล่อยไปยัง สัมปรายภพ (สวรรค์ และ นรก)ที่ควร ต่อไป
ข้อคิด
ในการประกอบ สัมมาอาชีพใดๆ ควร ปฏิบัติ สัมมาอาชีพนั้น ด้วยความสัตย์ซื่อ สุจริต มั่นคง ใน คุณงามความดี ไม่ใช้ สัมมาอาชีพนั้น เป็น ลู่ทาง หา ผลประโยชน์ใส่ตน จนทำให้ ประชาชน บุคคลอื่นๆ เดือดร้อนกายร้อนใจ ประเทศชาติจะได้ เจริญรุ่งเรือง มีแต่ความดี มีแต่คนดีบนแผ่นดิน ถ้าตอนมีชีวิต เป็น มนุษย์ ได้ประกอบ สัมมาอาชีพนั้น ได้ บริสุทธิ์ ผ่องใส เมื่อตายไป ไม่ว่า จะเป็น วิญญาณก็ดี จะเป็น เทพก็ดี จะเป็นภพภูมิใดก็ดี ย่อมได้รับ บารมี แห่ง กรรมดีนั้น ส่งเสริมให้ อำนายอวยชัยให้ สู่แดนสวรรค์ ได้อย่าง แน่นอน
"เศษฝุ่นสีเงิน"
เรื่องเล่า สู่ เรื่องจริง 2
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม
ตอน ศาลาร้าง ข้าง สี่ แยก
สวัสดี ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ใน ตอนที่แล้ว ข้าพเจ้าได้พูดคุย ถึง เรื่อง เงาดำ ที่ข้าพเจ้าได้พบเจอมาด้วยตนเอง เหตุการณ์ นั้น นับว่า เป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่ ข้าพเจ้า ไม่อาจจะลืมไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ การพบเจอ สิ่งลี้ลับ เหนือธรรมชาติ ของ ข้าพเจ้านั้น ไม่ได้ เกิดขึ้นแค่ ตอนที่ ข้าพเจ้า อยู่ในวัยโตเป็นผู้ใหญ่ และ วัยทำงานแล้วเท่านั้น แต่ เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้า ได้พบเจอ ได้เห็น และ ได้สัมผัส ถึง สิ่งลี้ลับ เหนือธรรมชาติเหล่านั้น ได้ เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก วัยที่ยังไร้เดียงสา ถ้า เปรียบเทียบ คุณสมบัติ ทาง คุณวุฒิ หรือ การตัดสินใจนั้น วัยผู้ใหญ่ ย่อมสามารถพิจารณา เหตุการณ์ ต่างๆ ได้ แยบยล และ ละเอียดดีกว่ามาก แต่ ถ้าหาก เปรียบเทียบคุณสมบัติ ทางการ สื่อสาร ถึง สิ่งลี้ลับ เหนือ ธรรมชาตินั้นแล้ว วัยเด็ก ถือว่า เป็นวัย ที่สามารถ สื่อได้อย่างชัดเจนที่สุด เนื่องจาก เด็ก ย่อมบริสุทธิ์ ไม่ปนเปื้อนจิต ที่ ชั่วร้ายใด ๆ นั่นเอง
มาเข้าเรื่องกันเลยนะ ท่านผู้อ่านที่รัก ทุกท่าน ตอนนั้น จำความได้ เลือนราง ว่า ข้าพเจ้า อายุประมาณ 5 ขวบได้ บ้านข้าพเจ้า เป็นบ้านชนบท ห่างไกล ความสิวิไล ห่างไกล ความเจริญ และ ห่างไกล ความวุ่นวายในเมืองมากเลยทีเดียว บ้านข้าพเจ้า เป็นบ้านไม้สัก ทรงโบราณทางภาคเหนือ บ้านยก ใต้ถุนสูง ตัวบ้าน แบ่งเป็น 2 ห้อง คือ ห้องพ่อแม่ และ ห้อง พี่สาว ส่วนตัวข้าพเจ้า เป็นลูก ที่ไม่ได้ มีการวางแผนให้ออกมา (แถวบ้าน เรียกว่า ลูกหลง) จึงต้อง นอน บริเวณโถงของบ้าน จากตัวบ้าน ลง บันได ที่ แสนยาว