นิยายแฟนตาซีเรื่อง: แฟน (ซาน) ต้า. ตอนที่๑

กระทู้สนทนา
‘เอลิซา’ หญิงสาวผู้มีผมสีแดงยาวสลวยทอประกายอบอุ่นภายใต้แสงไฟประดับ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ขัดเงาที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ เอลิซามีอายุราว 18 ปี ดวงตาสีเขียวสดใสของเธอแฝงด้วยความกระตือรือร้นทั้งอ่อนโยนในที เธอสวมเสื้อกันหนาวไหมพรมสีครีมอ่อนที่มีลวดลายกวางเรนเดียร์และเกล็ดหิมะ สวมผ้าพันคอสีแดงสดกับถุงมือขนแกะ นั่งจิบช็อกโกแลตร้อนในถ้วยเซรามิกลายดอกไม้ กวาดสายตาสำรวจสถานที่อันไม่คุ้นเคยไปด้วย

ร้านขนมกระท่อมไม้สไตล์ยุโรปดั้งเดิมนี้มีหลังคามุงด้วยกระเบื้อง หน้าต่างกระจกใสถูกตกแต่งด้วยไฟคริสต์มาสที่ส่องประกายระยิบระยับหลากสี ทั้งร้านอบอวลด้วยกลิ่นหอมของขนมอบใหม่ มีชั้นวางขนมที่ถูกจัดเรียงอย่างประณีต เต็มไปด้วยคุกกี้รูปร่างต้นคริสต์มาสและซานตาคลอส เคาน์เตอร์ไม้ประดับด้วยพวงมาลัยสนและโบว์สีแดง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นจากแสงไฟสีเหลืองนวลและเสียงเพลงคริสต์มาสคลอเบา ๆ

นอกจากเอลิซาแล้วที่นี่ยังมีลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวอีกสองสามฅน ต่างนั่งดื่มกินกันด้วยความสงบอบอวลสุข
 
‘เอเวอร์ฟรอสต์โกรฟ’  เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนแต่มากด้วยสีสัน เกือบทุกบ้านตกแต่งด้วยไฟประดับหลากสีรวมถึงตุ๊กตาซานตาคลอสตัวเล็ก ๆ บางบ้านมีหุ่นหิมะตั้งยิ้มอยู่หน้าประตู กลางหมู่บ้านมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ประดับด้วยไฟและของตกแต่งระยิบระยับ นักท่องเที่ยวเดินชมตลาดคริสต์มาสเล็ก ๆ ที่ตั้งเรียงราย มีของที่ระลึก เช่น ถุงเท้าถักมือ เทียนหอม และช็อกโกแลตโฮมเมดวางขาย เสียงหัวเราะและบทสนทนาเป็นกันเองผสมกับเสียงระฆังจากโบสถ์สร้างบรรยากาศอบอุ่นรื่นเริง
 
ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน โทบี เด็กชายวัยเก้าขวบผู้มีผมสีทองดวงตาสีฟ้าอยู่ในเสื้อโค้ตสั้นมีรูปซานตาคลอสตรงปก สวมหมวกไหมพรมและกางเกงยีนส์ โทบีกำลังนั่งอยู่กับโต๊ะในห้องแคบ ๆ ใต้หลังคาของเขา แสงไฟอบอุ่นจากหน้าต่างส่องออกสู่ความมืดด้านนอก ห้องใต้หลังคาอันเป็นห้องนอนของโทบีได้รับการตกแต่งเพื่อรองรับเทศกาลสำคัญนี้ด้วยเช่นกัน

เข็มนาฬิกาข้างฝาบอกเวลา 20:35 เด็กชายกำลังจดปากกาบนกระดาษ เขาแสดงท่าทีตั้งอกตั้งใจขณะเขียนข้อความ รอยหยักยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้า
'ถึงซานตาคลอสที่รัก…'

