เรื่องจริง สู่ เรื่องเล่า 4

กระทู้สนทนา
เรื่องจริงที่ต้องเล่าต่อ
จาก
นามปากกา “เศษฝุ่นสีเงิน”
เสนอ
วิญญาณ ติด กรรม


ตอน ลางสังหรณ์

               ถ้าข้าพเจ้า จะ พูดถึงเรื่อง ลางสังหรณ์ ข้าพเจ้า มีความเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ท่านผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงเคยมีประสบการณ์ เกี่ยวกับ ลางสังหรณ์ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่างเช่นว่า มีความรู้สึกผูกพันกับ สถานที่บางแห่ง มีความผูกพันกับสิ่งของบางอย่าง หรือ รู้สึกคุ้นเคยกับ บุคคลบางคนที่ไม่เคยรู้จักเลย
               ในหลายๆ สถานการณ์ ที่อาจได้พบเจอเอง หรือจากการบอกเล่า จากคนที่รู้จัก เช่น เมื่อฝันถึง เหตุการณ์บางอย่าง และ เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริงใน อนาคต หรือ ฝันถึง สถานที่ บางแห่ง ได้ไป หรือ รู้จัก และเกิดได้ไปในสถานที่นั้นๆ ในเวลาต่อมา
ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้เป็นเพียง ไม่กี่กรณี ของ สิ่งที่เรียกว่า ลางสังหรณ์ ส่วนในละคร เห็น ส่วนมาก ลางสังหรณ์ ของพ่อแม่พระเอกนางเอก จะทำรูปพระเอกนางเอกตกแตก ซึ่งแปล ลางสังหรณ์นี่ว่า อาจเกิดอันตรายกับพระเอกนางเอก นั่นเอง
               ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้า ขอยกตัวอย่าง ลางสังหรณ์ ของตัวข้าพเจ้าเอง มาเล่าสู่ ให้ท่านผู้ฟัง ได้ลองพิจารณาดูนะครับ จากหลาย ๆ เรื่อง ที่เล่าก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้า ก็คิดว่า ตัวข้าพเจ้าเอง มีสัมผัสพิเศษ ที่สามารถรับรู้ ได้ถึง พลังงานบางอย่างที่บุคคล ทั่วไป ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้
               ในช่วงตอนเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้น เป็นช่วงเกือบปลายปี แต่ที่หมู่บ้านพึ่งมีการจัดงาน ลอยกระทง เพราะต้องเวียนกันจัด ให้ ครบทุกหมู่บ้านจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 25 ธันวาคม หลังจากที่ไปเดินเที่ยวงานลอยกระทง กับครอบครัว และกลับมาที่บ้านตอนประมาณ 3 ทุ่ม สำหรับบ้านนอกแล้ว เป็นเวลาที่ดึกมาก ทุกคนจึงต้องล้างเท้า เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บขนม เก็บของที่ได้มาจากงานลอยกระทง เพื่อเข้านอน
