'ปรีชา จันทร์โอชา' โดดประชุมสนช.ไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวแรก แต่มีหลายเรื่องที่เกิดกับพล.ปรีชาโดยตรง และคนรอบตัว สมัยดำรงตำแหน่งปลัดกลาโหม
จากกรณีที่พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา 1 ใน 7 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ถูก 'ไอลอว์' (โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) เปิดเผยข้อมูลการขาดเข้าประชุมสนช. โดยรอบวันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 มีนาคม 2559 มีการลงมติทั้งหมด 250 ครั้ง พลเอกปรีชา มาลงมติ 5 ครั้ง ส่วนรอบวันที่ 1 เมษายน 2559 – 29 มิถุนายน 2559 มีการลงมติทั้งหมด 203 ครั้ง มาลงมติ 1 ครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้สิ้นสภาพการเป็นสมาชิกสนช.
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการจริยธรรมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผ่านเลขาธิการ เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระขึ้นมาตรวจสอบสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้ง 250 คน กรณีการลงมติการประชุม ว่ามีการกระทำเช่นเดียวกับ 7 สนช. ตามที่ไอลอว์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลหรือไม่
อย่างไรก็ตามเรื่องการโดดประชุมสนช.ของพล.อ.ปรีชาไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก แต่เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนรอบตัวของพล.อ.ปรีชานั้นเอง
เริ่มจาก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สมัยยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ารับตำแหน่ง สนช.เมื่อวันที่ 8 ส.ค.57 ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. โดยระบุในเอกสารแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหน้าหลักว่า มีเงินฝาก 5 บัญชี มูลค่า 42,051,468 บาท ส่วนนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ไม่มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากแต่กลับระบุในหน้ารายละเอียดว่า มีเงินฝากทั้งสิ้น 10 บัญชี มูลค่า 89,418,876 บาท เป็นของ พล.อ.ปรีชา 5 บัญชี มูลค่า 42,051,468 บาท และบัญชีของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส 5 บัญชี มูลค่า 46,995,296 บาท ขณะเดียวกัน พล.อ.ปรีชา ได้ระบุบัญชีเงินฝากกองทัพภาคที่ 3 ไว้ในเอกสารประกอบ แต่ไม่ได้ระบุไว้ในหน้าหลัก รวมถึงขณะนั้น พล.อ.ปรีชา ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) แล้วด้วยนั้น
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า จากการตรวจสอบพบว่า พล.อ.ปรีชา มิได้แสดงรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าหลัก แต่ได้รายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าที่ต้องแนบท้ายรายละเอียด และได้แนบเอกสารประกอบเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของคู่สมรสมาด้วย กรณีจึงมิได้เป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง
จากนั้นเมื่อวันที่ 16 เม.ย.59 โลกออนไลน์ได้มีหลุดภาพเอกสารของกระทรวงกลาโหม โดยกรมเสมียนตรา สั่งบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา อายุ 25 ปี บุตรชายของ พล.อ.ปรีชา เข้ารับราชการตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 พร้อมกับมียศร้อยตรี รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 18 จำนวน 15,000 บาท ทั้งที่นายปฏิพัทธ์ จบการศึกษาปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน)มหาวิทยาลัยนเรศวร
พล.อ.ปรีชา ได้เผยว่า นายปฏิพัทธ์ ได้สมัครเป็นนายทหาร หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เมื่อมีตำแหน่งก็ให้เข้ามาทำงาน มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีแค่ตนคนเดียว ขณะที่พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่ากรณีดังกล่าวดำเนินการตามขั้นตอน โดยพิจารณาจากผู้มีคุณสมบัติในสาขาที่ต้องการ
18 เม.ย.59 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินในวันเดียวกัน เพื่อขอให้ตรวจสอบ พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งลับ อนุมัติบุตรชายเข้าเป็นนายทหาร สังกัดกองทัพภาคที่ 3 รับเงินเดือน 15,000 บาท
ต่อมา 19 ก.ย.59 สำนักข่าวอิศราพบข้อมูล ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมี นายปฐมพล บุตรชายของพลเอกปรีชา ถือหุ้น เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ คู่สัญญารับเหมาะก่อสร้างหน่วยงานในกองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า อย่างน้อย 2 โครงการ รวมมูลค่า 26.9 ล้านบาท
