มนุษย์มัมมี่ที่ถูกตั้งชื่อจากการค้นพบ

“ญวนนิตา” เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง 



ก่อนหน้าที่จะมีการพบเด็กแห่งภูเขาไฟ Llullaillaco นักโบราณคดีก็เคยค้นพบมัมมี่เด็กอินคาร่างหนึ่งมาก่อน   นี่คือมัมมี่ของเด็กหญิงอายุราวๆ 12-15 ปีที่ได้รับการตั้งชื่อว่า “ญวนนิตา” (Juanita) ซึ่งถูกค้นพบในปี 1995 ที่ภูเขาอัมปาโต (Ampato) และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก

เธอยังมีเส้นผมกับผิวหนังที่สมบูรณ์แทบไม่มีการเสื่อมสลายจากการที่ถูกเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำบนภูเขา และอาจจะไม่มีการค้นพบเลยก็ได้ หากน้ำแข็งบนภูเขาไม่ละลายจากการปะทุของภูเขาไฟใกล้ๆ  ด้วยสภาพสถานที่ที่เธอถูกค้นพบ ญวนนิตาในบางครั้งจึงถูกเรียกว่า “เด็กหญิงแห่งน้ำแข็ง”

ญวนนิตาเป็นเด็กหญิงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15 และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในเหยื่อของพิธี “Capacocha” ซึ่งเป็นความเชื่อในการบูชายัญของเผ่าอินคา
พิธี Capacocha โดยรวมแล้วจะเป็นการส่งเหยื่อบูชายัญไปให้แก่พระเจ้าตามความเชื่อของชาวอินคา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ และทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
ดูเหมือนว่าเหยื่อบูชายัญจะมีการกำหนดไว้หลายปีก่อนที่จะมีการทำพิธีจริงๆ และเด็กที่ถูกเลือกก็มักจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เธอจะได้ทานทั้งผักและเนื้อสัตว์ แถมยังได้รับอนุญาตให้ดื่มสุราและใช้สารเสพติดจากต้นโคคา

ดูเหมือนว่าการกระทำเหล่านี้จะทำลงไปเพื่อให้เหยื่อบูชายัญไม่ขัดขืนในระหว่างทำพิธี และก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลมากด้วย เพราะจากมัมมี่หลายร่างของเด็กอินคาที่มีการค้นพบนั้น ล้วนแต่จะจากไปอย่างสงบ  มัมมี่ของญวนนิตาถูกนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในลิมา ประเทศเปรู ในปี 1999
ที่มา ancient-origins, allthatsinteresting
Cr. https://www.catdumb.com/juanita-the-inca-ice-maiden-378/  By เหมียวศรัทธา

Rosalia Lombardo มัมมี่กะพริบตา


Rosalia Lombardo คือเด็กหญิงที่เสียชีวิตจากโรคปอดบวมในปี 1920 ขณะที่มีอายุเพียงสองปี การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเธอทำให้ผู้เป็นพ่อเจ็บปวด เขาจึงไปหาคนเก็บศพชื่อ Alfredo Salafia เพื่อขอให้เขารักษาสภาพร่างกายของโรซาเลียไว้ Alfredo Salafia เป็นนักแต่งศพและนักสตาฟสัตว์ฝีมือดี 
ผลงานของเขาเป็นที่ประจักษ์จากร่างของ Rosalia หนูน้อยที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ได้เกือบ 100 ปีภายหลังจากการตายของเธอ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนกำลังงีบหลับอยู่ในตู้กระจกนี้ อยู่ในสุสานใต้ดินกาปูชิน ของเมืองปาแลร์โม ประเทศอิตาลี แก้มเล็กๆ ของเธอยังคงกลมพอง ปอยผมสีบลอนด์ถูกรวบไว้เหนือศีรษะและผูกด้วยโบว์ผ้าไหม
 ซึ่งนักวิจัยได้ตรวจสอบด้วยการเอ็กซ์เรย์ และพบว่าแม้แต่อวัยวะภายในของเธอก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม นั่นทำให้ Rosalia Lombardo ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ความงามแห่งการหลับไหล” และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่ดีที่สุดในโลก

ร่างกายที่ถูกรักษาไว้อย่างดีของเธอ กลายเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยว ที่มีผู้เยี่ยมชมยืนยันว่าพวกเขาเห็นว่าเธอกระพริบตาจริงๆ ซึ่งจากภาพที่ถูกถ่ายไว้ได้แสดงให้เห็นว่าเปลือกตาของเธอเปิดและปิดอย่างน่ากลัวโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาสีฟ้าของเธอยังคงสภาพเหมือนร่างกายส่วนอื่นๆ และสามารถมองเห็นความแวววาวนั้นได้ในแสงน้อยๆ ของสุสาน