                ตอนเข้านอน ผมก็หลับปกติ ไม่ได้มีเหตุการณ์ อะไรเลย จนถึงใกล้รุ่งสาง ก็ฝันอะไรแปลกๆ ตามความเชื่อของชาวบ้าน เชื่อว่า ความฝันใกล้รุ่งสาง เป็นความฝันที่เกิดขึ้นจาก นิมิตที่มีพลัง สามารถเกิดขึ้นจริงและเป็นการเตือนล่วงหน้า หรือ อีกอย่างสามารถเรียกได้ว่า ลางสังหรณ์    
                ในความฝัน ข้าพเจ้า เดินไปหลังบ้าน ซึ้งรั้วบ้านข้าพเจ้า เป็นรั้วไม้ ไม่ทึบ สามารถเข้า ออก ไปบ้านข้างได้อย่างสบาย บริเวณนั้น มีต้นมะม่วงของข้างบ้านติดอยู่ เป็นมะม่วงที่เราเรียกว่า  มะม่วงแก้มแดง เป็นมะม่วงที่ออกผลมา ตอนดิบเปรี๊ยวได้ใจ พอเริ่มสุก ผลจะเป็นสีเหลืองแกมแดง หอมหวาน อร่อยมาก ต้นมะม่วงนี้ สูงใหญ่ เลยหลังคาบ้านข้างๆไปอีก มีกิ่งก้านแยกออกมามากมาย
                ในกิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้า เดินเข้าไปใกล้ๆ และมองเห็นผู้หญิง วัยกลางคน ตัว ขาวซีด ประมาณว่า ถูกแช่น้ำมาหลายวัน หลายคืน ห้อยอยู่บนต้นไม้ สภาพนั้น อยู่นิ่งๆ หลับตา ไม่มีอาการของการมีชีวิต ไม่มีบาดแผลการโดนทำร้าย  มีเชือกเส้นใหญ่ ผูกข้อเท้าซ้าย ไว้แน่น และ ถูกห้อยหัวลงมาจากกิ่งมะม่วงนั้น ผมยาวดำหยักโสก ห้อยลงมาเกือบถึงพื้นดิน หันหน้ามาทางข้าพเจ้า และ นิ่งอยู่แบบนั้น
                ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นมา ใจสั่น ตัวสั่น เหงื่อแตกเต็มตัว ได้แต่นิ่งอยู่บนที่นอนสักพัก ไปไหนไม่ได้เลย แต่ข้าพเจ้า ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ครองครัวฟังเลย เพราะข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าคิดไปเอง และมันเป็นแค่ความฝันเท่านั้นเอง
                วันที่ 29 ธันวาคม เป็นวันสุดท้ายที่ทาง หมู่บ้านได้ จัดงานลอยกระทง ครอบครัวข้าพเจ้าไม่ได้ไปงาน เพราะไปหลายวันแล้ว แต่บ้านข้างๆ น่าจะไปงาน บ้านข้างๆ ข้าพเจ้า คือบ้าน ยายข้างบ้านที่ข้าพเจ้า ได้เล่าไปตอนที่แล้ว ข้างบ้านมี สมาชิกครอบครัวคือ ยาย แม่  ลูกชาย และ สามีใหม่ ของแม่ข้างบ้าน วันนั้นไม่แน่ใจว่า มีการทะเลาะเบาะแว้ง อะไรกันหรือไม่ ลูกชายได้ออกไปเที่ยวงานลอยกระทง ส่วนสามีใหม่ ของ แม่ข้างบ้าน ออกไปดื่มนอกบ้าน แม่อยู่กับยาย 2 คน ช่วงเวลานั้น ประมาณเกือบเที่ยงคืน  บ้านข้าพเจ้า และบ้าน ใกล้เคียงที่ไม่ได้ ไปงานก็นอนหลับ หมดแล้ว

