ชะตากรรมเด็กๆ อินคาหลังถูกบูชายัญ
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาชะตากรรมเด็กๆ อินคาที่ถูกบูชายัญ พบเด็กน่าจะเสพยาเสพติดและแอลกอฮอล์นานหลายเดือน จนมีอาการซึมหนักก่อนเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตอย่างเงียบๆ
ร่างของมัมมี่เด็ก 3 คน ถูกพบฝังอยู่ในแท่นบูชา ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 6,739 เมตร ใกล้ปล่องภูเขาไฟยูยียาโก (Llullaillaco) ในอาร์เจนตินา เมื่อปี 1999 เป็นเด็กหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่ง และอีกสองคนเป็นเด็กหญิงและเด็กชายที่คาดว่าอายุประมาณ 6-7 ขวบ
สืบหาอายุของมัมมี่เด็กพบว่ามีชีวิตอยู่เมื่อราว 500 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของอาณาจักรอินคา ที่ครอบครองดินแดนทางอเมริกาใต้ จนกระทั่งชาวยุโรปเข้าไปถึงเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 15
ดร.เอ็มมา บราวน์ (Dr.Emma Brown) จากคณะวิทยาการโบราณคดี ของมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด (University of Bradford) อังกฤษ กล่าวว่าการรักษาสภาพของมัมมี่ทั้งสามเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ และเป็นมัมมี่ที่ถูกถนอมรักษาไว้อย่างดีที่สุดในโลก
"เด็กทั้งสามคนนี้ดูเหมือนกำลังนอนหลับ" ดร.บราวน์กล่าว
บีบีซีนิวส์รายงานว่า ทีมนักวิจัยนานาชาติรวมทั้ง ดร.บราวน์ได้ร่วมกันสืบค้นเรื่องราวในวาระสุดท้ายของเหยื่อบูชายัญทั้งสาม โดยใช้การทดสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์สารเคมีในเส้นผมของเด็กๆ
แล้วพบว่าเด็กได้ดื่มแอลกอฮอล์และกินใบโคคาซึ่งเป็นแหล่งสกัดของโคเคน ในช่วงปลายชีวิต
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ สารเสพติดดังกล่าวเป็นของสงวนสำหรับชนชั้นสูงและ และมักถูกใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อของชาวอินคา
ดร.บราวน์ได้อ้างถึงนักบันทึกประวัติศาสตร์ชาวสเปนว่า เด็กๆ ถูกบวงสรวงด้วยเหตุผลร้อยแปด ทั้งก้าวย่างที่สำคัญในชีวิตของชาวอินคา ช่วงเวลาเกิดสงคราม หรือโรคระบาดตามธรรมชาติ แต่ก็มีตารางกำหนดการทำพิธีกรรมด้วย
นักวิทยาศาสตร์ได้นำเส้นผมของเด็กสาววัยรุ่นที่ยาวกว่าเส้นผมของเด็กอีกสองคนมาวิเคราะห์ คาดว่าเด็กสาวน่าจะมีความหมายมากกว่าเด็กที่เหลือ เพราะเธอมีฐานะเป็นสาวพรหมจรรย์ด้วย เธอเป็นที่รู้จักในโลกยุคใหม่ว่า "สาวบริสุทธิ์ยูยียาโก" (Llullaillaco maiden)
ผลจากการทดสอบพบว่าเธออยู่ในอาการสงบลึกๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ จากการทดสอบเส้นผมจากเปียยาวเผยว่า ปริมาณการบริโภคโคคาพุ่งสูงขึ้นในช่วง 1 ปีก่อนตาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่เธอถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญ
งานวิจัยก่อนหน้านี้ก็สอดคล้องกับการค้นพบล่าสุดว่า
ช่วงเวลาที่พบปริมาณโคเคนในเส้นผมนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มื้ออาหารของเธอมีการเปลี่ยนแปลง จากอาหารสำหรับชาวไร่ที่มีมันฝรั่งหลักเป็นหลัก ก็เปลี่ยนเป็นมื้ออาหารที่อุดมด้วยเนื้อและข้าวโพด
"สิ่งที่เรารู้จากการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวสเปนคือ ผู้หญิงที่มีเสน่ห์หรือมีความฉลาดจะถูกเลือกไปบูชายัญ ซึ่งชาวอินคาจะมีคนที่ออกไปแสวงหาหญิงสาวเหล่านี้ และพรากจากครอบครัว"
