"เก๋าหรอ'' (ผมไม่เก๋า ผมแซลม่อน) เมื่อวานคงได้เห็นคลิปจากกล้องหน้ารถของทางฝ่ายวิศวะไปแล้ว ขัดแย้งกับทางฝั่งของแม่ผู้ตายอย่างมาก เลยทำให้ขัดใจใครหลายๆคนที่ติดตามข่าวนี้ไปด้วย
.
พยานวัต
่อมมีน้ำหนักมากกว่าพยานบุคคล เพราะโกหกไม่ได้ ซึ่งกล้องที่บันทึกคลิปได้นั้นจะเป็นพยานสำคัญในคดี
.
จากเนื้อข่าว และถ้าข้อเท็จจริงเป็นแบบนั้นจริงๆ หากมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมรถ พูดว่า"เก๋าหรอ?'' พร้อมชวนให้ลงไปนอกรถด้วยท่าทางจะชวนวิวาท ซึ่งถ้าลงไปถือว่ายอมรับความเสี่ยงภัยเองและสมัครใจวิวาทอีก ซึ่งในกรณีแบบนี้จะอ้างป้องกันตัวไม่ได้ ถือว่าฝ่ายวิศวะทำถูกแล้วที่ไม่ลงไป แต่เมื่อไม่ลงกลุ่มวัยรุ่นกลับพยายามรุมเปิดประตูรถ พฤติการณ์ดูน่าจะเป็นภยันตรายกับคนอยู่ในรถ บวกกับเป็นกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นสถานการณ์ที่คับขันเช่นนั้น หากเป็นผมคงน่าตกใจไม่น้อย
.
แต่จะมีวิธีอื่นเพื่อพาตัวเองและคนในรถพ้นจากภยันตรายด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่ และมีโอกาสเลือกยิงในอวัยวะที่ไม่สำคัญหรือไม่ หากเป็นผมในภาวะคับขันอย่างนั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คิดแล้วก็คงไม่ต่างกันมากครับ
.
เหล่านั้นคือข้อเท็จจริงที่จะต้องไปว่ากันในกระบวนการพิจารณาของศาล จะพูดถึงในข้อกฏหมายเรื่องกระทำโดยป้องกันว่าเป็นอย่างไร และจะยกคำวินิจฉัยของศาลฏีกาที่มีคำพิพากษาเรื่องนี้ให้อ่านกัน
.
ซึ่งตามหลักกฏหมายและฏีกาที่จะอ้างให้ดูนั้นต่อไปนี้ เมื่ออ่านแล้วไปเทียบดูกับข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็แล้วแต่จะคิดเห็นกัน ส่วนถ้าจะถามผมว่าใครผิด ผมคงตอบฟันธงไม่ได้เพราะจะเป็นเรื่องของผู้พิพากษาท่านจะวินิจฉัย ผมไม่กล้าไปวินิจฉัยแทนท่าน และไม่อยากเป็นผู้พิพากษาออนไลน์ซึ่งตอนนี้ผมเห็นว่ามีเยอะมากเหลือเกิน แต่จะพยายามเทียบเหตุการณ์ในข่าวให้ดูกัน
.
ว่าด้วยเรื่องกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ได้บัญญัติไว้ว่า"ผู้ใดกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการกระทำโดยประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด"
.
ตามตัวบทพอสรุปองค์ประกอบของกระทำโดยป้องกันไว้ ๔ ข้อ ดังนี้
๑) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย ซึ่งภยันตรายก็หมายถึง ภัยที่เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงอนามัย เช่น การที่มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งล้อมนายวิศ แล้วรุมทำร้ายร่างกาย แบบนี้เรียกเป็นภยันตรายต่อกายและละเมิดต่อกฏหมายแล้ว แต่ทั้งนี้นายวิศต้องไม่มีส่วนไปก่อภัยขึ้นเอง เช่นหากนายวิศไปด่าทอกลุ่มดังกล่าว หรือนายวิศไปสมัครใจวิวาทเสียเองอันนี้จะอ้างเรื่องป้องกันไม่ได้
.
