จุดเริ่มต้นของจุดจบ ‘จักรวรรดิอินคา’ ที่ต้องล่มสลายลงเพียงเพราะการแย่งชิงอำนาจ!!

สูงขึ้นไปบนเทือกเขาแอนดีสในประเทศเปรู เป็นที่ตั้งของจักรวรรดิโบราณที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ อาณาจักรยิ่งใหญ่ของชาวอินคามีประชากรมากถึง 12 ล้านคน พวกเขาไม่มีภาษาเขียนแต่กลับก่อตั้งอาณาจักรที่มีทั้งรัฐบาล ผังเมืองที่เป็นระเบียบ และระบบการเกษตรกรรมที่ชาญฉลาด


                                      

แต่หลังจากสเปนแผ่ขยายอำนาจมาก็ทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไป เหลือไว้แต่ซากอารยธรรมความยิ่งใหญ่โดยเฉพาะจากรัชสมัยของจักรพรรดิเอทาวัลปา (Atahualpa) กษัตริย์องค์สุดท้ายของชาวอินคา



สงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายของจักรพรรดิเอทาวัลปา และพี่ชายต่างแม่ฮัวสการ์


                                        

หลังจักรพรรดิเฮว์ยนา สิ้นพระชนม์ อาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายโดยโอรสแต่ละองค์ จนกระทั่งก่อเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ในปี 1532 ระหว่าง เอทาวัลปา และ ฮัวสการ์



ฟรันซิสโก ปีซาร์โร กลุ่มนักผจญภัยผู้พิชิตอินคา

ฟรันซิสโก ปีซาร์โร (Francisco Pizarro) ชายหนุ่มชาวสเปนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพเลี้ยงสุกร สมัครเข้าเป็นทหารในปี 1502 และได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ “สำรวจโลกใหม่” ของรัฐบาลสเปนเผื่อแผ่ขยายอำนาจและยึดครองดินแดนต่างๆ มาเป็นอาณานิคม

ปิซาร์โรเคยเข้าร่วมทีมสำรวจของ อลอนโซ เด โอเฆด้า เดินทางไปยังโคลอมเบียในปี 1510 และเข้าร่วมกับทีมของ วาสโก นูเนซ เด บัลบัว เพื่อสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกในปี 1513

หลังจากได้ยินเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับความมั่งคั่งของอเมริกาใต้ ปิซาร์โรจึงได้จัดตั้งทีมสำรวจของตัวเองร่วมกับ ดิเอโก้ เด อัลมาโกร ขึ้นในปี 1524 และออกเดินทางจากประเทศปานามาในอเมริกากลางไปยังชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้

เมื่อเดินทางกลับมายังปานามา ปิซาร์โรได้เสนอแผนการยึดครองอเมริกาใต้แต่ถูกรัฐบาลปฏิเสธ จนกระทั่งในปี 1528 ปิซาร์โรจึงเดินทางกลับไปสเปนอีกครั้งเพื่อขอความอนุเคราะห์จากจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 ขณะนั้นเอร์นัน กอร์เตส เพิ่งทำการพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กได้สำเร็จและนำความมั่งคั่งมาสู่จักรวรรดิ จักรพรรดิคาร์ลจึงอนุญาตให้ปิซาร์โรทำการบุกเข้ายึดครองดินแดนในทวีปอเมริกาใต้

ปี 1530 ปิซาร์โรเดินทางกลับไปยังปานามา ต่อมาในปี 1531 เขาก็ล่องเรือไปยังแคว้นตุมเบส ประเทศเปรู นำทีมสำรวจและกองทหารเดินทางขึ้นไปยังเทือกเขาแอนดีส ถึงที่หมายคือเมืองกาฮามาร์กาแห่งจักรวรรดิอินคาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1532 ซึ่งขณะนั้นเอทาวัลปากำลังเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยึดอำนาจคืนจากฮัวสการ์ พี่ชายต่างแม่ในเมืองกุสโก


                                      

ในที่สุดเอทาวัลปาก็ชนะสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวอินคาและได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทน



แผนลวงของปิซาร์โร

ปิซาร์โรได้พบกับจักรพรรดิเอทาวัลปาในขณะที่กำลังพักผ่อนในบ่อน้ำร้อนเพื่อเตรียมตัวบุกเข้ายึดเมืองกุซโก้ เมืองหลวงอาณาจักรของพี่ชาย โดยปิซาร์โรได้เชิญจักรพรรดิเอทาวัลปาให้เป็นเกียรติมาร่วมงานเลี้ยงรับประทานอาหารโดยปกปิดแผนการลับอันชั่วร้ายเอาไว้อย่างแนบเนียน

ขณะนั้นจักรพรรดิหนุ่มแห่งอินคาซึ่งมีกองกำลังทหารกว่า 30,000 นายที่เพิ่งชนะศึกครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวอินคา ยินดีเข้าร่วมโดยคิดว่าตนไม่มีอะไรจะต้องกลัวถ้าหากกลุ่มคนผิวขาวหน้าหนวดเคราที่มีกำลังแค่ 180 นาย จะคิดร้ายกันขึ้นมา


                                      

แต่แท้จริงนั้น ปิซาร์โรได้วางแผนลอบโจมตีไว้แล้ว โดยวางปืนใหญ่ไว้ที่จัตุรัสกาฆามาร์กา



ความโกรธแค้นและการหักหลัง

ในตอนแรกปิซาร์โรวางแผนการต่างๆ เอาไว้อย่างแยบยลและนิ่มนวล จนกระทั่งปิซาร์โรส่งบาทหลวงไปหาจักรพรรดิเอทาวัลปาให้ยอมรับในคริสตศาสนาและอำนาจของจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  แต่จักรพรรดิเอทาวัลปากลับปฏิเสธและโยนคัมภีร์ไบเบิลที่ชาวสเปนผู้เคร่งครัดในศาสนาคาทอลิกถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ลงบนพื้นอย่างรังเกียจ