ช่วยด้วย  ช่วยด้วย  ช่วยด้วย  มีคนแขวนคอ  ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  

            เสียงนี้ เอาทุกคน รอบๆ ใกล้เคียงตื่นกันหมด ครอบครัวข้าพเจ้าเอง ก็ตื่นมา แล้ว เปิดไฟ พยายาม หาต้นตอของเสียงนั้น ๆ ว่า มาจากที่ใด ?

            พ่อเปิดหน้าต่าง ทางเดียวกับบ้าน ยายข้างบ้าน สภาพที่พวกเราเห็นนั่น ทั้งตกใจ ทั้งน่ากลัว ยายข้างบ้าน ร้องไห้ท่ามกลางความมืดของลานบ้าน วิ่งวนไป ๆ มา ๆ ล้มบ้างวิ่งบ้าง แล้วตะโกนเสียงสั่น ๆ อยู่อย่างนั้น

ช่วยด้วย  ช่วยด้วย  ช่วยด้วย  มีคนแขวนคอ  ฮือ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ  ตะโกนไป ร้องไห้ไป

                 ขณะนั้น ลุงกับป้า บ้านฝั่งตรงข้าม ได้วิ่งถือไฟฉาย เข้ามาดู และ พยุงยายขึ้นมา สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นเงียบมาก จึงได้ยินเสียง สนทนามาถึงบ้านของข้าพเจ้า

ลุง               :   เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น มาวิ่งร้องไห้ ตรงนี้ทำไม ???
ยายข้างบ้าน   :   แม่ไอ้น้อย มันแขวนคอ ฮือ ๆ ๆ ๆ แม่ไอ้น้อยมันแขวนคอ

               จบเสียงยาย ลุงกับป้าได้เรียก ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ใจกล้าพอ น่าจะประมาณ 5 – 6 คน ขึ้นไปบนบ้าน เพื่อไปดู สถานการณ์ แม่ข้างบ้านได้ ตัดสินใจ จบชีวิต ตัวเองลง โดยการใช้เชือก (เชือกลักษณะ เดียวกัน กับที่ข้าพเจ้า เห็นในความฝัน) ผูกคอตนเองกับคานบ้าน
                   ตอนนั้น ยังไม่มีใครกล้าเอาแม่ลงมาจากคาน ได้แต่ ไปตามผู้ใหญ่บ้าน และ ลูกชายมาดูก่อน อีกอย่าง มีความเชื่อว่า การจะเอาศพผูกคอตาย ลงมา ต้องให้ พ่อหนาน(ผู้มีวิชาอาคม ผ่านการบวชเรียนมาอย่างเคร่งครัด เป็นผู้ทำพิธีงานต่าง ๆ ของหมู่บ้าน) เป็นผู้ปลง และ ตัด เชือกเอง
ขณะรอพ่อหนานอยู่ ลูกชาย รีบกลับมาจากงานลอยกระทง ด้วยอาการเมามาย และ ร้องไห้เสียงดัง วิ่งขึ้นไปบนบ้าน

ลูกชาย           :   แม่  แม่  ทำไมไม่มีใครช่วยแม่เลย  แม่ แม่ แม่…………………………

ลูกชายคว้ามีดได้ ก็ ตัดเชือกเอาแม่ลงมา พร้องกับ พยายามผายปอด และ ปั๊มหัวใจ แต่…………ทุกอย่าง สายไปเสียแล้ว ไม่มีแล้ว แม่…..ไม่มีชีวิตแล้ว

วิเคราะห์สถานการณ์
               เรื่องราวน่าเศร้านี้ ถึงแม้ตัวข้าพเจ้าเอง จะเกิดลางสังหรณ์ มาก่อน แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ยังเด็ก และ ไม่สามารถไปบอก เรื่องราวนี้ให้ใครเชื่อได้ และถึงแม้ข้าพเจ้า จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีผู้คนมากมาย เชื่อ และ นับถือ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้บอกเล่าไป หากเกิดเรื่องราวแบบนี้ ตัว ข้าพเจ้าเอง คงทำได้เพียง การเตือนสติ ให้บุคคลที่ กำลังสิ้นหวัง และ มีแนวโน้ม หรือ สัญญาณต่าง ๆ ที่จะทำร้ายตัวเอง ให้เกิดสติสัมปชัญญะ รู้คุณค่าตน รู้ในสิ่งที่ควรทำ ในสิ่งที่ควรละ ส่วนการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับ ตัวบุคคลนั้นๆเอง