22 ก.ย.59 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนบุคคลและบริษัทเอกชน 6 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรับเหมาก่อสร้างจำนวน 7 โครงการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพภาคที่ 3 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 155 ล้านบาทโดยการประมูลนี้ หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชัน ของ นายปฐมพล เป็นผู้ชนะการประมูลงานรับเหมาก่อสร้างทั้ง 7 โครงการ
จากนั้นอีกไม่นาน เรื่องฉาวของพล.อ.ปรีชาได้เกิดขึ้นอีกครั้งจากภรรยานางผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทำโครงการฝายชะลอน้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) หมู่ที่ 9 ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.59 โดยได้ตั้งชื่อฝายว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา”ซึ่งโลกออนไลน์ต่างวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ในการตั้งชื่อดังกล่าว ซึ่งพล.อ.ปรีชายืนยันว่า การตั้งฝาย "แม่ผ่องพรรณ" นั้น ได้มีการดำเนินการตามระเบียบราชการ ซึ่งทุกอย่างสามารถชี้แจงได้ ถึงแม้ว่า สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้เป็นหน่วยขึ้นตรงก็ตาม แต่มีการทำงานร่วมกันและสามารถที่จะใช้งบสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมได้ โดยระบุว่า การตั้งฝาย "แม่ผ่องพรรณ" ได้ใช้งบประมาณสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 7,800 บาท โดยมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ทหารร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสามารถสนับสนุนงบประมาณการจัดสร้างได้ เพราะถือเป็นการจัดกิจกรรม CSR
นายศรีสุวรรณได้ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบใน 4 ประเด็น คือการใช้รูปและชื่อฝายเป็นชื่อนางผ่องพรรณ แทงก์น้ำมีชื่อนางผ่องพรรณ และนางผ่องพรรณ ไม่ได้เป็นข้าราชการ และไม่ได้มีตำแหน่งในกระทรวงกลาโหม แต่เดินทางโดยเครื่องบินกองทัพอากาศ จึงถือว่า ผู้ที่มีรายชื่อถูกร้องให้ตรวจสอบเข้าข่ายอำนวยความสะดวกนางผ่องพรรณ และเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
25 ธ.ค. 59 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก อ้างว่าได้ข้อมูล จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระบุพบคฤหาสน์หลังหนึ่งในซอยพระองค์ขาว (ซอย 5) หลังวัดอรัญญิก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นของพลเอกปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมถามไปยัง ป.ป.ช. ว่าพล.อ.ปรีชาได้แจ้งคฤหาสน์หลังนี้ไว้ในการแจ้งบัญชีทัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.หรือไม่?หรือคฤหาสน์หลังนี้ใช้ชื่อผู้ใดเป็นเจ้าบ้านคฤหาสน์ใหญ่โตแต่กลับไม่มีเลขที่ติดอยู่หน้าบ้าน เหมือนต้องการปกปิดอะไรหลังจากไปขอออกเลขบ้านจากทางราชการแล้ว ต้องติดเลขที่บ้านให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ?
จากนั้นพลเอกปรีชาได้ชี้แจงว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านพักของตนและครอบครัว ที่สร้างไว้อาศัยหลังเกษียณอายุราชการ และเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพิ่งได้บ้านเลขที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการต่างๆ ให้แล้วเสร็จ รวมถึงแจ้งชี้แจงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติม
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งทางสมาคมฯ สงสัยว่ามีพฤติกรรมจงใจปกปิดทรัพย์สินที่ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช. และอาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ
http://news.voicetv.co.th/thailand/462669.html
<<< ย้อนกรณีอื้อฉาว 'ปรีชา จันทร์โอชา' จากปมบัญชีทรัพย์สิน ถึง โดดประชุมสนช >>>
จากกรณีที่พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา 1 ใน 7 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ถูก 'ไอลอว์' (โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) เปิดเผยข้อมูลการขาดเข้าประชุมสนช. โดยรอบวันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 มีนาคม 2559 มีการลงมติทั้งหมด 250 ครั้ง พลเอกปรีชา มาลงมติ 5 ครั้ง ส่วนรอบวันที่ 1 เมษายน 2559 – 29 มิถุนายน 2559 มีการลงมติทั้งหมด 203 ครั้ง มาลงมติ 1 ครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้สิ้นสภาพการเป็นสมาชิกสนช.
ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นหนังสือต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการจริยธรรมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผ่านเลขาธิการ เรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระขึ้นมาตรวจสอบสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติทั้ง 250 คน กรณีการลงมติการประชุม ว่ามีการกระทำเช่นเดียวกับ 7 สนช. ตามที่ไอลอว์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลหรือไม่
อย่างไรก็ตามเรื่องการโดดประชุมสนช.ของพล.อ.ปรีชาไม่ใช่เรื่องอื้อฉาวครั้งแรก แต่เริ่มตั้งแต่เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนรอบตัวของพล.อ.ปรีชานั้นเอง
เริ่มจาก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สมัยยังดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เข้ารับตำแหน่ง สนช.เมื่อวันที่ 8 ส.ค.57 ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. โดยระบุในเอกสารแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหน้าหลักว่า มีเงินฝาก 5 บัญชี มูลค่า 42,051,468 บาท ส่วนนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ไม่มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากแต่กลับระบุในหน้ารายละเอียดว่า มีเงินฝากทั้งสิ้น 10 บัญชี มูลค่า 89,418,876 บาท เป็นของ พล.อ.ปรีชา 5 บัญชี มูลค่า 42,051,468 บาท และบัญชีของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส 5 บัญชี มูลค่า 46,995,296 บาท ขณะเดียวกัน พล.อ.ปรีชา ได้ระบุบัญชีเงินฝากกองทัพภาคที่ 3 ไว้ในเอกสารประกอบ แต่ไม่ได้ระบุไว้ในหน้าหลัก รวมถึงขณะนั้น พล.อ.ปรีชา ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) แล้วด้วยนั้น
นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า จากการตรวจสอบพบว่า พล.อ.ปรีชา มิได้แสดงรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าหลัก แต่ได้รายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าที่ต้องแนบท้ายรายละเอียด และได้แนบเอกสารประกอบเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของคู่สมรสมาด้วย กรณีจึงมิได้เป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง
จากนั้นเมื่อวันที่ 16 เม.ย.59 โลกออนไลน์ได้มีหลุดภาพเอกสารของกระทรวงกลาโหม โดยกรมเสมียนตรา สั่งบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา อายุ 25 ปี บุตรชายของ พล.อ.ปรีชา เข้ารับราชการตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 พร้อมกับมียศร้อยตรี รับเงินเดือน ระดับ น.1 ชั้น 18 จำนวน 15,000 บาท ทั้งที่นายปฏิพัทธ์ จบการศึกษาปริญญานิเทศศาสตรบัณฑิต (สื่อสารมวลชน)มหาวิทยาลัยนเรศวร
พล.อ.ปรีชา ได้เผยว่า นายปฏิพัทธ์ ได้สมัครเป็นนายทหาร หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เมื่อมีตำแหน่งก็ให้เข้ามาทำงาน มีหลายคนในกองทัพที่ทำแบบนี้ ไม่ได้มีแค่ตนคนเดียว ขณะที่พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่ากรณีดังกล่าวดำเนินการตามขั้นตอน โดยพิจารณาจากผู้มีคุณสมบัติในสาขาที่ต้องการ
18 เม.ย.59 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการผู้ตรวจการแผ่นดินในวันเดียวกัน เพื่อขอให้ตรวจสอบ พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม มีคำสั่งลับ อนุมัติบุตรชายเข้าเป็นนายทหาร สังกัดกองทัพภาคที่ 3 รับเงินเดือน 15,000 บาท
ต่อมา 19 ก.ย.59 สำนักข่าวอิศราพบข้อมูล ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมี นายปฐมพล บุตรชายของพลเอกปรีชา ถือหุ้น เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ คู่สัญญารับเหมาะก่อสร้างหน่วยงานในกองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า อย่างน้อย 2 โครงการ รวมมูลค่า 26.9 ล้านบาท
