จากกระแส "ยิงหมดแม๊ก" กรณีวิศวะ+วัยรุ่น คือ การแสดงให้เห็นถึงสังคมการใช้อารมณ์ที่จะสร้างปัญหาในอนาคต

หมายเหตุ : กระทู้นี้ผมของดแสดงความคิดเห็นต่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นจุดเบี่ยงเบนทำให้ประเด็นกระทู้เปลี่ยนไป

คนที่มีปืนนอกจากต้องมีสติแล้ว ต้องรู้จักการเรียนรู้การใช้การควบคุมอาวุธปืน รวมไปถึงการควบคุมสติและอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ

และที่จะขาดไปเสียไม่ได้คือ การใฝ่หาความรู้กฎหมายที่เกี่ยวกับคดีการใช้อาวุธปืนที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หรือเป็นข้อควรระมัดระวังเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมที่สุด

จริงๆ แล้วมีเว็บบอร์ดของชาวอาวุธปืนอยู่หลากหลาย เพื่อนสมาชิกหลายท่านสามารถเข้าไปอ่านหาความรู้ที่เกี่ยวกับอาวุธปืนได้มากมาย อาทิ ปัญหาการพกปืนอย่างไรไม่ให้ถูกจับสำหรับสุจริตชน การใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สินควรทำอย่างไร เป็นต้น

ซึ่งเมื่อเกิดเหตุกรณีลุงวิศะและวัยรุ่นขึ้นมาจนกลายเป็นกระแสสังคมและโลกโซเชียล ทางรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงพวกเราจึงควรช่วยกันเสนอความคิดเห็นที่เป็นไปในทางใช้สติ ในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นมาในอนาคต หรืออย่างน้อยคือสำหรับสุจริตชนที่ถูกภัยคุกคาม ทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องติดคุกติดตารางเพราะว่าป้องกันตนเองโดยสุจริตใจ

ครับ ผมขอยกบทความฎีกาจากกระทู้ในเว็บบอร์ดปืนที่ผมเข้าไปอ่านศึกษาหาความรู้อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งสมาชิกท่าหนึ่งได้ตั้งกระทู้ขึ้น ผมถือว่าดีมากๆ ควรค่าต่อการศึกษาไว้ครับ




แนวฎีกา ***** เกี่ยวกับคดียิงป้องกันตัว ประเด็นว่า “เป็นกู กูก็ยิง” จากคุณ kckckc เว็บ Gun in Thailand ( http://2013.gun.in.th/ )

แนวฎีกา เกี่ยวกับคดียิงป้องกันตัว
ประเด็นว่า “เป็นกู กูก็ยิง” เป็นที่กล่าวกันมาก

ต่อกรณีเหตุการณ์ที่ชายวัย 50 ปี พกปืนติดรถไปด้วย มีปากเสียงกับกลุ่มวัยโจ๋ แล้วขับรถจากมา ทว่าฝ่ายวัยรุ่นก็ขับรถตามมา

ถึงจุดเกิดเหตุ เขาจอดรถรอ เพื่อหาทางแจ้งตำรวจหรือกู้ภัย เพราะเห็นท่าไม่ดี

ตัวเขานั่งอยู่ในรถ

รถตู้กลุ่มวัยรุ่นแซง แล้วจอดด้านหน้า กรูกันมาห้อมล้อม ท่าทีจะเอาเรื่อง คุกคาม ทั้งแม่และเมียของเขา

ฝ่ายกลุ่มวัยโจ๋พยายามเปิดประตูรถ ข่มขืนใจให้เขาลงมาจากรถ ขู่ตะคอก “เก๋าเหรอ” ฯลฯ

นาทีที่จวนตัว วัยโจ๋พยายามบุกเข้ามาในรถ มีการชกต่อย แว่นตาชายวัย 50 ปี พัง ตกหล่น เขาขึ้นลำปืน แล้วลั่นไกทันทีทันใด 1 นัด เป็นผลให้ชายวัยโจ๋เสียชีวิต 1 ราย

แน่นอนว่า เขาต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผิด-ถูก เป็นเรื่องที่จะต้องต่อสู้ด้วยพยาน หลักฐาน ข้อเท็จจริง

แต่น่าคิดว่า สถานการณ์เช่นนั้น จะนำไปสู่การตัดสินใช้อาวุธป้องกันตัวตามกฎหมายได้แค่ไหน?

