“เวย...หวู่...”
เสียงกู่ร้องชวนขนลุกที่มีความหมายว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่ ในภาษาจีน แผดดังขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ที่เหนือประตูทางด้านนอกมีป้ายไม้ เขียนด้วยแบบอักษรที่ลอกเลียนให้คล้ายกับลายพู่กันอักษรจีนโบราณเป็นข้อความว่า
'ห้องพิจารณาคดี ไคฟง'
ภายในห้อง ทั้งพื้น ผนัง กำแพง รวมไปถึงเพดานล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา มีชายหญิงคู่หนึ่งท่าทางเป็นกังวลยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นเล็กๆ ที่ยกสูงขึ้นจากพื้นตั้งอยู่ชิดเกือบติดผนังด้านในสุด ตัวแท่นทำจากวัสดุคล้ายโลหะสะท้อนเงาวาววับ ด้านบนมีกล่องสี่เหลี่ยมสีดำด้านขนาดพอๆ กับศีรษะของมนุษย์จัดวางอยู่หนึ่งใบ
พอสิ้นเสียง รูปจันทร์เสี้ยวสีขาวก็ค่อยๆ เรืองแสงปรากฏขึ้นบนกล่องสีดำ หญิงชายทั้งสองต่างพากันโค้งคำนับตามคำแนะนำที่ได้รับอย่างเงอะงะ
“คำนับ...ท่านเปา”
“พวกเจ้าทั้งสอง ตามสบาย” เสียงสังเคราะห์ของชายสูงวัยที่สุขุมคมเข้มดังโต้ตอบออกมาจากกล่องสีดำนั้น “ใครเป็นผู้ตีกลอง ส่งข้อความร้องทุกข์ในครั้งนี้”
“ดิฉันเองค่ะ” หญิงที่สวมแว่นตาหนา กับชุดคลุมสีขาวสำหรับทำงานในห้องทดลองเป็นผู้ตอบ
“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องราวใดให้บอกกล่าวออกมา”
“ดิฉันชื่อ ไซอัน เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัท ไบโอเจนเทค ต้องการฟ้องร้องชายคนนี้” เธอบอกพร้อมกับชี้มือไปที่เขา
ในขณะที่กำลังโต้ตอบกับกล่องสีดำบนแท่นนั้น เธอก็จินตนาการเลยเถิดไปถึงภาพของแท่นบูชาเทพเจ้าในยุคโบราณที่มีเครื่องบรรณาการวางอยู่ บางทีอาจเป็นสัตว์ที่โชคร้ายสักตัว หรือในบางครั้งก็อาจเป็นสิ่งที่โหดร้าย ชวนอาเจียนยิ่งกว่า ซึ่งตัวเธอเองเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านั้นที่แท้แล้วก็ล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนจากภายในจิตใจของมนุษย์นั่นเอง
“แล้วเจ้าเป็นใคร” กล่องที่ถูกเรียกว่าท่านเปาเอ่ยถามชายอีกคน
“ผมชื่อ โดเนอ” ชายท่าทางดีในชุดสูทสีเข้มราคาแพงตอบพร้อมกับชี้มือย้อนกลับไปที่เธอ “ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายฟ้องร้อง เธอผู้นี้ได้กระทำการเบียดบังเอาทรัพย์สินของผมไปโดยมิชอบ ซ้ำยังคิดจะมาให้การเท็จในที่นี้อีกด้วย”
“ฉันไม่ได้ขโมยอะไรที่เป็นของคุณไปทั้งนั้น เพราะคุณไม่ใช่เจ้าของแล้ว” เธอโต้ พร้อมกับทำท่าปกป้องเปลขนาดย่อมที่วางซ่อนอยู่ทางด้านหลัง มันเป็นเปลรูปทรงรีที่มีพื้นผิวคล้ายทำขึ้นจากไม้ มีม่านทึบปกปิดสิ่งที่อยู่ภายในเอาไว้ ด้านล่างของตัวเปลนั้นมีหน้าจอที่กำลังแสดงค่าตัวเลข และเส้นกราฟสลับซับซ้อน ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ควบคุมสิ่งที่อยู่ภายใน
“ทำไมเธอถึงพูดจาขาดความรับผิดชอบอย่างนี้ ผมต้องเสียเงินทองมากมายให้กับบริษัทของคุณ จ้างพวกคุณให้สร้าง มัน ขึ้นมา” เขาขึ้นเสียง
ก่อนที่การโต้เถียงจะดำเนินต่อไป เสียงของแข็งถูกทุบลงบนโต๊ะก็ดังขึ้นหนึ่งครั้งโดยไม่มีการเคลื่อนไหว ตามด้วยเสียงตวาดจากท่านเปา