22 ก.ย.59 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สอบสวนบุคคลและบริษัทเอกชน 6 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรับเหมาก่อสร้างจำนวน 7 โครงการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพภาคที่ 3 มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 155 ล้านบาทโดยการประมูลนี้ หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชัน ของ นายปฐมพล เป็นผู้ชนะการประมูลงานรับเหมาก่อสร้างทั้ง 7 โครงการ
จากนั้นอีกไม่นาน เรื่องฉาวของพล.อ.ปรีชาได้เกิดขึ้นอีกครั้งจากภรรยานางผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ทำโครงการฝายชะลอน้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) หมู่ที่ 9 ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 ก.ย.59 โดยได้ตั้งชื่อฝายว่า “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา”ซึ่งโลกออนไลน์ต่างวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ในการตั้งชื่อดังกล่าว ซึ่งพล.อ.ปรีชายืนยันว่า การตั้งฝาย "แม่ผ่องพรรณ" นั้น ได้มีการดำเนินการตามระเบียบราชการ ซึ่งทุกอย่างสามารถชี้แจงได้ ถึงแม้ว่า สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะไม่ได้เป็นหน่วยขึ้นตรงก็ตาม แต่มีการทำงานร่วมกันและสามารถที่จะใช้งบสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมได้ โดยระบุว่า การตั้งฝาย "แม่ผ่องพรรณ" ได้ใช้งบประมาณสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม จำนวน 7,800 บาท โดยมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ทหารร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึง อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมสามารถสนับสนุนงบประมาณการจัดสร้างได้ เพราะถือเป็นการจัดกิจกรรม CSR
นายศรีสุวรรณได้ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ให้ตรวจสอบใน 4 ประเด็น คือการใช้รูปและชื่อฝายเป็นชื่อนางผ่องพรรณ แทงก์น้ำมีชื่อนางผ่องพรรณ และนางผ่องพรรณ ไม่ได้เป็นข้าราชการ และไม่ได้มีตำแหน่งในกระทรวงกลาโหม แต่เดินทางโดยเครื่องบินกองทัพอากาศ จึงถือว่า ผู้ที่มีรายชื่อถูกร้องให้ตรวจสอบเข้าข่ายอำนวยความสะดวกนางผ่องพรรณ และเป็นการทุจริตต่อหน้าที่
25 ธ.ค. 59 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก อ้างว่าได้ข้อมูล จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระบุพบคฤหาสน์หลังหนึ่งในซอยพระองค์ขาว (ซอย 5) หลังวัดอรัญญิก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นของพลเอกปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมถามไปยัง ป.ป.ช. ว่าพล.อ.ปรีชาได้แจ้งคฤหาสน์หลังนี้ไว้ในการแจ้งบัญชีทัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.หรือไม่?หรือคฤหาสน์หลังนี้ใช้ชื่อผู้ใดเป็นเจ้าบ้านคฤหาสน์ใหญ่โตแต่กลับไม่มีเลขที่ติดอยู่หน้าบ้าน เหมือนต้องการปกปิดอะไรหลังจากไปขอออกเลขบ้านจากทางราชการแล้ว ต้องติดเลขที่บ้านให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ?
จากนั้นพลเอกปรีชาได้ชี้แจงว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านพักของตนและครอบครัว ที่สร้างไว้อาศัยหลังเกษียณอายุราชการ และเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพิ่งได้บ้านเลขที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการต่างๆ ให้แล้วเสร็จ รวมถึงแจ้งชี้แจงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เพิ่มเติม
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อป.ป.ช.ขอให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ซึ่งทางสมาคมฯ สงสัยว่ามีพฤติกรรมจงใจปกปิดทรัพย์สินที่ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช. และอาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ
http://news.voicetv.co.th/thailand/462669.html