การมีปืนแล้วยิงคนตาย จะไม่มีความผิดก็ต่อเมื่อเป็นการยิงเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่น ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบ
ด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด กฎหมายอาญา มาตรา 68

ลองมาดูแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีอื่นๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ซึ่งมีรายละเอียดข้อเท็จจริงแตกต่างกัน

แต่บางแง่มุม อาจเทียบเคียงกันให้เห็นแนวทางได้บ้าง

1. กรณีผู้ตายไม่มีอาวุธ แล้วฝ่ายยิงอ้างป้องกันตัวไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 3187/2530 โจทก์ร่วมกับจำเลยมีเรื่องโต้เถียงท้าทายกันก่อนแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายนัดโจทก์ไปชกต่อย เมื่อถึงที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งไม่มีอาวุธใดติดตัวเดินเข้าหาจำเลย ห่างประมาณ 1 เมตร จำเลยกลับใช้อาวุธปืนจ้องยิงบริเวณหน้าอกของโจทก์ร่วม 2 นัด โจทก์ร่วมเอี้ยวตัวหลบ กระสุนปืนถูกโจทก์ร่วมที่ต้นแขนซ้ายและต้นขาซ้ายตามลำดับ พฤติการณ์ที่จำเลยสมัครใจวิวาท ท้าทายและใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมกำลังจะทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการแสดงเจตนาฆ่า จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันหาได้ไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 5664/2540 ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเข้ามาต่อว่า และตบหน้าจำเลย จำเลยโมโหจึงชักปืนยิงผู้ตาย 3 นัด ซึ่งในขณะเกิดเหตุมีผู้อยู่ในเหตุการณ์เพียง 3 คน คือ อ. พยานโจทก์ จำเลย และผู้ตาย อ. ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย หรือผู้ตายมาก่อน จึงเป็นพยานคนกลาง พยานปากนี้จึงมีน้ำหนักมาก ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาคำเบิกความของจำเลยแล้ว จำเลยเพียงแต่เกรงว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิง ทั้งที่ยังไม่มีพฤติการณ์ที่จะส่อว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิงทำร้ายจำเลย และไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืน จึงถือว่ายังไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย

2. กรณีผู้ตายมีอาวุธ แล้วฝ่ายยิงอ้างป้องกันตัวไม่ได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 740/2530 จำเลยกับผู้ตายขับรถยนต์มาประจันหน้ากันและหลีกกันไม่พ้น เพราะซอยแคบ จำเลยกับผู้ตายเกิดโต้เถียงกัน เมื่อขับรถสวนพ้นกันไปแล้ว จำเลยกับผู้ตายก็ยังโต้เถียงกันอีก ต่างคนต่างหยุดรถและลงมาจากรถ ผู้ตายถือปืนลงมา และยิงขึ้นฟ้า เป็นการระบายอารมณ์โกรธที่โต้เถียงกับจำเลย โดยมิได้แสดงกิริยาอาการ ว่าจะใช้ปืนยิงจำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยหยิบปืนในรถออก แล้วยิงไปที่ผู้ตายในลักษณะประสงค์ร้ายต่อชีวิตในขณะนั้น เป็นเหตุให้เกิดการยิงกัน จนผู้ตายถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงถึงแก่ความตาย จึงเป็นเรื่องที่จำเลยและผู้ตายสมัครใจต่อสู้กัน จะอ้างว่าเป็นการป้องกันหาได้ไม่

ข้อสำคัญเพิ่มเติมอีกประการหนึ่ง คือ ผู้ที่จะอ้างป้องกันตัวได้นั้น จะต้องไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายดังกล่าวขึ้นด้วย อาทิ ไม่เป็นผู้ที่ก่อภัยขึ้นในตอนแรก เช่น ชกต่อยก่อน แล้ววิ่งหนี เขาไล่ตามต่อเนื่อง ไปยิงเขาตาย อ้างป้องกันไม่ได้, ไม่เป็นผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาทกัน เช่น โต้เถียงกับคนตาย แล้วก็ท้าทายกัน เข้าชกต่อยต่อสู้กัน แบบนี้ แม้คนตายจะยิงก่อน จำเลยยิงสวน ก็อ้างป้องกันไม่ได้, ไม่เป็นผู้ที่ไปยั่วให้เขาโกรธก่อน เช่น ไปร้องด่าพ่อแม่ ด่าหยาบคายกับเขาก่อน พอเขาโกรธมาทำร้ายเรา เราก็ตอบโต้ เราอ้างป้องกันไม่ได้