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิภายในห้องใต้ดินทำให้เปลือกตาของเธอหดตัว แต่ Dario Piombino-Mascali ภัณฑารักษ์ของสุสานใต้ดินกาปูชิน มีทฤษฎีที่แตกต่างออกไป เขาเชื่อว่าดวงตาที่กะพริบของ Rosalia เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากมุมที่แสงจากหน้าต่างตกกระทบร่างของเธอ เมื่อทิศทางของแสงเปลี่ยนไปชั่วคราว ก็จะดูเหมือนว่าตาของเธอมีการกระพริบหลายครั้งตลอดทั้งวัน

เจ้าของฉายา “ความงามแห่งการหลับไหล” จัดเป็นหนึ่งในมัมมี่ถึง 80,000 ร่าง ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในสุสานคาปูชินแห่งซิซิลี และเป็นร่างสุดท้ายที่มีการนำมาเก็บไว้ที่สุสานแห่งนี้
ที่มา amusingplanet
Cr.http://realmetro.com/rosalia-lombardo-มัมมี่กะพริบตา/

ไอซ์แมน มัมมี่สมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์
 

ไอซ์แมนเป็นมัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ของชายอายุมากกว่า 5,000 ปีมาแล้ว โดยพบในเดือนกันยายน1991 ในเทือกเขาแอลป์ พรมแดนระหว่างออสเตรียกับอิตาลี โดยร่างของเขาถูกคนพบในน้ำแข็งครึ่งร่าง ถือว่าเป็นมัมมี่สมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ 

ปัจจุบันอยู่ในพิธภัณฑ์โบราณคดีในโบลซาโน ภาคเหนือของอิตาลี มัมมี่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดและน่าพิศวง รวมไปถึงคำสาปโดยเชื่อว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่ตนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนค้นพบและคนตรวจสอบจะตายอย่างลึกลับ 
โดยมีเหยื่อตายเพราะคำสาปทั้งสิ้นเจ็ดราย หนึ่งในผู้ค้นพบไอซ์แลนด์เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางที่จะไปกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับสิ่งที่พบ และนักวิจัยคนอื่นๆ เสียชีวิตเพราะหิมะถล่มในเวลาไม่นาน ส่วนนักวิจัยคนอื่นเสียชีวิตจากสาเหตุเลือดผิดปกติหลังจากพบไอซ์แมน
Cr. ภาพ สมาคมคนรักประวัติศาสตร์
Cr. ที่มา http://www.tnews.co.th
Cr.https://thita30289.wordpress.com/ไอซ์แมน-มัมมี่สมบูรณ์ที/

ลิตเติลฟุต เป็นเด็กสาวที่เสียชีวิตจากการพลัดตกปล่องถ้ำ


มีการค้นพบ "ลิตเติลฟุต" โครงกระดูกบรรพบุรุษมนุษย์อายุ 3.67 ล้านปี ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ นับเป็นการค้นพบครั้งสำคัญของโลก เพราะคาดกันว่า ลิตเติลฟุต คือบรรพบุรุษมนุษย์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก โดยมีอายุมากกว่า "ลูซี่" โครงกระดูกมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่พบในเอธิโอเปียราว 500,000 ปี

ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้นำ ลิตเติลฟุต ออกมาจัดแสดงให้ชาวโลกได้เห็นเป็นครั้งแรก หลังค้นพบมันภายในเครือข่ายถ้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครโจฮันเนสเบิร์กในแอฟริกาใต้ และใช้เวลา 20 ปี ในการขุดค้น ทำความสะอาด และจัดเรียงฟอสซิลโครงกระดูกนี้

ทีมนักวิทยาศาสตร์แอฟริกาใต้เชื่อว่า ลิตเติลฟุต เป็นเด็กสาวที่เสียชีวิตจากการพลัดตกปล่องถ้ำ และสาเหตุที่พวกเขาตั้งชื่อดังกล่าวให้เธอก็มาจากการพบกระดูกเท้าขนาดเล็ก 4 ชิ้นนั่นเอง
ลิตเติลฟุตเป็นโครงกระดูกที่มีร่างเล็ก คล้ายวานร หรือลิงไม่มีหาง ถือเป็นหนึ่งในโครงกระดูกบรรพบุรุษมนุษย์ที่เกือบสมบูรณ์และเก่าแก่ที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เคยอาศัยอยู่อย่างแพร่กระจายในทวีปแอฟริกาเป็นวงกว้างกว่าที่เราคาดเอาไว้ ทั้งยังบ่งชี้ถึงความหลากหลายทางสายพันธุ์ด้วย เพราะแม้ว่า ลิตเติลฟุต และลูซี่ จะมีบรรพบุรุษเดียวกันในสกุลออสตราโลพิเทคัส แต่ทั้งคู่กลับมีสายพันธุ์ต่างกัน
ที่มา BBC NEWS ไทย
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-42281702