“บังอาจ พวกเจ้าทั้งสองอยู่ภายในศาล ต่อหน้าข้า ยังกล้าเอะอะโวยวาย หวังเฉา หม่าฮั่น จางหลง เจ้าหู่ ใช้เครื่องกระตุ้นความเจ็บปวดระดับหนึ่งกับทั้งสอง”
กล่องสี่เหลี่ยมสีแดงสี่ใบ ขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของกล่องที่เป็นท่านเปา โผล่ขึ้นมาจากช่องที่เปิดออกบนพื้นข้างหน้าแท่น ด้านบนของแต่ละกล่องมีแท่งโลหะทื่อๆ ยื่นออกมา ก่อนจะพากันเคลื่อนเข้าโอบล้อมทั้งสองไว้ พร้อมขยับแท่งโลหะไปมาอย่างคุกคาม
แม้จะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าความเจ็บปวดระดับหนึ่งที่ว่านั้นเป็นอย่างไร แต่การถูกสัมผัสโดยเจ้าแท่งพวกนี้คงหมายถึงประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ทั้งคู่จึงยอมยุติการถกเถียงไว้ก่อน
“เอ่อ...ดิฉันขออภัยด้วยค่ะ” เธอกล่าวอ้อมแอ้ม ในขณะที่เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “มีแบบนี้ด้วยหรือ ประหลาดสิ้นดี”
“ได้ ครั้งนี้ข้าจะยอมละเว้นโทษเอาไว้ก่อน แต่หากครั้งหน้า พวกเจ้ายังกล้าสร้างความวุ่นวายขึ้นอีก ต้องถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดระดับสอง”
กล่องสีแดงทั้งสี่จึงหายกลับลงไปใต้พื้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ ไหนพวกเจ้าทั้งสองลองบอกออกมาสิว่า สิ่งที่พวกเจ้าต้องการแย่งชิงกันครอบครองนั้นคืออะไร มีที่มาอย่างไร เหตุใดจึงเกิดเป็นปัญหาขึ้น ให้แม่นางไซอันเล่าให้ข้าฟังก่อน เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นผู้ที่ยื่นฟ้องในคดีนี้ ตามบันทึกเอกสารหมายเลขอ้างอิง 12092113 ซึ่งมีการลงนามรับรองไว้อย่างถูกต้อง” เสียงในตอนท้ายคำพูดของท่านเปาเมื่อกล่าวถึงตัวเลขอ้างอิงในเอกสารฟังดูเป็นเสียงสังเคราะห์มากกว่าช่วงที่เป็นสำนวนคำพูดแปลกๆ พวกนั้น
“ปัญหาของพวกเราคือ...นี้” เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าจะใช้สรรพนามอย่างไรดี ก่อนจะหันกลับไปเลื่อนเปลออกมาทางด้านหน้า
“ภายในนั้นมีสิ่งใด” ท่านเปาเอ่ยถาม ก่อนที่เธอจะกดปุ่มเพื่อเปิดม่านทึบด้านบนออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน “อ้อ...ที่แท้ก็เป็นทารกที่น่ารักน่าชังผู้หนึ่ง”
“เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่ดิฉันเรียกเขาว่า ซัน”
“เธอจะมาตั้งชื่อเองแบบนั้นไม่ได้นะ” เขาพูดเบาๆ โดยไม่หันไปมองเธอ “มันเรื่องของฉัน” เธอตอบเบาๆ โดยไม่หันไปมองเขาเช่นกัน ทั้งคู่ต่างยังคงเกรงความเจ็บปวดระดับสองที่ว่าอยู่ แต่ก็อดไม่ได้
“พวกเจ้าทั้งสองคงเป็นพ่อแม่ของเขา หากพวกเจ้ายังเห็นแก่เด็กน้อยน่ารักผู้นี้ ใช้เขาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว สร้างครอบครัวที่อบอุ่น ก็คงนับเป็นบุญวาสนา แต่หากไม่อาจครองคู่ จำต้องแยกจาก ก็นับเป็นเรื่องภายในครอบครัว ตัวข้าย่อมไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย คงทำได้แค่หาข้อยุติที่ดีให้กับเขาแล้ว”
“ท่านผิดแล้ว...เอ้ย” เธอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะหลงไปตามสำนวนของท่านเปาเข้าแล้ว “คือพวกเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ ที่จริงแล้ว... คือ...”