3. กรณีผู้ตายมีอาวุธ แล้วฝ่ายยิงอ้างป้องกันตัวได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2285/2528 ผู้ตายมาพูดขอแบ่งวัวจากจำเลย จำเลยไม่ยอมแบ่ง และชวนให้ไปตกลงกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านหรือที่บ้านกำนัน แต่ผู้ตายไม่ยอมไป กลับชักปืนออกมาจากเอว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะใช้ปืนยิงจำเลย อันเป็นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไป 1 นัด และผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 2176/2540 การที่ผู้เสียหายเมาสุราไม่เชื่อฟังมารดา พูดจาท้าทายจำเลย และถือมีดปลายแหลมซึ่งใบมีดยาวถึง 17 เซนติเมตร เดินไปตบหน้าภริยาจำเลยที่หน้าประตูห้องน้ำ ในขณะที่จำเลยอยู่ในห้องน้ำและอยู่ห่างกันเพียง 1 วา ไม่มีทางที่จำเลยจะหลบหนีไปทางใดได้ บุคคลที่อยู่ในภาวะเช่นจำเลย ต้องเห็นว่าผู้เสียหายมีเจตนาจะทำร้ายจำเลย โดยใช้มีดที่ถือมาแทงจำเลยอย่างแน่นอน และอาจถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพียง 1 นัด แล้วหลบหนี จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

4. กรณีผู้ตายไม่มีอาวุธ แล้วฝ่ายยิงอ้างป้องกันตัวได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 822/2510 คนตายเป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน จะเข้ามาชกต่อยทำร้ายจำเลย จำเลยจึงเอาปืนยิงลงพื้นดินไป 1 นัด เพื่อขู่ให้คนตายกลัว แต่คนตายไม่หยุดกลับเข้ามากอดปล้ำใช้แขนรัดคอแล้วแย่งปืนจำเลย จำเลยจึงยิงขณะชุลมุนนั้นไป 1 นัด ตาย เป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด

คำพิพากษาฎีกาที่ 5758/2537 ผู้ตายกับพวกถือสิ่งของคล้ายอาวุธปืนเดินเข้ามาหาจำเลย ในเขตนากุ้งของจำเลยในเวลาค่ำคืน จำเลยร้องห้ามให้วางสิ่งของดังกล่าวแล้ว ผู้ตายกับพวกกลับจู่โจมเข้ามาใกล้ประมาณ 2-3 เมตร ย่อมมีเหตุให้จำเลยอยู่ในภาวะเข้าใจได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาทำร้าย และถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงไปทางผู้ตายกับพวก ในภาวะและพฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5215/2539 ผู้ตายกล่าวคำให้ร้ายอาฆาตจำเลยและบุตร ก่อนจะมาหาจำเลยที่บ้าน จำเลยบอกให้อีกฝ่ายหยุด แต่ยังคงเดินตรงเข้ามาหาด้วยระยะห่างเพียง 5 วา พฤติการณ์ของผู้ตายส่อถึงอาการมุ่งร้ายต่อชีวิตของจำเลยและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยมีความชอบธรรมที่จะป้องกันตัวเองตามสมควร จำเลยมีอายุ 68 ปี อยู่ในวัยชรา ส่วนผู้เสียชีวิตอายุ 26 ปี เป็นชายฉกรรจ์ ในภาระเช่นจำเลยต้องประสบในขณะนั้นย่อมต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงต้องมีอาวุธติดตัวมาเพื่อจะทำร้าย ในโอกาสที่ไม่อำนวยให้จำเลยได้ตั้งสติไตร่ตรองไว้ก่อนว่าผู้เสียชีวิตมีอาวุธร้ายแรงแค่ไหน การที่จำเลยยิงปืนใส่ผู้เสียชีวิตเพียงนัดเดียว และผู้เสียชีวิตถึงแก่ความตายนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม แต่ละกรณีจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป

ความผิด-ถูก ย่อมขึ้นอยู่กับพยาน หลักฐาน และข้อเท็จจริงของแต่ละเหตุการณ์

ที่มา : http://2013.gun.in.th/index.php?topic=81714.0
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่