“ซินจุย” มัมมี่สาวจีนยุคราชวงศ์ฮั่น 2,000 ปี


“ซินจุย” มัมมี่จีนในยุคราชวงศ์ฮั่น เมื่อ 163 ปีก่อนคริสตกาล ร่างเธอถูกพบหลังผ่านไป 2,000 ปี แทบไม่เน่าสลายแม้เวลาผ่านไปนับพันปี
พื้นที่เมืองฉางชามณฑลหูหนาน ประเทศจีน เมื่อ 163 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีร่างไร้วิญญาณของหญิงคนหนึ่งถูกฝังเอาไว้ในสุสานขนาดใหญ่ ร่างนั้นถูกประดับไปด้วยวัตถุล้ำค่ากว่า 1,000 ชิ้น ตั้งแต่อุปกรณ์ แต่งหน้า อุปกรณ์อาบน้ำ และงานไม้ขัดเงาอีกหลากหลายชนิด

ร่างของเธอถูกพบอีกครั้งหนึ่งหลังจากวันนั้นร่วม 2,000 ปี เมื่อมีคนงานก่อสร้างพบสุสานของเธอในปี 1971 และเมื่อนักวิยาศาสตร์ตัดสินใจเปิดสุสานของเธอ พวกเขาก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะร่างของหญิงคนนี้นั้น แทบจะไม่ได้เน่าเปื่อยเสียหายไปเลย

หญิงคนนี้มีนามว่า “ซินจุย” ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ราชวงศ์ที่ครองบัลลังก์ตั้งแต่เมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ. ที่ 220) และในปัจจุบันถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในมัมมี่ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดในโลก
อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ร่างของเธอนั้นยังคงความนุ่มของผิวคนไว้ได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะผ่านเวลามามากกว่า 2,000 ปี แถมเส้นขนส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทั้งผมบนศีรษะ ขนคิ้ว ขนจมูก หรือแม้กระทั่งขนตา

นอกจากผิวหนังด้านนอกที่ยังสมบูรณ์แล้ว ซินจุยก็ยังมีเครื่องในอยู่อย่างครบถ้วน แถมยังมีเลือดเหลืออยู่จนทำให้นักวิทยาศาสตร์บอกได้ว่าเธอมีเลือดกรุ๊ปเอ    เป็นที่น่าเสียดายว่าในตอนที่มีชีวิตอยู่ ไม่มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเธอมากเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความมหัศจรรย์ของสภาพความเป็นมัมมี่ 

อย่างไรก็ตาม จากการพิสูจน์ศพพบว่าเธอน่าจะเสียชีวิตในตอนที่อายุได้ราวๆ 50 ปี สาเหตุมาอาจมาจากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เนื่องจากมีการพบร่องรอยของอาการความดันโลหิตสูง โรคตับ ปริมาณคอเลสเตอรอลสูง และร่องรอยการอุดตันในเลือด ซึ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
ทั้งนี้ ถึงแม้ใบหน้าของเธอที่เราเห็นในปัจจุบันอาจจะบวมและดูน่ากลัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพราะร่างกายของเธอถูกเก็บมานาน และในตอนที่หลุมศพของเธอถูกขุด ร่างได้ไปสัมผัสกับออกซิเจน ทำให้การเสื่อมสภาพเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
Cr.https://www.thaiquote.org/content/219927 by ThaiQuote,

Kap Dwa มนุษย์ 2 หัว สูง 3.5 เมตร


เรื่องราวของ Kap Dwa ถูกบันทึกไว้ว่าเมื่อปี 1673 ลูกเรือชาวสเปนได้พบ Kap Dwa มนุษย์ 2 หัว ที่มีความสูงประมาณ 3.5 เมตร ลูกเรือชาวสเปนได้พยายามจับตัว Kap Dwa และเกิดการต่อสู้กัน จนทำให้ Kap Dwa ต้องจบชีวิตลง   จากนั้นร่างของ Kap Dwa ถูกส่งขายให้ได้นักสะสมวนเวียนไปมาหลายรายทั้งในอังกฤษและ สหรัฐอเมริกา

โดยจากบันทึกพบว่าร่างของ Kap Dwa ถูกนำมาจัดแสดงในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1980 และในอังกฤษเมื่อปี 1900   ปัจจุบัน Kap Dwa ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของแปลก The Antique Man Ltd ในเมืองบอลทิมอร์ รัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา โดยมี Robert Gerber และภรรยาเป็นเจ้าของ

แต่ทาง Robert Gerber ได้ข้อมูลว่า ซากของ Kap Dwa นั้นถูกพบโดย ชาวบ้านในประเทศปารากวัย จนกระทั่งกัปตันชาวอังกฤษชื่อ George Bickle ได้พบกับซากศพ จึงพาอังกฤษ และไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองแบล็กพูล และจัดแสดงอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี

อย่างไรก็ตามเรื่องราวของ Kap Dwa ยังคงเป็นปริศนา และไม่มีใครทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ได้พิสูจน์ต่างก็ไม่มีใครค้านว่า Kap Dwa ไม่ใช่มนุษย์

ที่มา : http://www.nextsteptv.com
Cr. http://allmysteryworld.blogspot.com/2018/03/kap-dwa-2-35.html#ixzz6G5YOtnD8

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่