สำหรับ ข้าพเจ้า ในวัยเด็ก ตอนนั้น (บันไดบ้านข้าพเจ้า น่าจะมี สัก 12 ซี่) ลงมาถึงที่นั่งพัก ใช้สำหรับ รับแขก พูดคุย กับเครือญาติ และ เพื่อนๆ ที่มาหา บริเวณนั้น มีโอ่งน้ำเล็กๆ ไว้ สำหรับล้างเท้า ก่อน ขึ้นไปบนบ้าน มีต้น สาวน้อยปะแป้ง เรียงราย รอบๆ ที่ นั่งพักนั้น ที่ พี่สาวของข้าพเจ้า ได้ ตั้งใจปลูกไว้เอง ใบสีเขียวแต้มลายจุด แดง เหลือง น้ำเงิน ช่าง สวยงาม
เลยที่นั่งพัก มาทางหน้าบ้าน อีกประมาณ ไม่ถึง 10 ก้าวผู้ใหญ่ ได้ ติดกับรั้วบ้าน เป็นรั้วไม้เก่า ความสูงประมาณ 1 เมตร เป็นที่ตั้งโอ่งน้ำใหญ่ เป็นโอ่งกระเบื้องเคลือบลายมังกร สีน้ำตาลอ่อน ใช้ สำหรับตวงน้ำ ใช้สอย บนบ้าน และ ใช้สอยอื่นๆ เช่น ถ้าต้องทำ อาหาร ซักผ้า หรือ ใช้สอยตามอัธยาศัยหลายอย่าง บริเวณใกล้ๆ โอ่งนั้น ปลูกมะลิซ้อน ไว้ ต้นใหญ่ มาก พอตอนกลางคืนมา กลิ่นมะลิหอมตลบอบอวล ไปทั่วแถวบริเวณบ้าน และ บ้านใกล้เคียง เรียกว่า หอมไป ทั้งซอย น้ำที่อยู่ในโอ่งนั้น เย็นชื่นใจ อย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้า ชอบ ไป อาบน้ำ ที่ โอ่งนั้นมาก เรียกว่า แก้ผ้าอาบโดยไม่ได้อาย ผู้คนเลย ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าได้ อาบน้ำจากในโอ่งใบนั้น ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน จะรู้สึก เย็น สบายไปทั้งตัว ผ่อนคลาย ความเหน็ดเหนื่อยที่เล่นมาทั้งวัน
จำได้ว่า ประมาณ กลางปี ไม่แน่ใจว่า น่าจะเดือนเมษายน ได้เกิดเหตุการณ์ น่า สลดหดหู่ใจ อย่างยิ่ง เกิดขึ้นกับหมู่บ้านเรา นั่นก็คือ คุณครูใหญ่ ที่สอนโรงเรียนประจำหมู่บ้าน และ คุณครูผู้หญิง ที่เป็น ภรรยา ประสบ อุบัติเหตุ รถยนต์พลิกคว่ำ เสียชีวิต ทั้งคู่ ทางหมู่บ้านเรา จัดงานศพ อย่างใหญ่โต และ สมเกียรติ (สมัยนั้น วิชาชีพครู เป็น วิชาชีพที่ ถูกนับถือ และ ยกย่องมาก เกือบเท่ากับพ่อแม่) หลังจากงานศพ ผ่านพ้นไป ได้มีการ ถวาย ศาลาเอนกประสงค์ เพื่อชุมชน ไว้ทำประโยชน์ สำหรับ ประชุม พบปะ หารือ เรื่องงานต่างๆ ของ หมู่บ้าน เป็น ศาลาไม้สัก มีความกว้างขวางใหญ่โต ถ้าประชุมน่าจะจุคน ประมาณ 20 คนได้อย่างสบาย
บ้านข้าพเจ้าเอง ติดกับสี่แยก ของหมู่บ้าน เลยบ้านญาติมาแค่ หลังเดียว และ ศาลาที่ ได้ทำ ถวาย เนื่องใน งานศพครูใหญ่นั้น ก็ถูก สร้างขึ้นที่ ใกล้บริเวณบ้าน ของข้าพเจ้านั่นเอง
เป็นเวลาปกติ ตอนเย็น ๆ ช่วงพลบค่ำ ที่ข้าพเจ้า ต้องอาบน้ำ แล้วเตรียมตัว รับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว หลังจากจัดแจง สบู่ ยาสีฟัน แปรงฟัน แชมพู ถอดเสื้อผ้า เปลือยเสร็จสับ (พูดไป ก็ อาย ท่านผู้อ่านไป) ก็ลงมาจากบ้าน เพื่อ อาบน้ำ ให้ เย็นกาย สบายใจ แต่วันนี้ รู้สึก บรรยากาศเย็นเป็นพิเศษ และ มืดเร็วกว่าปกติด้วย ขณะที่ข้าพเจ้า เริ่ม ตักน้ำจาก โอ่งที่อาบนั้น