เด็กชายเขียนคำอธิษฐานลงไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เขาไม่ได้ขอของเล่นแพง ๆ หรืออุปกรณ์ล้ำสมัยอย่างที่เด็กฅนอื่นอาจจะขอ
เมื่อเขียนเสร็จเด็กชายจึงพับจดหมายอย่างประณีต จดหมายถึงซานตาไม่ต้องใส่ซองหรือจ่าหน้าแต่อย่างใด เพียงแต่มันต้องส่งผ่านตู้ไปรษณีย์พิเศษเท่านั้น

เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วโทบีจึงลงมายังห้องนั่งเล่นที่มีกลิ่นหอมของเตาผิง ทุกฅนในบ้าน ทั้งแม่และพ่อเลี้ยง รวมถึงน้องสองฅนที่เกิดจากพ่อเลี้ยงของเขารวมตัวกันอยู่ ไม่มีใครสนใจเมื่อเด็กชายเดินเลี่ยงเข้าห้องครัว ไม่ต่างจากโทบี เขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจใครเช่นกัน เด็กชายปีนลอดหน้าต่างห้องครัวออกไป เขาไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อไม่อยากตอบคำถามของทุกฅนเรื่องการออกจากบ้านเขาก็ต้องใช้วิธีนี้ เมื่อหลบเลี่ยงออกมาได้แล้วเด็กชายก็มุ่งหน้าไปยังตู้ไปรษณีย์พิเศษตู้นั้น

ตู้ไปรษณีย์สีแดงสดใสตั้งอยู่ลึกเข้าไปในจัตุรัสเล็ก ๆ ของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่ตู้ไปรษณีย์ธรรมดา แต่มันถูกเชื่อหรือได้รับการเล่าขานมาว่า เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับดินแดนของซานตา ตำนานของพวกเขากล่าวว่า จดหมายทุกฉบับที่ถูกหย่อนลงในตู้จะถูกส่งตรงไปยังมือของซานตาคลอสผ่านเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์

เด็กชายยืนชะโงกหน้าหันมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น การส่งจดหมายถึงซานตาเป็นความลับสูงสุด จะให้มีผู้ใดรู้เห็นมิได้ ไม่เช่นนั้นจดหมายของพวกเขาจะไม่มีวันถึงมือซานตาคลอส ตำนานเล่าขานมาเช่นนั้น

เด็กชายรู้ว่าในช่วงเทศกาลเช่นนี้เป็นการยากมากที่จะส่งจดหมายได้โดยสะดวก แม้จะไม่มีใครสนใจตู้ไปรษณีย์นี้มากนัก เพราะทุกฅนเชื่อว่า ตำนานที่เล่าขานเป็นแค่เรื่องแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของหมู่บ้าน แต่ในช่วงเทศกาลแบบนี้ อาจมีนักท่องเที่ยวหรือใครสักฅนที่อยากเข้ามายืนชมตู้ไปรษณีย์นี้ในเวลาไหนก็ได้ โทบีจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และโชคดีที่คืนนี้มันดูปลอดโปร่งมาก

แต่ขณะที่เด็กชายกำลังสอดจดหมายเข้าไปในช่องส่งจดหมายนั้นเอง เสียงฝีเท้าของใครฅนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“เธอกำลังส่งจดหมายถึงซานตาเหรอ” เสียงทักทายดังขึ้นทันที

เด็กชายหันขวับไปพบหญิงสาวยืนอยู่ หญิงสาวผู้มีผมสีแดงดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยความสดใส

“ใช่ แต่จดหมายของผมจะไม่ถึงมือซานตาแล้ว” เด็กชายโพล่งขึ้นด้วยเสียงเจือความไม่พอใจ

“ทำไมล่ะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“การส่งจดหมายต้องเป็นความลับเท่านั้น คุณจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นบ้างก็ได้นี่นา” เด็กชายกล่าวเชิงตำหนิ

“ฉันขอโทษ คือ ฉันรู้แต่ว่านี่คือตู้ไปรษณีย์สำหรับส่งจดหมายถึงซานตา แต่ไม่รู้เรื่องธรรมเนียมปฏิบัติ ฉัน เอ้อ ฉันออกมานั่งกินขนมในร้านตรงมุมถนน แล้วอยากเห็นตู้ไปรษณีย์อันเป็นตำนานเลยเดินมาดู ฉันเป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาถึงหมู่บ้านนี้เลยไม่รู้อะไรมากนัก”