ผลการศึกษายังพบดวยว่า
เด็กสาวดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในปริมาณมากในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายของชีวิต ซึ่งชี้ว่าเธอมึนเมาอย่างหนักก่อนที่เธอและเด็กที่เหลือจะถูกนำไปไว้ที่ภูเขาไฟ เพื่อวางไว้ในสุสานและปล่อยให้ตาย
ในกรณีของสาวแรกรุ่นนั้นไม่พบสัญญาณของการถูกทารุณ เธออยู่ในสภาพที่ดูดีมาก มีชั้นไขมันอย่างดี มีการจัดแต่งทรงผมอย่างสวยงาม และสวมชุดสวยๆ ซึ่ง ดร.บราวน์กล่าวว่า เมื่อผนวกปัจจัยต่างๆ ทั้งการนำไปวางไว้ที่หลุมศพพร้อมแอลกอฮอล์และสถานที่ฝังศพบนภูเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 6,000 เมตร คาดว่าเธอน่าจะจากไปอย่างสงบ
ตอนนี้มัมมี่ทั้งสามจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่สูง (High Altitude Archaeology) ในอาร์เจนตินา และผลจากการศึกษานี้ได้เผยแพร่ในวารสารเนชันนัลอะคาเดมีออฟไซน์ส (National Academy of Sciences)
จาก :
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000094626
-------------------------------------
สงสัยครับ ได้ยินมานานแล้ว 3 อาณาจักรใหญ่ของละตินอเมริกา (แอซเท็ค มายา อินคา) เอะอะๆ ก็จับคนมาบูชายัญอย่างเดียว และบ่อยด้วย
เทพเจ้าของเขาทำไมโหดจังครับ แล้วมีอารยธรรมอื่นที่ไหนอีกไหม ที่นิยมเอาคนมาบูชายัญเยอะๆ แบบนี้
ปล.ส่วนของบ้านเรา เคยได้ยินแต่เรื่องเสาหลักเมือง (อิน จัน มั่น คง อยู่ ดี) อะครับ
(ฝากเพลงด้วย จากละคร "เจ้ากรรมนายเวร" เสียดาย MV โดนลบไปแล้ว ลิขสิทธิ์อะนะ)
มีที่ไหนในโลก ที่บูชายัญมนุษย์กันแบบบ้าเลือด เหมือนอาณาจักรแถวๆ ละตินอเมริกาอีกไหม
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาชะตากรรมเด็กๆ อินคาที่ถูกบูชายัญ พบเด็กน่าจะเสพยาเสพติดและแอลกอฮอล์นานหลายเดือน จนมีอาการซึมหนักก่อนเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตอย่างเงียบๆ
ร่างของมัมมี่เด็ก 3 คน ถูกพบฝังอยู่ในแท่นบูชา ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 6,739 เมตร ใกล้ปล่องภูเขาไฟยูยียาโก (Llullaillaco) ในอาร์เจนตินา เมื่อปี 1999 เป็นเด็กหญิงวัย 15 ปีคนหนึ่ง และอีกสองคนเป็นเด็กหญิงและเด็กชายที่คาดว่าอายุประมาณ 6-7 ขวบ
สืบหาอายุของมัมมี่เด็กพบว่ามีชีวิตอยู่เมื่อราว 500 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของอาณาจักรอินคา ที่ครอบครองดินแดนทางอเมริกาใต้ จนกระทั่งชาวยุโรปเข้าไปถึงเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 15
ดร.เอ็มมา บราวน์ (Dr.Emma Brown) จากคณะวิทยาการโบราณคดี ของมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด (University of Bradford) อังกฤษ กล่าวว่าการรักษาสภาพของมัมมี่ทั้งสามเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ และเป็นมัมมี่ที่ถูกถนอมรักษาไว้อย่างดีที่สุดในโลก
"เด็กทั้งสามคนนี้ดูเหมือนกำลังนอนหลับ" ดร.บราวน์กล่าว
บีบีซีนิวส์รายงานว่า ทีมนักวิจัยนานาชาติรวมทั้ง ดร.บราวน์ได้ร่วมกันสืบค้นเรื่องราวในวาระสุดท้ายของเหยื่อบูชายัญทั้งสาม โดยใช้การทดสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์สารเคมีในเส้นผมของเด็กๆ แล้วพบว่าเด็กได้ดื่มแอลกอฮอล์และกินใบโคคาซึ่งเป็นแหล่งสกัดของโคเคน ในช่วงปลายชีวิต