“คุณน่ะไม่ใช่จริงๆ แต่ผมเป็นพ่อของเขา” เขาแย้ง
“ไม่ คุณไม่ใช่พ่อของเขา มันไม่ใช่แบบนั้น” เธอย้อน
“ก็ในเมื่อเขารับเอาพันธุกรรมจากผมไปทั้งหมด ผมก็ต้องนับเป็นพ่อของเขาสิ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น เรามีขั้นตอนของเรา และตอนนี้มันไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนปกติแล้ว คุณจะมาเหมาเอาเองแบบนั้นไม่ได้”
เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าพอได้แล้ว แม่นางไซอัน ไหนเจ้าลองอธิบายมา ว่าเด็กชายผู้นี้ที่แท้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
“เด็กคนนี้ เคย เป็นร่างโคลนของคุณโดเนอ” เธอไม่สนใจท่าทางประท้วงจากเขา “จนกระทั่งเกิดความผิดพลาดขึ้น”
“โคลน...” ท่านเปาพึมพำพร้อมกับที่รูปเดือนเสี้ยวเกิดการกระพริบ คล้ายกับกำลังทำการประมวลผลบางอย่าง
“...ท่านกงซุนเช่อ ที่นางกล่าวมา เป็นเรื่องราวใดกันแน่” กล่องดำนั้นคล้ายตั้งคำถามกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ภายในห้อง ทั้งเขาและเธอแอบสบตากันอย่างไม่เข้าใจ
ในที่สุดเดือนเสี้ยวนั้นก็หยุดกระพริบ
“ข้าพอเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านกงซุน” แล้วความสนใจของท่านเปาก็กลับมาอยู่ที่คู่ความทั้งสองอีกครั้ง
“คำว่า โคลน นั้นมาจากคำว่า ‘Klon’ ในภาษากรีกที่แปลว่า แขนง กิ่ง อ้างอิงถึงการที่สามารถใช้กิ่งจากพืชต้นหนึ่ง เพื่อสร้างเป็นต้นไม้ต้นใหม่ขึ้นมา โดยเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ” ท่านเปากล่าวถึงข้อมูลบางส่วนที่ได้รับมา
“การโคลนนิ่ง อืม ที่แท้ถึงกับมีเรื่องราวเช่นนี้ ความรู้ของมวลมนุษย์ช่างลึกล้ำสุดหยั่ง และน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย”
เธอคิดว่า ท่านกงซุน อะไรนั้นอาจจะเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลประเภทหนึ่ง และตอนนี้ท่านเปาคงรู้แล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องอะไร
เด็กชายในเปลเกิดขึ้นมาด้วยเทคนิคการโคลนนิ่ง ภายในห้องทดลองของบริษัทไบโอเจนเทค ภายใต้การควบคุมดูแลของไซอัน โดยเริ่มจากการนำไข่จากหญิงผู้บริจาคตามกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักหมายถึงค่าทำขวัญก้อนหนึ่งที่จะไม่มีการบันทึกลงในระบบ มานำส่วนที่เป็นสารพันธุกรรมภายในออก แล้วเติมด้วยสารพันธุกรรมที่ได้จากเซลล์ร่างกายของผู้ที่ต้องการจะโคลนลงไป หลังจากนั้นจึงนำไปเพาะเลี้ยงต่อภายในเครื่องครรภ์เทียม ซึ่งสามารถจำลองสภาพแวดล้อมเพื่อเลี้ยงดูตัวอ่อนให้เติบโตขึ้นได้จนถึงช่วงอายุที่มากยิ่งกว่า และรวดเร็วกว่าการตั้งครรภ์ในมดลูกผู้หญิงตามปกติ
เด็กชายคนนี้จึงมีพันธุกรรมในทุกส่วนของร่างกายเหมือนกับโดเนอที่เป็นทั้งผู้ว่าจ้าง และเจ้าของสารพันธุกรรมทุกประการ
“เจ้าสิ่งนี้จึงต้องตกเป็นของผม” เขาพูดอย่างมั่นใจ
“ช้าก่อน” น้ำเสียงของท่านเปาฟังดูขึงขัง “ถึงแม้ว่าตัวข้าจะไม่ค่อยชอบเจ้าการโคลนนิ่งนี้ แต่ในเมื่อได้มีการตราเป็นกฎหมายขึ้นแล้ว กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย คดีความย่อมต้องตัดสินไปตามหลักฐาน ข้าจึงต้องขอตรวจสอบว่า เจ้ามีหนังสือรับรองจากคณะแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการขอทำโคลนนิ่ง หนังสืออนุมัติจากสำนักจริยธรรมทางการแพทย์ หนังสือสัญญาที่ทำไว้กับทางบริษัทไบโอเจนเทค ใบเสร็จรับเงิน ใบเสร็จค่าทำเนียมต่างๆ เอกสารรับรองการตรวจพันธุกรรม เอกสารรับรองการตรวจสภาพจิต และหลักฐานการจ่ายภาษีย้อนหลังสามปีของเจ้าด้วยว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องหรือไม่”