๒) เป็นภยันตรายนั้นใกล้จะถึง คำว่าใกล้จะถึงคงไม่ต้องรอให้ถูกกระทำเสียก่อนจึงจะมีสิทธิป้องกันตัว เพราะฉะนั้นอาจจะตายไปเสียก่อน เช่น นายวิศถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมหมายจะทำร้าย นายวิศมีสิทธที่จะป้องกันตัวได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ถูกทำรายเสียก่อน หากมีปืนอาจจะยิงขู่ได้ หากยิ่งขู่นัดแรกคนกลุ่มนั้นเดินเข้าใส่อีก อาจยิงใส่ได้ ( แต่ต้องเลือกยิงตามที่จะพูดในข้อ ๔. ในเรื่องสมควรเเก่เหตุ ) ไม่ถึงกับต้องให้เกิดภยันตรายแล้วจึงเกิดสิทธิ มิฉะนั้นนายวิศคงถูกกระทืบตายไปเสียก่อน ซึงผิดวัตถุประสงค์ของกฏหมายในเรื่องป้องกันไป การใช้สิทธิป้องกันนั้นเริ่มตั้งแต่เมื่อภัยภยันตรายนั้นใกล้จะถึงตัวนายวิศ รวมตลอดถึงระยะเวลาที่ภัยภยันตรายนั้นได้มาถึงตัวผู้รับภัยแล้ว ก่อนที่ภัยภยันตรายสิ้นสุดลง
.
เช่นเคยมีฏีกาว่าเห็นอีกฝ่ายชักปืนออกจากเอว ถือเป็นภยันตรายนั้นใกล้จะถึงแล้ว ยิงได้เป็นการป้องกันตัว
ฏีกาที่ ๒๒๘๕/๒๕๒๘ ผู้ตายตามไปพบจำเลยและพูดขอแบ่งวัวจากจำเลย จำเลยไม่ยอมแบ่งและชวนให้ไปตกลงกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านหรือที่บ้านกำนันแต่ผู้ตายไม่ยอมไป กลับชักปืนออกมาจากเอว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะใช้ปืนนั้นยิงจำเลยอันเป็น ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็น ภยันตรายที่ใกล้จะถึงการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไป ๑ นัด และผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด
.
ฏีกาที่ ๘๓๔๕/๒๕๔๔ แดงชักมีดจะแทงดำ ดำมีสิทธิป้องกันได้ แม้ดำจะแย่งมีดจากมือแดงได้ ก็มิใช่ภยันตรายได้ผ่านพ้นหรือสิ้นไปแล้ว เพราะแดงมีรูปร่างใหญ่กว่าดำซึ่งขาซ้ายพิการ โอกาสที่แดงจะแย่งมีดคืนมาและน่าเชื่อว่าถ้าได้มีดคืนก็จะแทงดำตายได้ก็ยังมีอยู่ การที่ดำแทงแดง จึงอ้างป้องกันได้
.
๓) ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภัยภยันตรายนั้น คือนอกจากจะป้องกันสิทธิของตนแล้วยังป้องกันสิทธิของผู้อื่นได้ด้วย ทั้งนี้ผู้อาจนั้นอาจจะไม่มีความสัมพันธ์ทางกฏหมายเลยก็ตาม ซึ่งเจตนารมณ์ของกฏหมายในเรื่องนี้ดีมากๆ คือต้องการให้เกิดพลเมืองดีนั่นเอง ดังนั้นในข่าวหากฟังได้ว่าวิศกรจะถูกกลุ่มเด็กทำร้ายจริง ย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะกระทำโดยป้องกันสิทธิของตัวเองและคนในรถให้พ้นจากภยันตรายได้
ในเรื่องป้องกันสิทธิตามหัวข้อนี้ มีคำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจดังนี้
ภรรยามีชู้ยิงได้ในขณะเห็นทำชู้กัน ยิงชู้และภรรยา ถือว่าป้องกันเกียรติยศและชื่อเสียง
ฎีกาที่ ๓๗๘/๒๔๗๙ ชายพบภริยาของตน(จดทะเบียนสมรส)กำลังร่วมประเวณีทำชู้กับชายอื่นจึงฆ่าภริยาและชายชู้ตายทั้งสองคนนั้นทันทีเช่นนี้ ถือว่าเป็นการป้องกันเกียรติยศและชื่อเสียง พอสมควรแก่เหตุ ไม่มีโทษ
.
