คุณธรรมริมทาง ๙ ก.พ.๖๐

กระทู้สนทนา
ฉากชีวิต

คุณธรรมริมทาง

เพทาย

เมื่อวันเสาร์แรกของเดือนมกราคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งทางการก็มีคำขวัญสองพยางค์หลังว่า.....ใฝ่เรียนรู้.... เชิดชูคุณธรรม

แล้วก็มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้เด็กได้เที่ยว ได้ชม ได้รับความรู้อย่างมากมาย แต่จะมีใครแสดงให้เด็กได้รู้จักว่า อะไรคือคุณธรรมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

เด็กส่วนใหญ่ก็ได้เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลินไปตามประสา แต่สิ่งที่มีหน้ามีตาซึ่งสถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างเอามาอวดกันในภาพข่าวก็คือ ภาพที่ท่านนายกรัฐมนตรีอุ้มเด็กขึ้นนั่งบนเก้าอี้ประจำโต๊ะทำงานของนายกรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งผู้ใหญ่หลาย ๆ คนก็อยากจะได้นั่ง จนต้องแข่งขันกันให้วุ่นวายมาหลายวันแล้ว

และก็ยังมีเด็กอีกบางส่วนเคราะห์ร้าย ไปเที่ยวในสวนสนุกแล้วเกิดเครื่องเล่นผาดโผนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีการบาดเจ็บกันไปมากบ้างน้อยบ้างหลายสิบคน และเชื่อว่ายังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้เล่นอะไรเลย เพราะอยู่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกล ก็คงจะเล่นดินทรายไปตามเรื่อง เช่นเดียวกับบรรพบุรุษซึ่งเติบโตขึ้นมาตามธรรมชาติ เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว

ผมเองอยู่บ้านในวันเด็กตลอดทั้งวัน เพราะไม่มีเด็กที่อยู่ในวัยซึ่งจะต้องพาไปเที่ยวแล้ว ในวันรุ่งขึ้นจากวันเด็กซึ่งเป็นวันอาทิตย์ผมจึงออกไปทำบุญที่วัดตามปกติ วัดนี้อยู่ไม่ไกลจากศูนย์การค้าใหญ่ของกรุงเทพมหานครมากนัก

ผมเข้าไปนั่งฟังการบรรยายปาฐกถาธรรมในสวนอันร่มรื่น จนได้เวลาอันควรแล้วก็เอาธนบัตรใบย่อย ใส่ตู้รับบริจาคที่ใหญ่โตมโหฬารสี่ตู้ จนครบจำนวนที่ตั้งใจจะทำแล้วก็เดินออกจากสวนนั้น มาทางหน้าโบสถ์แวะถวายสักการะพระประธานในระยะห่าง เพราะไม่สามารถเข้าไปคุกเข่ากราบได้ เนื่องจากสังขารไม่อำนวย แล้วก็ออกจากประตูวัดไปขึ้นสะพานลอยคนเดินจากหน้าวัด ที่อยู่ไม่ไกลนัก

เมื่อผมเห็นขอทานคนแรกแต่ไกล ผมจึงควักกระเป๋าเอาเศษเหรียญบาท ออกมานับดูต้นทุนในวันนี้ ปรากฏว่ามีอยู่ทั้งสิ้นสิบเจ็ดบาท พอจะบริจาคทานได้อย่างสบายใจ รายแรกนี้เป็นหญิงมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นอนหลับอยู่บนตัก ผมก็ให้ไปสองบาทตามอัตรา

เมื่อก้มลงหย่อนเหรียญลงในกระบอก ผมสังเกตเห็นว่า เด็กที่หลับอยู่นั้นมีหน้าตาดี แตกต่างจากผู้ที่อุ้มอยู่มาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแม่ลูกกัน ผมจึงสะดุดใจคิดถึงเรื่องที่มีข่าวว่า มีแก๊งค์ลักเด็กเอาไปทำเป็นขอทาน โดยวิธีต่าง ๆ

ผมคิดขณะที่เดินขึ้นสะพานลอย อย่างไม่กระฉับกระเฉงเหมือนปีก่อน ผมได้ยินข่าวอย่างนี้มานานแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดจะเลิกให้ทาน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรผมก็ตั้งใจจะทำบุญกับผู้ยากไร้ ที่ต้องมานั่งขอทานอยู่ข้างถนน เงินที่ผมให้ไปนับว่าน้อยเหลือเกินสำหรับผม แต่เมื่อเขารวมได้มากในวันหนึ่ง ๆ แล้ว ก็จะทำให้เขาได้ส่วนแบ่งที่พอจะเลี้ยงชีวิตในวันนั้นได้