เขายิ้มพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะขออนุญาตทำการเชื่อมต่อไปยังหน่วยเก็บข้อมูลส่วนตัวของตนเอง เอกสารที่จำเป็นถูกส่งให้ท่านเปาตรวจสอบ และยืนยันความถูกต้องผ่านทางโครงข่ายข้อมูลไร้สายได้อย่างรวดเร็ว
“เอกสารของเจ้าถูกต้อง ที่แท้เจ้าป่วยเป็นมะเร็งเรื้อรัง มีความจำเป็นต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งไปถึง จนไม่อาจใช้วิธีการอื่นรักษาได้จำนวนหลายแห่ง จึงไม่อาจรอคอยอวัยวะจากการบริจาคได้”
ด้วยการทุ่มเททั้งการวิจัย งบประมาณ เวลา และความร่วมมือกันของประเทศต่างๆ การรักษามะเร็งนับว่าก้าวหน้าไปมาก มีการค้นพบวิธีการรักษาแบบใหม่เพิ่มขึ้น สามารถลดความเสียหายของเซลล์ปกติที่อยู่ติดกับเซลล์มะเร็ง ลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากการรักษา และมุ่งทำลายเจาะจงไปที่เซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น แต่เซลล์มะเร็งที่มีจำนวนมากมายหลายชนิดเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง พวกมันเองก็เกิดเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อต้านการรักษาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ในทุกวันนี้ มะเร็งจึงนับเป็นโรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง และเมื่อมะเร็งลุกลามไปจนถึงจุดที่การรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่อาจเอาชนะ ก็จำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยอวัยวะใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
แต่หากไม่สามารถรอคอยผู้บริจาค และมีสถานะทางการเงินมั่นคงเพียงพอ การยื่นคำร้องขอสร้างร่างโคลนเพื่อนำอวัยวะมาใช้ในการปลูกถ่ายให้กับตนเองก็สามารถทำได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายที่เข้มงวด การโคลนนิ่งจึงยังไม่ใช่การรักษาสำหรับทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงได้
“ข้าเสียใจด้วย แม่นางไซอัน แต่หลักฐานของคุณชายโดเนอนั้นถูกต้องแน่นหนา ข้าจำเป็นต้องตัดสินยืนยันให้เจ้า คืนเด็กชายผู้นี้ให้กับเขาทันที”
“ช้าก่อน เอ้ย เดี๋ยวก่อนสิคะท่านเปา หากเป็นการดำเนินงานตามขั้นตอนปกติ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น ดิฉันคงส่งมอบเด็กคนนี้ให้เขาไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในครั้งนี้มันเกิดเรื่องซ้อนขึ้นมา ดิฉันจึงตัดสินใจนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลสูงค่ะ”
เธอไม่เคยนึกเลยว่าภายในศาลสูง ภายใต้ระบบห้องพิจารณาคดีที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์อันสลับซับซ้อนมาใช้กับตรรกะทางกฎหมาย ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการในการตัดสินคดีความต่างๆ ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น จะมี ศาลไคฟง และ เปาบุ้นจิ้น ที่เป็นเหมือนตำนานตกค้างจากอดีตอยู่ด้วย อย่างน้อยเธอก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ไม่รู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ขัน หรือตลกร้ายของคนออกแบบระบบกันแน่