๔).การกระทำโดยป้องกันสิทธินั้นไม่เกินขอบเขตหากเกินขอบเขตก็ไม่ถือว่าเป็นการป้องกัน ซึงก็เป็นปัญญาสำคัญว่าอย่างไรสมควรแก่เหตุ อย่างไรเกินขอบเขต คงต้องพิจารณาจากความร้ายแรงของภยันตรายกับวิถีทางที่จะให้พ้นจากภยันตรายนั้น โดยให้คำนึงถึงว่าเมื่อกระทำโดยป้องกันแล้ว จะให้เกิดผลร้ายเป็นอย่างต่ำสุดตามสัดส่วนของภยันตรายนั่น
เช่น หากผู้ก่อภัยใช้ปืนจะยิง ผู้ที่ถูกจะยิงย่อมใช้ปืนโต้ตอบกลับไปโดยถือว่า ได้สัดส่วนกันระหว่างภัยภยันตรายกับการกระทำโดยป้องกัน
เช่น
๗๘๕๑/๒๕๔๔ ผู้ตายใช้เหล็กปลายเเหลม ซึ่งอาจทำอันตรายถึงแก่ชีวิตไล่เเทงจำเลย จำเลยอยู่ในที่คับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงยิงปืนไปถูกผู้ตาย ถือว่าป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด
.
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูพฤติการณ์เป็นรายๆไปว่า หากมีเวลาเพียงพอให้เลือกยิงเพื่อป้องกันได้ แต่ยิงอวัยวะสำคัญอาจเป็นการเป็นการป้องกันโดยเกินสมควรแก่เหตุได้
.
สวัดดี
ลุงวิศวะ..ป้องกันตัวหรือไม่
.
พยานวัต่อมมีน้ำหนักมากกว่าพยานบุคคล เพราะโกหกไม่ได้ ซึ่งกล้องที่บันทึกคลิปได้นั้นจะเป็นพยานสำคัญในคดี
.
จากเนื้อข่าว และถ้าข้อเท็จจริงเป็นแบบนั้นจริงๆ หากมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมรถ พูดว่า"เก๋าหรอ?'' พร้อมชวนให้ลงไปนอกรถด้วยท่าทางจะชวนวิวาท ซึ่งถ้าลงไปถือว่ายอมรับความเสี่ยงภัยเองและสมัครใจวิวาทอีก ซึ่งในกรณีแบบนี้จะอ้างป้องกันตัวไม่ได้ ถือว่าฝ่ายวิศวะทำถูกแล้วที่ไม่ลงไป แต่เมื่อไม่ลงกลุ่มวัยรุ่นกลับพยายามรุมเปิดประตูรถ พฤติการณ์ดูน่าจะเป็นภยันตรายกับคนอยู่ในรถ บวกกับเป็นกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นสถานการณ์ที่คับขันเช่นนั้น หากเป็นผมคงน่าตกใจไม่น้อย
.
แต่จะมีวิธีอื่นเพื่อพาตัวเองและคนในรถพ้นจากภยันตรายด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่ และมีโอกาสเลือกยิงในอวัยวะที่ไม่สำคัญหรือไม่ หากเป็นผมในภาวะคับขันอย่างนั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร คิดแล้วก็คงไม่ต่างกันมากครับ
.
เหล่านั้นคือข้อเท็จจริงที่จะต้องไปว่ากันในกระบวนการพิจารณาของศาล จะพูดถึงในข้อกฏหมายเรื่องกระทำโดยป้องกันว่าเป็นอย่างไร และจะยกคำวินิจฉัยของศาลฏีกาที่มีคำพิพากษาเรื่องนี้ให้อ่านกัน
.