ข้อคิด

             ในพระไตรปิฎกนั้นระบุกรรมของผู้ที่ฆ่าตัวตายถือเป็นกรรมที่หนักอย่างยิ่ง ต้องลงไปสู่นรกที่เรียกว่า “โลกันตนรก” ซึ่งมีลักษณะของนรกที่เลวร้ายมากดังนี้ว่า
                โลกันตนรกเป็นนรกขุมพิเศษที่อยู่นอกจักรวาล อยู่ระหว่างโลกจักรวาล 3 โลกคือสวรรค์ นรก และโลกมนุษย์ เปรียบเหมือนมีดอกบัว 3 ดอกมาเรียงชิดติดกันจะเกิดช่องว่างในตรงกลางโดยบริเวณช่องว่างในตรงกลางนั้นเรียกว่า “โลกันตนรก”
                สัตว์ที่มาเกิดใน โลกันตนรก นี้มีร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือเล็บเท้ายาว ต้องใช้เล็บมือเล็บเท้าเกาะอยู่ตามเชิงจักรวาล ห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่วนิจนิรันดรเหมือนค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ และก็จะรำพึงในใจว่า “ทำไม ตัวเราจึงมาอยู่ที่นี่ สงสัยจะมีเพียงเราผู้เดียวกระมัง”
                เหตุที่รำพึงเช่นนี้เพราะว่า โลกันตนรก นั้นมืดมิด ไม่มีแสงสว่างแม้เพียงนิดเดียว ต่างห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหย พอตะครุบไปถูกตัวสัตว์นรกซึ่งกันและกันจึงคิดว่าเป็นอาหาร ต่างปล้ำฟัดกันอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าต่างก็พลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดอันเยือกเย็น เนื้อตัวร่างกายก็เปื่อยแหลกเหลว ตายไปในทันที แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก ต้องได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดร กัปหนึ่งจึงจะพ้นโทษจากโลกันตนรก
                กรรมที่เกิดจากการฆ่าตัวตายนั้น ย่อมน้อมนำมาให้สู่นรกขุมนี้ นอกจากนั้นยังเคยทำร้ายทรมานบิดามารดา ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อสวรรค์ ทำบาปกรรมชั่วช้าเป็นประจำก็จะน้อมนำให้มาบังเกิดในนรกขุมนี้ได้
                การฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่การทำให้ตนเองพ้นทุกข์แต่จะกลับเป็นการเริ่มต้นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณใหม่ให้ทุกข์หนักกว่าเดิม พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยว่า การที่เราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากแสนยากเหมือนกับมหาสมุทรที่แสนกว้างใหญ่ โดยเหนือผิวน้ำจะมีห่วงเล็กๆ ลอยฟ่องอยู่
                โดยในแต่ละวินาทีที่ห่วงนี้ถูกคลื่นลมตีให้ลอยไปมาไม่มีโอกาสอยู่นิ่ง ภายใต้ท้องมหาสมุทรจะมีเต่าตาบอดตัวหนึ่งโดย เต่าตัวนี้ทุกร้อยปีจะโผล่ศีรษะมาเหนือผิวน้ำสักหนึ่งครั้ง
                 พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ว่า โอกาสที่เต่าตาบอดจะโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำและเอาหัวมาสวมเข้ากับห่วงที่ว่านั้นอย่างพอเหมาะพอดีเป็นไปได้ยากแสนยาก แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากกว่านั้นนับล้านเท่า เมื่อใดที่ฆ่าตัวตายก็คือการปฏิเสธความเป็นมนุษย์ จิตจะต้องตกต่ำดำมืดและกลับไปเริ่มต้นวิวัฒนาการกรรมกันใหม่ กว่าจะพัฒนาจนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับภพชาติไม่ถ้วน
                การฆ่าตัวตายจึงไม่ใช่หนทางที่พ้นทุกข์เลย แต่เป็นการสร้างความทุกข์อันยาวนานขึ้นมาใหม่ พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิผู้ที่ฆ่าตัวตายเอาไว้มาก
            สำหรับเรื่องนี้ กรรมที่เกิดจากการฆ่าตัวตาย คือ ทำให้ครอบครัวเกิดความเศร้าหมอง มารดาร้องไห้เสียใจ บุตรร่ำไห้หามารดาอยู่ทุก ๆ วัน เป็นตราบาปตลอดไป

เศษฝุ่นสีเงิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่