……สายตา ข้าพเจ้า ได้ มอง ไป เห็น อะไร บางอย่าง ในศาลา ที่ สี่ แยก
……เอะ นั่น คน หรือ อะไร หรือ ใคร มานั่งอยู่
…....ท่าทาง ของ บุคคล คนนั้น นั่งนิ่งๆ มองมาทาง ข้าพเจ้า
……ปกติ ข้าพเจ้า ก็ ไม่เคย เห็นใคร มานั่งที่ ศาลานี้ ตอนค่ำเลย
……นั่ง เอาคาง วางแนบชิด มือ สองข้างที่วางบน ขอบ ด้านข้างศาลา
……จ้องมองเรา แบบไม่ขยับตัว ไม่ได้ บ่งบอกอาการ ลักษณะของคนปกติ ที่ ต้อง เดินไปมา หรือ ทำกิจกรรมอื่นๆ เลย
……ตอนนั้น ศาลา ไม่ได้ เปิดไฟ มืดสลัว จึง มองไม่ออกว่า บุคคล นั้น ใส่ชุดสีอะไร หรือ ใส่ เสื้อผ้า หรือเปล่า ดูไปแล้ว มันมืด ดำ ไปหมด เหมือนเงา มากกว่า แต่ ทำไม ? ข้าพเจ้ากลับคิดว่า รูปร่าง เหมือนคนมาก
……ทรงผม บุคคลนั้น ผมสั้น หยิกงอ เหมือนประมาณ เงาะป่า หรือ เส้นผม ที่ถูกไฟเผาลนให้ไหม้
……ตาคู่นั้น ที่แดง คือ แดงมาก เหมือนหลอดไฟ ถ้าเปรียบเทียบเป็นตุ๊กตา ก็น่าจะเป็น ตาไฟฟ้า สีแดง แต่ ความ รู้สึกจากตาคู่ นั้น มันแสดงความเศร้า ออกมา แบบบรรยายไม่ถูกเลย
……ปากที่แดงมาก แดงมากกว่า การระบายด้วยลิปสติก สีแดงเลือดนก ด้วยซ้ำ แดงพอๆ กับ ลูกตา ดูแล้วเหมือนเลือด ก็ ไม่เชิง เหมือนหลอดไปสีแดง มากกว่า
ข้าพเจ้าเอง ก็ ไม่ได้ใส่ใจ อะไรนัก เพราะ ด้วยความเป็นเด็ก และ ไม่รู้ว่า สิ่งที่ เห็น ต้องการ อะไรจากเรา (ถ้าเป็นตอนโตคงวิ่งไปนานละ) จึงได้อาบน้ำต่อ ด้วยคนสงสัย และ ยัง งง อยู่ ในใจ
เสร็จจากการ อาบน้ำ ที่ละทิ้ง ความสงสัยไว้ ก็ ขึ้นไปบนบ้าน แต่งตัว ไปนั่งพร้อมหน้ากัน รอ รับประทานอาหาร มื้อเย็น ที่แสนเอร็ดอร่อย
หลังจากอิ่มหมีพลีมัน เต็มที่ แล้ว แต่.............. ความ สงสัย ยังคงอยู่ ระหว่าง นั่งดูโทรทัศน์ กับแม่ จึงได้บอกแม่ไป
ข้าพเจ้า : แม่ แม่ เมื่อกี้ ตอนอาบน้ำ มีคน มานั่งดูน้องด้วย (ปกติ เวลาคุยกับแม่ ข้าพเจ้าจะแทนตัวเอง ว่า น้อง)
แม่ : ว่าไปเรื่อยละ ใครมาจะดู เด็กน้อย อาบน้ำกัน
ข้าพเจ้า : จริงๆ นะแม่ คนคนนั้น นั่งอยู่ในศาลา
แม่ และ พ่อ เริ่ม หันหน้ามองกัน สีหน้า เหมือนกับว่า มีอะไรจะบอกกัน แต่ไมได้พูดอะไร ออกมา
แม่ : ท่าทางคนนั้นเป็นยังไง เล่าให้แม่ฟังหน่อย
ข้าพเจ้า : เหมือนเป็นลุงนะแม่ (เพราะท่าทางเป็นผู้ชายมีอายุ) มานั่ง จ้องมองน้องอาบน้ำ ตาลุง กับ ปากลุง แดงมาก เหมือนหลอดไฟ
ท่าทางแม่ดูตกใจ และ เหมือน แสดงว่า กลัวอะไร สักอย่าง
แม่ : นี่พูดจริง ๆ หรือ ล้อเล่น ?