“เธอไม่ควรจะพูดอะไรอีกทั้งนั้น” เขาขู่ “ถ้าเธอยอมยุติเพียงแค่นี้ ฉันจะใจดีถอนฟ้องเรื่องอื่นๆ ให้ แต่ถ้าเธอยังดื้อดึง ฉันจะไม่ฟ้องเพียงแค่ไบโอเจนเทค แต่จะฟ้องเธอเป็นการส่วนตัวเพิ่มด้วย”
ไคฟง เรื่องสั้น SCI-FI ที่ตกรอบจากงานประกวดตั้งแต่ปีที่แล้ว
เสียงกู่ร้องชวนขนลุกที่มีความหมายว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่ ในภาษาจีน แผดดังขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ที่เหนือประตูทางด้านนอกมีป้ายไม้ เขียนด้วยแบบอักษรที่ลอกเลียนให้คล้ายกับลายพู่กันอักษรจีนโบราณเป็นข้อความว่า
'ห้องพิจารณาคดี ไคฟง'
ภายในห้อง ทั้งพื้น ผนัง กำแพง รวมไปถึงเพดานล้วนเป็นสีขาวสะอาดตา มีชายหญิงคู่หนึ่งท่าทางเป็นกังวลยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นเล็กๆ ที่ยกสูงขึ้นจากพื้นตั้งอยู่ชิดเกือบติดผนังด้านในสุด ตัวแท่นทำจากวัสดุคล้ายโลหะสะท้อนเงาวาววับ ด้านบนมีกล่องสี่เหลี่ยมสีดำด้านขนาดพอๆ กับศีรษะของมนุษย์จัดวางอยู่หนึ่งใบ
พอสิ้นเสียง รูปจันทร์เสี้ยวสีขาวก็ค่อยๆ เรืองแสงปรากฏขึ้นบนกล่องสีดำ หญิงชายทั้งสองต่างพากันโค้งคำนับตามคำแนะนำที่ได้รับอย่างเงอะงะ
“คำนับ...ท่านเปา”
“พวกเจ้าทั้งสอง ตามสบาย” เสียงสังเคราะห์ของชายสูงวัยที่สุขุมคมเข้มดังโต้ตอบออกมาจากกล่องสีดำนั้น “ใครเป็นผู้ตีกลอง ส่งข้อความร้องทุกข์ในครั้งนี้”
“ดิฉันเองค่ะ” หญิงที่สวมแว่นตาหนา กับชุดคลุมสีขาวสำหรับทำงานในห้องทดลองเป็นผู้ตอบ
“เจ้าเป็นใคร มีเรื่องราวใดให้บอกกล่าวออกมา”
“ดิฉันชื่อ ไซอัน เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคของบริษัท ไบโอเจนเทค ต้องการฟ้องร้องชายคนนี้” เธอบอกพร้อมกับชี้มือไปที่เขา
ในขณะที่กำลังโต้ตอบกับกล่องสีดำบนแท่นนั้น เธอก็จินตนาการเลยเถิดไปถึงภาพของแท่นบูชาเทพเจ้าในยุคโบราณที่มีเครื่องบรรณาการวางอยู่ บางทีอาจเป็นสัตว์ที่โชคร้ายสักตัว หรือในบางครั้งก็อาจเป็นสิ่งที่โหดร้าย ชวนอาเจียนยิ่งกว่า ซึ่งตัวเธอเองเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านั้นที่แท้แล้วก็ล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนจากภายในจิตใจของมนุษย์นั่นเอง
“แล้วเจ้าเป็นใคร” กล่องที่ถูกเรียกว่าท่านเปาเอ่ยถามชายอีกคน
“ผมชื่อ โดเนอ” ชายท่าทางดีในชุดสูทสีเข้มราคาแพงตอบพร้อมกับชี้มือย้อนกลับไปที่เธอ “ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายฟ้องร้อง เธอผู้นี้ได้กระทำการเบียดบังเอาทรัพย์สินของผมไปโดยมิชอบ ซ้ำยังคิดจะมาให้การเท็จในที่นี้อีกด้วย”
“ฉันไม่ได้ขโมยอะไรที่เป็นของคุณไปทั้งนั้น เพราะคุณไม่ใช่เจ้าของแล้ว” เธอโต้ พร้อมกับทำท่าปกป้องเปลขนาดย่อมที่วางซ่อนอยู่ทางด้านหลัง มันเป็นเปลรูปทรงรีที่มีพื้นผิวคล้ายทำขึ้นจากไม้ มีม่านทึบปกปิดสิ่งที่อยู่ภายในเอาไว้ ด้านล่างของตัวเปลนั้นมีหน้าจอที่กำลังแสดงค่าตัวเลข และเส้นกราฟสลับซับซ้อน ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ควบคุมสิ่งที่อยู่ภายใน
“ทำไมเธอถึงพูดจาขาดความรับผิดชอบอย่างนี้ ผมต้องเสียเงินทองมากมายให้กับบริษัทของคุณ จ้างพวกคุณให้สร้าง มัน ขึ้นมา” เขาขึ้นเสียง