“ช่างมันเถอะ” เด็กชายตัดบทตอบ หันมองตู้ไปรษณีย์ที่มีจดหมายซึ่งกลายเป็นสิ่งไร้ค่าของเขาอยู่ในนั้น ก่อนหันกลับมาหาหญิงสาวอีกครั้ง

“คุณเชื่อเรื่องซานตาไหม”

หญิงสาวมองหน้าเด็กชาย แววตาของเขาแสดงความเชื่อมั่นจนเธอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะหากตอบว่าเธอมองเรื่องนี้เป็นแค่สีสันในการมาพักผ่อนที่นี่ อาจทำให้เด็กชายฅนนี้เกิดความรู้สึกไม่ดีนัก เธอเพิ่งทำลายความตั้งใจในการส่งจดหมายของเขาไปแล้วนี่นา

“แน่นอนคุณไม่เชื่อเรื่องนี้” เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงอ้ำอึ้งเด็กชายจึงเอ่ยออกมาเสียเอง

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวตอบแบบพยายามหาทางเลี่ยง

“ไม่เป็นไรหรอก ใคร ๆ ก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น” เด็กชายเอ่ยขึ้นอีก

“เธอเชื่อว่าซานตามีจริงใช่ไหม” หญิงสาวถามเพื่อแก้ไขสถานการณ์

“ใช่...ผมเชื่อว่าซานตามีจริง” เด็กชายตอบด้วยเสียงหนักแน่น “ที่จริงผมยิ่งกว่าเชื่อ ผมเคยเห็นซานตาด้วยซ้ำ”

“จริงเหรอ เล่าให้ฉันฟังบ้างสิ” หญิงสาวถามด้วยท่าทีสนใจ เด็กชายมีท่าทีผ่อนคลายขึ้น เขาเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วกล่าวออกมา

“ในฤดูหนาวปีที่ผมยังเด็กกว่านี้ ผมอธิษฐานกับดวงดาวว่าขอให้ผมได้เจอซานตา คืนหนึ่งผมแอบออกมาหน้าบ้านแล้วมองหา ผมรู้ว่ามันเหลือเชื่อ แต่ผมเห็นซานตาจริง ๆ เขานั่งบนเลื่อนที่ลากโดยกวางเรนเดียร์บนท้องฟ้า ตรงที่ผมเห็นอาจจะไกลไปหน่อย แต่ผมยืนยันได้ว่านั่นเป็นซานตาจริง ๆ” เด็กชายเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย

หญิงสาวยิ้มบาง ๆ พลางคิดในใจว่าคำพูดของเด็กฅนนี้น่าสนใจ มันน่าสนใจ แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าคำพูดของเขาจะเป็นจริงแค่ไหน
“มาอยู่นี่เอง” เสียงหนึ่งดังมา ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งวัยเดียวกับหญิงสาวในเสื้อโค้ตก้าวเข้ามา

“ขอโทษนะเบนที่มาโดยไม่บอก ฉันไม่ได้ตั้งใจแค่นึกอยากมากะทันหัน” หญิงสาวตอบ

“นั่นสิ บอกว่ามากินขนม พอตามมาก็ไม่เจอเสียแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดีนะที่เดินเดาสุ่มมาแล้วยังได้เจอ”

“ผมต้องกลับบ้านแล้ว” เมื่อรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินเด็กชายจึงเอ่ยขึ้น

“เพื่อนใหม่เหรอ” ชายหนุ่มหรือเบนถามขึ้น

“เพื่อนใหม่ ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ” หญิงสาวหันไปถามเด็กชายกับรอยยิ้มสดใส