ซึ่งตามหลักกฏหมายและฏีกาที่จะอ้างให้ดูนั้นต่อไปนี้ เมื่ออ่านแล้วไปเทียบดูกับข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็แล้วแต่จะคิดเห็นกัน ส่วนถ้าจะถามผมว่าใครผิด ผมคงตอบฟันธงไม่ได้เพราะจะเป็นเรื่องของผู้พิพากษาท่านจะวินิจฉัย ผมไม่กล้าไปวินิจฉัยแทนท่าน และไม่อยากเป็นผู้พิพากษาออนไลน์ซึ่งตอนนี้ผมเห็นว่ามีเยอะมากเหลือเกิน แต่จะพยายามเทียบเหตุการณ์ในข่าวให้ดูกัน
.
ว่าด้วยเรื่องกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ได้บัญญัติไว้ว่า"ผู้ใดกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการกระทำโดยประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฏหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด"
.
ตามตัวบทพอสรุปองค์ประกอบของกระทำโดยป้องกันไว้ ๔ ข้อ ดังนี้
๑) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย ซึ่งภยันตรายก็หมายถึง ภัยที่เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงอนามัย เช่น การที่มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งล้อมนายวิศ แล้วรุมทำร้ายร่างกาย แบบนี้เรียกเป็นภยันตรายต่อกายและละเมิดต่อกฏหมายแล้ว แต่ทั้งนี้นายวิศต้องไม่มีส่วนไปก่อภัยขึ้นเอง เช่นหากนายวิศไปด่าทอกลุ่มดังกล่าว หรือนายวิศไปสมัครใจวิวาทเสียเองอันนี้จะอ้างเรื่องป้องกันไม่ได้
.
๒) เป็นภยันตรายนั้นใกล้จะถึง คำว่าใกล้จะถึงคงไม่ต้องรอให้ถูกกระทำเสียก่อนจึงจะมีสิทธิป้องกันตัว เพราะฉะนั้นอาจจะตายไปเสียก่อน เช่น นายวิศถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมหมายจะทำร้าย นายวิศมีสิทธที่จะป้องกันตัวได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ถูกทำรายเสียก่อน หากมีปืนอาจจะยิงขู่ได้ หากยิ่งขู่นัดแรกคนกลุ่มนั้นเดินเข้าใส่อีก อาจยิงใส่ได้ ( แต่ต้องเลือกยิงตามที่จะพูดในข้อ ๔. ในเรื่องสมควรเเก่เหตุ ) ไม่ถึงกับต้องให้เกิดภยันตรายแล้วจึงเกิดสิทธิ มิฉะนั้นนายวิศคงถูกกระทืบตายไปเสียก่อน ซึงผิดวัตถุประสงค์ของกฏหมายในเรื่องป้องกันไป การใช้สิทธิป้องกันนั้นเริ่มตั้งแต่เมื่อภัยภยันตรายนั้นใกล้จะถึงตัวนายวิศ รวมตลอดถึงระยะเวลาที่ภัยภยันตรายนั้นได้มาถึงตัวผู้รับภัยแล้ว ก่อนที่ภัยภยันตรายสิ้นสุดลง
.
เช่นเคยมีฏีกาว่าเห็นอีกฝ่ายชักปืนออกจากเอว ถือเป็นภยันตรายนั้นใกล้จะถึงแล้ว ยิงได้เป็นการป้องกันตัว
ฏีกาที่ ๒๒๘๕/๒๕๒๘ ผู้ตายตามไปพบจำเลยและพูดขอแบ่งวัวจากจำเลย จำเลยไม่ยอมแบ่งและชวนให้ไปตกลงกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้านหรือที่บ้านกำนันแต่ผู้ตายไม่ยอมไป กลับชักปืนออกมาจากเอว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะใช้ปืนนั้นยิงจำเลยอันเป็น ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็น ภยันตรายที่ใกล้จะถึงการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายไป ๑ นัด และผู้ตายถึงแก่ความตายจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด
.