                                      

ปิซาร์โรโกรธแค้นอย่างหนักและสั่งโจมตี ทหารเพียง 180 นายของกองทัพสเปนเอาชนะชาวอินคาได้ในพริบตาด้วยปืนใหญ่ ทหารม้า และอาวุธปืน ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของชาวอินคาที่ยังไม่มีวิทยาการก้าวหน้าใดๆ


                                     

จุดจบของจักรพรรดิแห่งอินคา

จักรพรรดิเอทาวัลปาถูกจับกุมอย่างง่ายดาย ในค่ายทหารของอินคาเอง ซึ่งภายในค่ายนั้นมีเงิน ทอง และอัญมณีต่างๆ


                                    

จักรพรรดิเอทาวัลปาเห็นว่าพวกสเปนสนใจสิ่งของเหล่านั้น จึงได้เสนอทรัพย์สมบัติมหาศาลแลกกับการปล่อยตัว โดยเสนอว่าจะเติมเต็มห้องนี้ให้เต็มด้วยทองคำ 1 ครั้ง และเงิน 2 ครั้ง


                                   

แต่เมื่อพวกสเปนได้ของมีค่าไปแล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวจักรพรรดิแต่อย่างใด


                                    

ต่อมาได้สั่งประหารจักรพรรดิเอทาวัลปาในข้อหาฆาตกรรมจักรพรรดิฮัวสการ์ เจตนาต่อต้านอำนาจสเปน และคดีอื่นๆ


                                    

วันที่ 29 สิงหาคม 1533 จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรอินคาต้องเลือกว่าจะถูกประหารชีวิตด้วยวิธีการเผาทั้งเป็นหรือบีบคอด้วยปลอกเหล็กตามวิถีของชาวสเปน ด้วยความเชื่อว่าร่างของเขาจะได้รับการนำไปทำเป็นมัมมี่ จักรพรรดิอาตาอวลปาเลือกวิธีที่สอง และถูกปลอกเหล็กรัดจนขาดอากาศหายใจ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของอินคาถึงจุดจบ


                                    

การทำสงครามกันเองของพี่น้องร่วมสายเลือดเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ขึ้นเป็นจักรพรรดิ นำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของจุดจบของจักรพรริดแห่งอินคา



รัฐบาลหุ่นเชิด

ปิซาร์โรแต่งตั้ง ทูแพค ฮวลปา น้องชายของฮัวสการ์ให้เป็นหุ่นเชิดโดยแต่งตั้งสถานะของเขาเป็นกษัตริย์แห่งอินคา โดยพวกสเปนทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ชาวอินคาเชื่อว่ายังคงถูกปกครองโดยชาวอินคาด้วยกันเองอยู่ ทูแพค ฮวลปา และประชาชนชาวอินคาของเขาไม่ทราบว่าพวกสเปนกำลังหลอกใช้เพื่อเข้าครอบครองเปรูและขโมยทองคำในคลังสมบัติของพวกเขาอยู่ จนกระทั่ง แมนโค อินคา น้องชายอีกคนหนึ่งได้ทำรัฐประหาร โดยลอบสังหาร ทูแพค ฮวลปา และยึดอำนาจ ปลุกระดมชาวอินคาให้ต่อต้านสเปนอีกครั้ง


                                           

กงเกวียนกำเกวียน!!

ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้นปิซาร์โรเดินหน้าพิชิตอเมริกาใต้ โดยเดินทางต่อไปยังกุสโก กองทัพของจักรวรรดิสเปนแผ่ขยายอำนาจไปถึงเมืองกีโต ประเทศเอกวาดอร์ และเมืองลิมา เมืองหลวงของเปรู


                                             

ดิเอโก้ เด อัลมาโกร หัวหน้าทีมสำรวจชาวสเปนผู้พิชิตประเทศชิลี พยายามต่อสู้แย่งชิงอำนาจของปิซาร์โรจนก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง กระทั่ง ดิเอโก้ถูกน้องชายของปิซาร์โรสังหารในปี 1538 ทำให้เกิดความแค้นและการต่อสู้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ในปี 1541 ดิเอโก้ เอล มอนโซ่ บุตรชายของ ดิเอโก้ เด อัลมาโกร ได้บุกทะลวงเข้าไปในปราสาทและลอบสังหารปิซาร์โร

ดิเอโก้ เอล มอนโซ่ แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้ปกครองเปรู แต่ชาวสเปนในเปรูไม่ยอมรับ เขาถูกจับกุมและประหารชีวิตในปี 1542 ความขัดแย้งในประเทศเปรูยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่ง แอนเดรส ฮูร์ตาโด้ เด เมนโดซ่า ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเขตอุปราชแห่งเปรู (Viceroyalty of Peru) ในช่วงคริสตศักราชที่ 1550

การแย่งชิงอำนาจในดินแดนแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปนานหลายร้อยปี การต่อสู้ของชาวท้องถิ่น ชาวสเปนผู้บุกรุก และคนผิวดำที่หลบหนีเพื่อปลดแอกจากความเป็นทาส ความขัดแย้งยังคงเกิดขึ้นอีกหลายร้อยปี สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นเป็นว่าเล่น จนกระทั่งเกิดการแบ่งแยกดินแดนเป็นประเทศต่างๆ บาดแผลที่เกิดขึ้นจากการแย่งชิงอำนาจสร้างความบอบช้ำและปัญหามากมายทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน


ที่มา: MessageToEagle   [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่