ส่วนหัวหน้าแก๊งค์ซึ่งผมไม่ได้เจตนาจะบริจาคให้ ก็คงต้องรับกรรมของเขาไปตามสมควร โดยผมไม่จำเป็นต้องแช่ง

ระหว่างสะพานลอยคนเดินของกรุงเทพมหานครเดิม ที่ทอดไปเชื่อมกับทางเดินลอยฟ้าของบริษัทรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่สร้างขึ้นมาให้เพื่ออำนวยความสะดวก แก่ผู้ที่ประสงค์จะเดินแยกไปเข้าศูนย์การค้าใหญ่ระดับโลก ตั้งแต่แยกไฟแดงหนึ่งไปถึงอีกไฟแดงหนึ่ง ซึ่งเรียงกันอยู่สามสี่ราย ก็เห็นมีคนนั่งขอทานอยู่เป็นระยะ ซึ่งเป็นผู้หญิงและเด็กทั้งสิ้น

รายแรกบนสะพานเป็นเด็กชาย ผมเห็นมีรอยแผลตกสะเก็ดที่แก้มซ้าย เมื่อหย่อนเหรียญลงในกระป๋องจึงถามว่า ไปโดนอะไรมา เขายิ้มกว้างขวางเห็นฟันหลอหลายซี่ แต่ตอบว่าอย่างไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง คงจะเป็นเพราะหูผมเริ่มจะตึงมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้

รายที่สองเป็นหญิงอายุไม่มากนัก มีเด็กหญิงนอนหลับอยู่บนตักตามธรรมเนียม เธอก้มลงกราบแทบศีรษะจะจรดพื้น เมื่อผมเอาเงินเหรียญใส่ในฝ่ามือ ถัดออกไปไม่ไกลก็มีเด็กหญิงซึ่งโตไล่เรี่ยกับเด็กผู้ชายคนแรก กำลังจ้องดูการกระทำของผมอย่างตาเขม็ง

ผมจึงรีบเดินเข้าไปหาและเอาเหรียญบาทใส่กระบอก พร้อมกับชี้มือไปที่เหรียญบาทอีกสองอันที่อยู่บนพื้น พร้อมกับบอกให้เธอเก็บใส่กระบอกเสีย เธออาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงต้องเป็นห่วงเงินซึ่งไม่ใช่ของตนเองด้วย แต่เธอก็หยิบใส่ลงในกระบอกแต่โดยดี

ผมเดินเลยต่อไปในทางเดินที่ทอดเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้า เพื่อไปลงอีกด้านหนึ่ง พอสุดบันไดก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีแดง นุ่งกางเกงชาสั้นสีน้ำเงิน อายุประมาณไม่เกินห้าขวบ ถ้าเทียบกับเด็กที่มาออกรายการทีวีช่องต่าง ๆ ที่ตอบปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว หรือเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่ที่ตอบปัญหาของนักเรียน ป.๔ ไม่ได้ นั่งเขี่ยขี้ฝุ่นรอบตัวเล่นโดยไม่สนใจกับกระบอกพลาสติกที่วางอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางสายตาของคนหนุ่มสาวที่เดินผ่านไปมาอย่างขวักไขว่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะให้ทานเหมือนกัน

เมื่อได้ยินเสียงเหรียญกระทบก้นกระบอก เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วยกมือไหว้ อย่างไม่สวยงามตามแบบของเขา ผมจึงก้มลงไปถามว่า แม่หนูไปไหนเสียล่ะ เขาก็ชี้มือไปทางฝั่งตรงข้ามเยื้องออกไปทางใต้บันไดขาขึ้นสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นหญิงร่างขะมุกขะมอม และมีเด็กนอนหลับอยู่บนตักตามฟอร์ม

ผมจึงเดินเข้าไปเอาเงินใส่กระบอกให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นคนสุดท้ายในวันนี้ แล้วก็ไปยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ ๆ กันนั้น

ที่ตรงนั้นเป็นบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ชั้นหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต แต่ปัจจุบันก็คงซบเซาลงเช่นเดียวกับโรงภาพยนตร์ใหญ่ ๆ โรงอื่น จึงมีผู้คนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย ทั้งเดินขึ้นลงจากสถานีรถไฟฟ้า และเดินผ่านไปมา หรือเดินมายืนรอรถเมล์ รถแท็กซี่ รถยนต์ส่วนตัวที่นัดหมายกันทางโทรศัพท์มือถือ จึงมีพ่อค้าแม่ค้าทีมาจอดรถเข็นขายของขบเคี้ยว ผลไม้แช่น้ำแข็ง และพวกปิ้งพวกเผาเรียงรายเป็นระยะ รถเมล์สายที่ผมต้องการขึ้นยังไม่ผ่านมา ผมจึงมองดูภาพเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัวด้วยความเพลิดเพลิน