“โทบีครับ” เด็กชายตอบเรียบ ๆ

“ฉันชื่อ เอลิซา ส่วนนี่คือเบน” เอลิซาแนะนำตัว

“ครับ ผมคิดว่าผมต้องกลับจริง ๆ แล้ว” โทบีบอกอีกครั้ง

“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ” เอลิซาตอบ โทบีกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วเดินจากไป
 
อีกมุมหนึ่งของโลก...
ในดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและแสงเหนือระยิบระยับ นครเวทมนตร์ที่เรียกกันว่า ‘คริสต์เบิร์ก’  กำลังคึกคัก ซานตาคลอสซึ่งเป็นชายอ้วนวัยหกสิบห้าปีผู้มีบุคลิกร่าเริง มีผมและเครายาวสีขาวโพลนเหมือนหิมะ เป็นซานตาคลอสในแบบที่เราคิดว่าควรจะเป็น เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานกว้างใหญ่เต็มไปด้วยจดหมายกองพะเนิน

“อีกปีที่วุ่นวายสินะ” ซานตาพึมพำ จดหมายในกองลอยเข้ามาหาเขาเป็นลำดับ ซานตารับมันมาอ่านทีละฉบับเพื่อตรวจสอบเนื้อความ
และไม่ว่าอย่างไร ในที่สุดจดหมายฉบับหนึ่งจากหมู่บ้านเล็ก ๆ จากหุบเขาหิมะก็ลอยเข้ามาถึงซานตาจนได้ เขามองแผ่นจดหมายที่มีแสงเรืองออกมาด้วยความสนใจ เมื่อคลี่ออกอ่านจึงได้รู้ว่าจดหมายฉบับนี้จะไม่ถึงมือของเขาเลย ถ้าไม่มีความตั้งใจอันแรงกล้าของเด็กชาย ดังนั้นเขาจึงอ่านข้อความทั้งหมดด้วยความตั้งใจกับใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย

“เด็กฅนนี้...” ซานตาพึมพำก่อนจะแนบจดหมายฉบับนั้นใส่เข้าไปในเสื้อโค้ตสีแดงของเขา ซานตายังคงทำท่าครุ่นคิดขณะลงมือตรวจจดหมายต่อ

ซานตาส่งจดหมายที่ตรวจแล้วไปยังเอลฟ์ผู้ช่วยซึ่งมีหลายฅน พวกเขาทำงานกันเป็นทีม ต่างมีหน้าที่จัดทำรายชื่อและสิ่งของต้องการเพื่อส่งต่อไปยังเอลฟ์แห่งแสง ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมผู้รับผิดชอบในส่วนของการผลิตของขวัญอีกที

สำหรับจดหมายของเด็กชายที่ถูกซานตาเก็บไว้นั้น เป็นเพราะซานตาคิดว่าเขาควรที่จะจัดการเรื่องนี้เอง คำขอของเด็กชายเป็นอะไรมากกว่าของขวัญที่เหล่าเอลฟ์จะผลิตให้ได้ และสิ่งสำคัญที่สุดนั้น ซานตาคลอสรู้ตัวว่า พวกเขาละเลยหมู่บ้านแห่งนี้มานานเกินไปแล้ว มันถูกละเลยตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามารับตำแหน่งซานตาคลอสเสียอีก ตอนนี้โนเอลหรือซานตาคลอสเพียงแต่คิดว่า เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
 
วันรุ่งขึ้นเด็กชายอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อพบว่าเอลิซามาดักรอพบเขาอยู่ตรงมุมถนนติดกับโรงเรียนที่กำลังปิดเทอมอยู่

“ฉันมีขนมและหุ่นยนต์มาให้เธอแทนคำขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน คือ… ฉันไม่รู้ว่าเธออยากได้อะไรจากซานตา แต่คิดว่าเด็กผู้ชายอย่างเธอน่าจะชอบนักรบรัตติกาลเหมือนฅนอื่น” ว่าพลางส่งกล่องของขวัญให้กับเขา โทบีเงยหน้ามอง เขารับกล่องของขวัญมา เอ่ยคำขอบคุณเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ

“ผมไม่ได้ต้องการของเล่นหรืออะไรจากซานตาทั้งนั้น” เด็กชายว่าพลางก้าวเดิน หญิงสาวก้าวตามพลางถามขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นเธอขออะไรจากซานตา”

“ผมขอให้ซานตาช่วยให้ทุกฅนได้เห็นเขาเหมือนที่ผมได้เห็น ผมขอให้ซานตาทำให้ทุกฅนศรัทธาเขาเหมือนที่ผมศรัทธา”
หญิงสาวก้าวมาเดินเคียงข้างแล้วกล่าวขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นคำขอของเธอเป็นจริงแล้ว” พวกเขาเดินมาถึงม้านั่งริมทาง หญิงสาวยังคงกล่าวต่อ “ฉันเป็นฅนหนึ่งที่เชื่อเธอ” ว่าพลางหันมองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

เด็กชายหยุดยืน หันมองหน้าหญิงสาวที่หยุดเดินตามไปด้วย

“ผมรู้ว่าคุณจะไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง” ว่าแล้วนั่งลงบนม้านั่งริมทางนั้น

“อือ ก็อาจจะเป็นดังนั้น” หญิงสาวตอบรับขณะนั่งลงตามเขา เด็กชายเอ่ยขึ้นอีก

“ทุกฅนบอกว่าผมโตพอที่จะเข้าใจได้แล้วว่าซานตาไม่มีจริง” เด็กชายกล่าวทั้งเหม่อมองท้องฟ้าสลัวออกไป

“ในขณะที่ผมอยากให้แม่และทุกฅนในหมู่บ้านเชื่อเหมือนที่ผมเชื่อ” เขากล่าวขึ้นอีก “ผมอยากให้ทุกฅนยอมรับว่าซานตามีจริง แม้หมู่บ้านนี้จะเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีตำนานเกี่ยวกับซานตาคลอสเป็นจุดขาย แต่ผมรู้ว่าจะมีสักกี่ฅนที่ศรัทธาและเชื่อว่าซานตาคลอสมีจริง ทุกฅนคิดแต่ว่า ตำนานต่าง ๆ เกี่ยวกับเขา ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มสีสันและรายได้ทางธุรกิจให้หมู่บ้านของเราเท่านั้น มีแต่ผมที่กล้ายืนยันได้ว่าซานตามีตัวตนจริง ๆ”

เอลิซาฟังเด็กชายพูดแล้วทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น

“ถ้าเช่นนั้น ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสักระยะ เผื่อได้เจอซานตาจะได้ช่วยเธอยืนยันดีไหม ฉันอยากพิสูจน์เช่นกันว่าซานตามีจริงไหม”

“คุณไม่มีอะไรต้องทำเหรอ” เด็กชายถามขึ้น

“มี” หญิงสาวตอบ “แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงเทศกาลนี่นา อ้อ ฉันยังต้องเขียนหนังสือเพื่อหารายได้สำหรับการเรียนด้วย แต่นั่นแหละ เธอก็รู้ว่าฉันสามารถสร้างสรรค์ผลงานผ่านออนไลน์ที่ไหนก็ได้ ฉันมาที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบสำหรับสร้างผลงาน และตอนนี้ฉันพบว่าเธอเป็นแหล่งข้อมูลที่วิเศษมาก ฉันจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับซานตา”

“อย่างนั้นก็ดีครับ” เด็กชายตอบด้วยรอยยิ้ม

“ว่าแต่” เด็กสาวว่าพลางชี้นิ้วขึ้นแล้วขยับเล็กน้อยขณะจ้องหน้า “เธอต้องเป็นฅนพาฉันเที่ยวชมพร้อมบอกเล่าข้อมูลของหมู่บ้านนี้ที่เกี่ยวกับซานตาให้ฉันฟัน ตกลงไหม”

“ได้สิครับ” เด็กชายตอบด้วยความมั่นใจ เขายิ้มออกมาอีกครั้ง

หญิงสาวหันมองหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศวันคริสต์มาสท่ามกลางความหนาวเย็นใต้ท้องฟ้าสลัวด้วยความพ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่