ฏีกาที่ ๘๓๔๕/๒๕๔๔ แดงชักมีดจะแทงดำ ดำมีสิทธิป้องกันได้ แม้ดำจะแย่งมีดจากมือแดงได้ ก็มิใช่ภยันตรายได้ผ่านพ้นหรือสิ้นไปแล้ว เพราะแดงมีรูปร่างใหญ่กว่าดำซึ่งขาซ้ายพิการ โอกาสที่แดงจะแย่งมีดคืนมาและน่าเชื่อว่าถ้าได้มีดคืนก็จะแทงดำตายได้ก็ยังมีอยู่ การที่ดำแทงแดง จึงอ้างป้องกันได้
.
๓) ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภัยภยันตรายนั้น คือนอกจากจะป้องกันสิทธิของตนแล้วยังป้องกันสิทธิของผู้อื่นได้ด้วย ทั้งนี้ผู้อาจนั้นอาจจะไม่มีความสัมพันธ์ทางกฏหมายเลยก็ตาม ซึ่งเจตนารมณ์ของกฏหมายในเรื่องนี้ดีมากๆ คือต้องการให้เกิดพลเมืองดีนั่นเอง ดังนั้นในข่าวหากฟังได้ว่าวิศกรจะถูกกลุ่มเด็กทำร้ายจริง ย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะกระทำโดยป้องกันสิทธิของตัวเองและคนในรถให้พ้นจากภยันตรายได้
ในเรื่องป้องกันสิทธิตามหัวข้อนี้ มีคำพิพากษาศาลฏีกาที่น่าสนใจดังนี้
ภรรยามีชู้ยิงได้ในขณะเห็นทำชู้กัน ยิงชู้และภรรยา ถือว่าป้องกันเกียรติยศและชื่อเสียง
ฎีกาที่ ๓๗๘/๒๔๗๙ ชายพบภริยาของตน(จดทะเบียนสมรส)กำลังร่วมประเวณีทำชู้กับชายอื่นจึงฆ่าภริยาและชายชู้ตายทั้งสองคนนั้นทันทีเช่นนี้ ถือว่าเป็นการป้องกันเกียรติยศและชื่อเสียง พอสมควรแก่เหตุ ไม่มีโทษ
.
๔).การกระทำโดยป้องกันสิทธินั้นไม่เกินขอบเขตหากเกินขอบเขตก็ไม่ถือว่าเป็นการป้องกัน ซึงก็เป็นปัญญาสำคัญว่าอย่างไรสมควรแก่เหตุ อย่างไรเกินขอบเขต คงต้องพิจารณาจากความร้ายแรงของภยันตรายกับวิถีทางที่จะให้พ้นจากภยันตรายนั้น โดยให้คำนึงถึงว่าเมื่อกระทำโดยป้องกันแล้ว จะให้เกิดผลร้ายเป็นอย่างต่ำสุดตามสัดส่วนของภยันตรายนั่น
เช่น หากผู้ก่อภัยใช้ปืนจะยิง ผู้ที่ถูกจะยิงย่อมใช้ปืนโต้ตอบกลับไปโดยถือว่า ได้สัดส่วนกันระหว่างภัยภยันตรายกับการกระทำโดยป้องกัน
เช่น
๗๘๕๑/๒๕๔๔ ผู้ตายใช้เหล็กปลายเเหลม ซึ่งอาจทำอันตรายถึงแก่ชีวิตไล่เเทงจำเลย จำเลยอยู่ในที่คับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงยิงปืนไปถูกผู้ตาย ถือว่าป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด
.
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูพฤติการณ์เป็นรายๆไปว่า หากมีเวลาเพียงพอให้เลือกยิงเพื่อป้องกันได้ แต่ยิงอวัยวะสำคัญอาจเป็นการเป็นการป้องกันโดยเกินสมควรแก่เหตุได้
.
สวัดดี