ก่อนที่การโต้เถียงจะดำเนินต่อไป เสียงของแข็งถูกทุบลงบนโต๊ะก็ดังขึ้นหนึ่งครั้งโดยไม่มีการเคลื่อนไหว ตามด้วยเสียงตวาดจากท่านเปา
“บังอาจ พวกเจ้าทั้งสองอยู่ภายในศาล ต่อหน้าข้า ยังกล้าเอะอะโวยวาย หวังเฉา หม่าฮั่น จางหลง เจ้าหู่ ใช้เครื่องกระตุ้นความเจ็บปวดระดับหนึ่งกับทั้งสอง”
กล่องสี่เหลี่ยมสีแดงสี่ใบ ขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของกล่องที่เป็นท่านเปา โผล่ขึ้นมาจากช่องที่เปิดออกบนพื้นข้างหน้าแท่น ด้านบนของแต่ละกล่องมีแท่งโลหะทื่อๆ ยื่นออกมา ก่อนจะพากันเคลื่อนเข้าโอบล้อมทั้งสองไว้ พร้อมขยับแท่งโลหะไปมาอย่างคุกคาม
แม้จะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าความเจ็บปวดระดับหนึ่งที่ว่านั้นเป็นอย่างไร แต่การถูกสัมผัสโดยเจ้าแท่งพวกนี้คงหมายถึงประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ทั้งคู่จึงยอมยุติการถกเถียงไว้ก่อน
“เอ่อ...ดิฉันขออภัยด้วยค่ะ” เธอกล่าวอ้อมแอ้ม ในขณะที่เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “มีแบบนี้ด้วยหรือ ประหลาดสิ้นดี”
“ได้ ครั้งนี้ข้าจะยอมละเว้นโทษเอาไว้ก่อน แต่หากครั้งหน้า พวกเจ้ายังกล้าสร้างความวุ่นวายขึ้นอีก ต้องถูกกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดระดับสอง”
กล่องสีแดงทั้งสี่จึงหายกลับลงไปใต้พื้นอีกครั้ง
“เอาล่ะ ไหนพวกเจ้าทั้งสองลองบอกออกมาสิว่า สิ่งที่พวกเจ้าต้องการแย่งชิงกันครอบครองนั้นคืออะไร มีที่มาอย่างไร เหตุใดจึงเกิดเป็นปัญหาขึ้น ให้แม่นางไซอันเล่าให้ข้าฟังก่อน เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นผู้ที่ยื่นฟ้องในคดีนี้ ตามบันทึกเอกสารหมายเลขอ้างอิง 12092113 ซึ่งมีการลงนามรับรองไว้อย่างถูกต้อง” เสียงในตอนท้ายคำพูดของท่านเปาเมื่อกล่าวถึงตัวเลขอ้างอิงในเอกสารฟังดูเป็นเสียงสังเคราะห์มากกว่าช่วงที่เป็นสำนวนคำพูดแปลกๆ พวกนั้น
“ปัญหาของพวกเราคือ...นี้” เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าจะใช้สรรพนามอย่างไรดี ก่อนจะหันกลับไปเลื่อนเปลออกมาทางด้านหน้า
“ภายในนั้นมีสิ่งใด” ท่านเปาเอ่ยถาม ก่อนที่เธอจะกดปุ่มเพื่อเปิดม่านทึบด้านบนออกเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน “อ้อ...ที่แท้ก็เป็นทารกที่น่ารักน่าชังผู้หนึ่ง”
“เขาเป็นเด็กผู้ชายที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่ดิฉันเรียกเขาว่า ซัน”
“เธอจะมาตั้งชื่อเองแบบนั้นไม่ได้นะ” เขาพูดเบาๆ โดยไม่หันไปมองเธอ “มันเรื่องของฉัน” เธอตอบเบาๆ โดยไม่หันไปมองเขาเช่นกัน ทั้งคู่ต่างยังคงเกรงความเจ็บปวดระดับสองที่ว่าอยู่ แต่ก็อดไม่ได้
“พวกเจ้าทั้งสองคงเป็นพ่อแม่ของเขา หากพวกเจ้ายังเห็นแก่เด็กน้อยน่ารักผู้นี้ ใช้เขาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว สร้างครอบครัวที่อบอุ่น ก็คงนับเป็นบุญวาสนา แต่หากไม่อาจครองคู่ จำต้องแยกจาก ก็นับเป็นเรื่องภายในครอบครัว ตัวข้าย่อมไม่อาจเข้าไปก้าวก่าย คงทำได้แค่หาข้อยุติที่ดีให้กับเขาแล้ว”
“ท่านผิดแล้ว...เอ้ย” เธอรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะหลงไปตามสำนวนของท่านเปาเข้าแล้ว “คือพวกเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ ที่จริงแล้ว... คือ...”