หญิงสาวค่อนข้างสวยคนหนึ่งแต่งกาย ชนิดที่เป็นเครื่องแบบสำนักงานใดสักแห่งหนึ่ง สีกลีบบัวมีผ้าพันคอสีน้ำตาลอ่อน ถือถุงกระดาษมีหูหิ้วแต่มีตราสินค้า เดินมาวางถุงนั้นลงบนโต๊ะว่างที่มีป้ายแสดงว่าเป็นแผงขายส้มที่มียี่ห้อโด่งดังชื่อหนึ่ง แล้วก็เดินเลยไป

ผมคิดเล่น ๆ ว่าถ้าผมอยากรู้อยากเห็น เดินไปเปิดถุงนั้นดู อะไรจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ทำตามที่คิด แต่ก็ทำให้รถเมล์สายที่ผมรอเข้ามาจอด และแล่นออกไปโดยไม่ทันสังเกต

ผมมัวมองหาหญิงสาวผู้นั้น ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน สงสัยว่าเธอจงใจวางถุงนั้นทิ้งไว้ จริง ๆ หรือ จนรถสายนั้นอีกคันหนึ่งแล่นมาเข้าป้าย ผมจึงละสายตามาดูรถเมล์คันนั้นว่าจะจอดตรงไหน แต่เขาก็แล่นไปเรื่อย ๆ โดยมีผู้ที่รอบนถนนวิ่งตามกันไปเป็นสาย

ผมเลยขี้เกียจที่จะวิ่งตามไปแย่งขึ้นกับเขาด้วย เพราะสงสารสังขารที่จะเสื่อมลงไปอย่างไม่คุ้มค่า คันหลังก็ยังมีมาอีก เวลายังเหลืออีกนาน กว่าจะหิว

เมื่อผมหันกลับมาที่เดิม ผมจึงได้พบว่าแผงขายส้มว่าง ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งวางถุงกระดาษไว้นั้น บัดนี้เต็มไปด้วยหญิงสาวน้อยใหญ่สี่ห้าคน ในชุดเครื่องแบบสีเดียวกันทั้งหมด มีถุงกระดาษแบบต่าง ๆ วางตรงหน้าและกำลังกินอาหาร พร้อมกับพูดคุยไปด้วยอย่างมีความสุข เธอทั้งหลายคงจะเตรียมตัวไปเปลี่ยนเวรในที่ทำงานผลัดต่อไป ก็อาจจะเป็นได้ ผมนึกขำความคิดของผมที่ผิดความจริงไปคนละแคว แล้วก็กวาดสายตาไปยังผู้คนกลุ่มอื่น

ขณะนั้นเองก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเคียงกันเข้ามาหาเด็กน้อยเสื้อแดงคนนั้น ทั้งสองแต่งกายอย่างสวยงามตามสมัยนิยม ฝ่ายชายวางกระบอกใส่น้ำหวานขนาดใหญ่ ที่มีสัญลักษณ์ของร้านค้ายี่สิบสี่ชั่วโมง ลงตรงหน้าของเด็ก เอาหลอดปักลงไปในรูบนฝากระบอก แล้วให้เด็กก้มลงดูด

หนูน้อยก็ยกมือไหว้เขาอย่างเคยชิน แล้วจึงก้มลงดูดน้ำในกระบอกอย่างชื่นชอบ หญิงสาวเอามือลูบศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู แล้วก็จูงมือกันเดินต่อไป ด้วยใบหน้าที่บอกถึงความสุข

ผมเองดูเหมือนจะงงงันไปชั่วขณะที่ได้เห็นภาพ ซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้งอย่างไม่คาดฝันอีกครั้งก็คือ เด็กน้อยผู้นั้นกดหลอดดูดลงในกระบอกแล้วยกกระบอกนั้น ลุกขึ้นเดินไปหาหญิงขะมุกขะมอมที่มีเด็กอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่บนตัก พร้อมกับส่งกระบอกน้ำหวานนั้นให้ ก่อนที่จะกลับมานั่งที่เดิม

ในขณะที่ผู้ซึ่งเด็กชายชี้บอกว่าเป็นแม่ ยกกระบอกน้ำขึ้นดูดนั้น ผมมองเห็นไม่ชัดเสียแล้ว เพราะดูเหมือนกระจกแว่นตาของผม จะฝ้ามัวไปชั่วขณะ

ผมคิดว่า เด็กชายขอทานคนนั้นคงไม่รู้หรอกว่า คำขวัญวันเด็กเมื่อวานนี้ มีข้อความว่าอย่างไรหรอกนะครับ.

##########

วารสารข่าวทหารอากาศ
สิงหาคม ๒๕๕๑
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่