ข้าพเจ้า : ก็น้องเห็นจริง ๆ ไม่เคยเห็นลุงมาก่อน ก็เลยถามแม่ดู อีกอย่าง ลุงดูน่ากลัว
แม่เริ่มหา กระดาษ อะไรบ่างอย่าง มาให้เราดู เป็นกระดาษขาวดำ ที่มีรูป อยู่ตรงกลาง แม่ได้มาจาก งานศพ ตอนกลางวัน
แม่ : (ชี้รูปในกระดาษ แผ่นนั้น) เหมือนคนนี้ ไหม ?
ข้าพเจ้า : (พยักหน้า) เหมือนอยู่นะ แต่ตากับปากลุง สีแดง
แม่หันไปคุยกับพ่อ
แม่ : พ่อมัน ครูใหญ่
จากนั้นพ่อรีบไปปิด ประตูบ้าน เก็บข้าวของ เครื่องใช้ ต่างๆ จากการไปสวนมา และ พวกเรา เข้านอน กัน อย่างรวดเร็ว
วิเคราะห์เหตุการณ์
ใน สถานที่ ต่างๆ ที่ร้าง หรือ ไม่มีผู้คนอยู่ อาศัย เช่น บ้านร้าง โรงเรียนร้าง วัดร้าง หรือ ศาลาริมทางต่าง ๆ ในความเชื่อพื้นบ้านของเรา เชื่อกันว่า จะมี วิญญาณล่องลอย เป็นดวงจิต ที่ไม่มี สถานที่ สิงสถิต เข้าไปพัก อาศัย วนเวียนอยู่ และ อาจจะ แสดงตัวตน ให้ ผู้คน ได้พบเห็น อยู่ เพื่อ ขอส่วนบุญ ส่วนกุศล หรือ ต้องการ แสดงความต้องการ อย่างไดอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกัน กับ กรณีนี้ ซึ่ง ข้าพเจ้า คิดว่า น่าจะเป็น สัมภเวสี แตกต่างอยู่ นิดหน่อย กับ กรณี เงาดำ ใน ซอยเปลี่ยว (เรื่องเล่า สู่ เรื่องจริง 1) คือ วิญญาณ ที่ ข้าพเจ้า พบเห็น ใน ศาลานี้ ไม่ได้เร่ร่อน แต่ วนเวียนอาศัย ใน ศาลานี้ที่ ชาวบ้าน ถวายให้ เพื่อ เป็น อนุสรณ์ ความดี ของ “ครู” ด้วยกรรมดี บารมีที่วิญญาณนั้นสะสมมา ด้วยการ อบรม สั่งสอน เด็ก ๆ ให้เติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่ดี เป็น อนาคตของชาติ ดูแล บุตรหลานของชาวบ้าน ในระหว่างช่วงที่ ชาวบ้านไปประกอบอาชีพ เพื่อ เลี้ยงครอบครัว ให้ข้อคิด ให้หลักคำสอนที่ดีงาม วิญญาณครูใหญ่นี้ จึง สามารถ สถิตย์ ณ ที่ ศาลานี้ได้ และ รอ ปลดปล่อยไปยัง สัมปรายภพ (สวรรค์ และ นรก)ที่ควร ต่อไป
ข้อคิด
ในการประกอบ สัมมาอาชีพใดๆ ควร ปฏิบัติ สัมมาอาชีพนั้น ด้วยความสัตย์ซื่อ สุจริต มั่นคง ใน คุณงามความดี ไม่ใช้ สัมมาอาชีพนั้น เป็น ลู่ทาง หา ผลประโยชน์ใส่ตน จนทำให้ ประชาชน บุคคลอื่นๆ เดือดร้อนกายร้อนใจ ประเทศชาติจะได้ เจริญรุ่งเรือง มีแต่ความดี มีแต่คนดีบนแผ่นดิน ถ้าตอนมีชีวิต เป็น มนุษย์ ได้ประกอบ สัมมาอาชีพนั้น ได้ บริสุทธิ์ ผ่องใส เมื่อตายไป ไม่ว่า จะเป็น วิญญาณก็ดี จะเป็น เทพก็ดี จะเป็นภพภูมิใดก็ดี ย่อมได้รับ บารมี แห่ง กรรมดีนั้น ส่งเสริมให้ อำนายอวยชัยให้ สู่แดนสวรรค์ ได้อย่าง แน่นอน
"เศษฝุ่นสีเงิน"