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ สารเสพติดดังกล่าวเป็นของสงวนสำหรับชนชั้นสูงและ และมักถูกใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อของชาวอินคา
ดร.บราวน์ได้อ้างถึงนักบันทึกประวัติศาสตร์ชาวสเปนว่า เด็กๆ ถูกบวงสรวงด้วยเหตุผลร้อยแปด ทั้งก้าวย่างที่สำคัญในชีวิตของชาวอินคา ช่วงเวลาเกิดสงคราม หรือโรคระบาดตามธรรมชาติ แต่ก็มีตารางกำหนดการทำพิธีกรรมด้วย
นักวิทยาศาสตร์ได้นำเส้นผมของเด็กสาววัยรุ่นที่ยาวกว่าเส้นผมของเด็กอีกสองคนมาวิเคราะห์ คาดว่าเด็กสาวน่าจะมีความหมายมากกว่าเด็กที่เหลือ เพราะเธอมีฐานะเป็นสาวพรหมจรรย์ด้วย เธอเป็นที่รู้จักในโลกยุคใหม่ว่า "สาวบริสุทธิ์ยูยียาโก" (Llullaillaco maiden)
ผลจากการทดสอบพบว่าเธออยู่ในอาการสงบลึกๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ จากการทดสอบเส้นผมจากเปียยาวเผยว่า ปริมาณการบริโภคโคคาพุ่งสูงขึ้นในช่วง 1 ปีก่อนตาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่เธอถูกเลือกเป็นเหยื่อบูชายัญ
งานวิจัยก่อนหน้านี้ก็สอดคล้องกับการค้นพบล่าสุดว่า ช่วงเวลาที่พบปริมาณโคเคนในเส้นผมนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มื้ออาหารของเธอมีการเปลี่ยนแปลง จากอาหารสำหรับชาวไร่ที่มีมันฝรั่งหลักเป็นหลัก ก็เปลี่ยนเป็นมื้ออาหารที่อุดมด้วยเนื้อและข้าวโพด
"สิ่งที่เรารู้จากการบันทึกประวัติศาสตร์ของชาวสเปนคือ ผู้หญิงที่มีเสน่ห์หรือมีความฉลาดจะถูกเลือกไปบูชายัญ ซึ่งชาวอินคาจะมีคนที่ออกไปแสวงหาหญิงสาวเหล่านี้ และพรากจากครอบครัว"
ผลการศึกษายังพบดวยว่า เด็กสาวดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในปริมาณมากในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายของชีวิต ซึ่งชี้ว่าเธอมึนเมาอย่างหนักก่อนที่เธอและเด็กที่เหลือจะถูกนำไปไว้ที่ภูเขาไฟ เพื่อวางไว้ในสุสานและปล่อยให้ตาย
ในกรณีของสาวแรกรุ่นนั้นไม่พบสัญญาณของการถูกทารุณ เธออยู่ในสภาพที่ดูดีมาก มีชั้นไขมันอย่างดี มีการจัดแต่งทรงผมอย่างสวยงาม และสวมชุดสวยๆ ซึ่ง ดร.บราวน์กล่าวว่า เมื่อผนวกปัจจัยต่างๆ ทั้งการนำไปวางไว้ที่หลุมศพพร้อมแอลกอฮอล์และสถานที่ฝังศพบนภูเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 6,000 เมตร คาดว่าเธอน่าจะจากไปอย่างสงบ
ตอนนี้มัมมี่ทั้งสามจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่สูง (High Altitude Archaeology) ในอาร์เจนตินา และผลจากการศึกษานี้ได้เผยแพร่ในวารสารเนชันนัลอะคาเดมีออฟไซน์ส (National Academy of Sciences)
จาก : http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000094626
-------------------------------------
สงสัยครับ ได้ยินมานานแล้ว 3 อาณาจักรใหญ่ของละตินอเมริกา (แอซเท็ค มายา อินคา) เอะอะๆ ก็จับคนมาบูชายัญอย่างเดียว และบ่อยด้วย
เทพเจ้าของเขาทำไมโหดจังครับ แล้วมีอารยธรรมอื่นที่ไหนอีกไหม ที่นิยมเอาคนมาบูชายัญเยอะๆ แบบนี้
ปล.ส่วนของบ้านเรา เคยได้ยินแต่เรื่องเสาหลักเมือง (อิน จัน มั่น คง อยู่ ดี) อะครับ
(ฝากเพลงด้วย จากละคร "เจ้ากรรมนายเวร" เสียดาย MV โดนลบไปแล้ว ลิขสิทธิ์อะนะ)