“คุณน่ะไม่ใช่จริงๆ แต่ผมเป็นพ่อของเขา” เขาแย้ง
“ไม่ คุณไม่ใช่พ่อของเขา มันไม่ใช่แบบนั้น” เธอย้อน
“ก็ในเมื่อเขารับเอาพันธุกรรมจากผมไปทั้งหมด ผมก็ต้องนับเป็นพ่อของเขาสิ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น เรามีขั้นตอนของเรา และตอนนี้มันไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนปกติแล้ว คุณจะมาเหมาเอาเองแบบนั้นไม่ได้”
เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเจ้าพอได้แล้ว แม่นางไซอัน ไหนเจ้าลองอธิบายมา ว่าเด็กชายผู้นี้ที่แท้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
“เด็กคนนี้ เคย เป็นร่างโคลนของคุณโดเนอ” เธอไม่สนใจท่าทางประท้วงจากเขา “จนกระทั่งเกิดความผิดพลาดขึ้น”
“โคลน...” ท่านเปาพึมพำพร้อมกับที่รูปเดือนเสี้ยวเกิดการกระพริบ คล้ายกับกำลังทำการประมวลผลบางอย่าง
“...ท่านกงซุนเช่อ ที่นางกล่าวมา เป็นเรื่องราวใดกันแน่” กล่องดำนั้นคล้ายตั้งคำถามกับบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ภายในห้อง ทั้งเขาและเธอแอบสบตากันอย่างไม่เข้าใจ
ในที่สุดเดือนเสี้ยวนั้นก็หยุดกระพริบ
“ข้าพอเข้าใจแล้ว ขอบใจท่านกงซุน” แล้วความสนใจของท่านเปาก็กลับมาอยู่ที่คู่ความทั้งสองอีกครั้ง
“คำว่า โคลน นั้นมาจากคำว่า ‘Klon’ ในภาษากรีกที่แปลว่า แขนง กิ่ง อ้างอิงถึงการที่สามารถใช้กิ่งจากพืชต้นหนึ่ง เพื่อสร้างเป็นต้นไม้ต้นใหม่ขึ้นมา โดยเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ” ท่านเปากล่าวถึงข้อมูลบางส่วนที่ได้รับมา
“การโคลนนิ่ง อืม ที่แท้ถึงกับมีเรื่องราวเช่นนี้ ความรู้ของมวลมนุษย์ช่างลึกล้ำสุดหยั่ง และน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย”
เธอคิดว่า ท่านกงซุน อะไรนั้นอาจจะเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลประเภทหนึ่ง และตอนนี้ท่านเปาคงรู้แล้วว่ากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องอะไร
เด็กชายในเปลเกิดขึ้นมาด้วยเทคนิคการโคลนนิ่ง ภายในห้องทดลองของบริษัทไบโอเจนเทค ภายใต้การควบคุมดูแลของไซอัน โดยเริ่มจากการนำไข่จากหญิงผู้บริจาคตามกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักหมายถึงค่าทำขวัญก้อนหนึ่งที่จะไม่มีการบันทึกลงในระบบ มานำส่วนที่เป็นสารพันธุกรรมภายในออก แล้วเติมด้วยสารพันธุกรรมที่ได้จากเซลล์ร่างกายของผู้ที่ต้องการจะโคลนลงไป หลังจากนั้นจึงนำไปเพาะเลี้ยงต่อภายในเครื่องครรภ์เทียม ซึ่งสามารถจำลองสภาพแวดล้อมเพื่อเลี้ยงดูตัวอ่อนให้เติบโตขึ้นได้จนถึงช่วงอายุที่มากยิ่งกว่า และรวดเร็วกว่าการตั้งครรภ์ในมดลูกผู้หญิงตามปกติ
เด็กชายคนนี้จึงมีพันธุกรรมในทุกส่วนของร่างกายเหมือนกับโดเนอที่เป็นทั้งผู้ว่าจ้าง และเจ้าของสารพันธุกรรมทุกประการ
“เจ้าสิ่งนี้จึงต้องตกเป็นของผม” เขาพูดอย่างมั่นใจ
“ช้าก่อน” น้ำเสียงของท่านเปาฟังดูขึงขัง “ถึงแม้ว่าตัวข้าจะไม่ค่อยชอบเจ้าการโคลนนิ่งนี้ แต่ในเมื่อได้มีการตราเป็นกฎหมายขึ้นแล้ว กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย คดีความย่อมต้องตัดสินไปตามหลักฐาน ข้าจึงต้องขอตรวจสอบว่า เจ้ามีหนังสือรับรองจากคณะแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการขอทำโคลนนิ่ง หนังสืออนุมัติจากสำนักจริยธรรมทางการแพทย์ หนังสือสัญญาที่ทำไว้กับทางบริษัทไบโอเจนเทค ใบเสร็จรับเงิน ใบเสร็จค่าทำเนียมต่างๆ เอกสารรับรองการตรวจพันธุกรรม เอกสารรับรองการตรวจสภาพจิต และหลักฐานการจ่ายภาษีย้อนหลังสามปีของเจ้าด้วยว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องหรือไม่”
เขายิ้มพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะขออนุญาตทำการเชื่อมต่อไปยังหน่วยเก็บข้อมูลส่วนตัวของตนเอง เอกสารที่จำเป็นถูกส่งให้ท่านเปาตรวจสอบ และยืนยันความถูกต้องผ่านทางโครงข่ายข้อมูลไร้สายได้อย่างรวดเร็ว
“เอกสารของเจ้าถูกต้อง ที่แท้เจ้าป่วยเป็นมะเร็งเรื้อรัง มีความจำเป็นต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะที่มีการแพร่กระจายของมะเร็งไปถึง จนไม่อาจใช้วิธีการอื่นรักษาได้จำนวนหลายแห่ง จึงไม่อาจรอคอยอวัยวะจากการบริจาคได้”
ด้วยการทุ่มเททั้งการวิจัย งบประมาณ เวลา และความร่วมมือกันของประเทศต่างๆ การรักษามะเร็งนับว่าก้าวหน้าไปมาก มีการค้นพบวิธีการรักษาแบบใหม่เพิ่มขึ้น สามารถลดความเสียหายของเซลล์ปกติที่อยู่ติดกับเซลล์มะเร็ง ลดอาการข้างเคียงที่เกิดจากการรักษา และมุ่งทำลายเจาะจงไปที่เซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น แต่เซลล์มะเร็งที่มีจำนวนมากมายหลายชนิดเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง พวกมันเองก็เกิดเปลี่ยนแปลงเพื่อต่อต้านการรักษาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ในทุกวันนี้ มะเร็งจึงนับเป็นโรคเรื้อรังประเภทหนึ่ง และเมื่อมะเร็งลุกลามไปจนถึงจุดที่การรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่อาจเอาชนะ ก็จำเป็นต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป แล้วแทนที่ด้วยอวัยวะใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย
แต่หากไม่สามารถรอคอยผู้บริจาค และมีสถานะทางการเงินมั่นคงเพียงพอ การยื่นคำร้องขอสร้างร่างโคลนเพื่อนำอวัยวะมาใช้ในการปลูกถ่ายให้กับตนเองก็สามารถทำได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายที่เข้มงวด การโคลนนิ่งจึงยังไม่ใช่การรักษาสำหรับทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงได้
“ข้าเสียใจด้วย แม่นางไซอัน แต่หลักฐานของคุณชายโดเนอนั้นถูกต้องแน่นหนา ข้าจำเป็นต้องตัดสินยืนยันให้เจ้า คืนเด็กชายผู้นี้ให้กับเขาทันที”
“ช้าก่อน เอ้ย เดี๋ยวก่อนสิคะท่านเปา หากเป็นการดำเนินงานตามขั้นตอนปกติ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น ดิฉันคงส่งมอบเด็กคนนี้ให้เขาไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในครั้งนี้มันเกิดเรื่องซ้อนขึ้นมา ดิฉันจึงตัดสินใจนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลสูงค่ะ”
เธอไม่เคยนึกเลยว่าภายในศาลสูง ภายใต้ระบบห้องพิจารณาคดีที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์อันสลับซับซ้อนมาใช้กับตรรกะทางกฎหมาย ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการในการตัดสินคดีความต่างๆ ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น จะมี ศาลไคฟง และ เปาบุ้นจิ้น ที่เป็นเหมือนตำนานตกค้างจากอดีตอยู่ด้วย อย่างน้อยเธอก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน ไม่รู้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ขัน หรือตลกร้ายของคนออกแบบระบบกันแน่
“เธอไม่ควรจะพูดอะไรอีกทั้งนั้น” เขาขู่ “ถ้าเธอยอมยุติเพียงแค่นี้ ฉันจะใจดีถอนฟ้องเรื่องอื่นๆ ให้ แต่ถ้าเธอยังดื้อดึง ฉันจะไม่ฟ้องเพียงแค่ไบโอเจนเทค แต่จะฟ้องเธอเป็นการส่วนตัวเพิ่มด้วย”