ภาพเปลวไฟ Free License จาก
https://pixabay.com/en/fire-flame-hot-burn-yellow-brand-851630/
ก่อนอื่น ลองไปดูคลิปวีดีโอสั้นๆ ความยาวประมาณ 11:12 นาที ที่ผลิตโดยศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "
Hate Speech เบื้องต้นสำหรับคนไทย" เผยแพร่เมื่อ Feb 19, 2014 เขียนบทและอำนวยการสร้างโดย
ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Hate Speech (ประทุษวาจา หรือถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง) คืออะไร?
Hate Speech หมายถึง การใช้คำพูด หรือการแสดงออกทางความหมายใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อโจมตีบุคคล หรือกลุ่มบุคคล โดยมุ่งไปที่ความเป็นอัตลักษณ์ของเขาเหล่านั้น ซึ่งอาจจะติดตัวมาตั้งแต่เดิม หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เพศ ถิ่นกำเนิด ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ความพิการ สีผิว ถิ่นอาศัย อุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ หรือรสนิยมทางเพศ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้ หรือการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่กฎหมายคุ้มครองไว้ ซึ่งการแสดงออกนั้นอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้ โดยในบางประเทศ ผู้เสียหายจากประทุษวาจาสามารถร้องขอการเยียวยาตามกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา หรือทั้งสองอย่างได้
จาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Hate_speech
ลองดูภาพวาดการ์ตูนล้อเลียนเสียดสีสังคมของ P.Ach’s ที่พูดถึง “
ศิลปะแห่งการสร้างความแตกแยก”
ที่โพสเอาไว้ตั้งแต่ November 20, 2011 โดยเนื้อหาแบบแสบๆ คันๆ แต่ใช้ได้ แทบจะทุกยุค ทุกสมัย
ซึ่งกระบวนการของการสร้างความร้าวฉาน ความแตกแยกนั้น เริ่มจาก
ชี้ให้เห็นว่า “เขาไม่เหมือนกับเรา”
เป็นความจริงที่ว่า คนเราทุกคน เกิดมาย่อมไม่เหมือนกัน มีจุดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา สีผิว ศาสนา ความเชื่อ ถิ่นที่อยู่ หรืออะไรก็ตาม ถ้าเราหยิบยกเอาประเด็นนั้นมาเป็นความแตกต่าง ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ซึ่งประเด็นนี้ ถือว่าสำคัญมาก ในการที่จะทำให้คนสองคน สองกลุ่ม สองเผ่าพันธ์ สองชนชาติ หรือไม่ว่าจะกี่ชนชาติ กี่กลุ่ม ใดๆ ก็ตาม เล็งเห็นว่า “เฮ้ย เราไม่เหมือนกันกับเขานะ” หรือ “เฮ้ย นายน่ะ ไม่เหมือนพวกเรานะ”
ถ้าสามารถสร้าง Awareness ในประเด็นความแตกต่าง ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็ถือว่า จุดไฟติดละ เริ่มเติมเชื้อต่อไปได้เลย
สร้างปมด้อย
คนเรา ไม่ว่าใครก็ตาม มักจะไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่าง หรือด้อยกว่าอีกฝ่ายเป็นแน่นอน ดังนั้น ถ้าสามารถเติมเชื้อไฟ สุมความต้อยต่ำของกลุ่มของเราให้รับรู้แล้ว ก็จะทำให้กลุ่มนั้นๆ รู้สึกเหมือนถูกเอารัด เอาเปรียบ เหมือนโดนเหยียบจมดินอยู่ มีความแค้น ความเกลียดชัง สุมทรวง พร้อมจะปะทุ ระเบิด ออกมาได้ทุกเมื่อ
ขั้นตอนนี้ จะทำให้เกิดความรู้สึกเห็นอก เห็นใจ และสร้างความสามัคคี เป็นปึกแผ่นกันในกลุ่มของตัวเอง และในขณะเดียวกัน ก็สร้างความรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายได้ด้วย ถือว่าเป็นการเพิ่มรอยร้าวได้อย่างดีเยี่ยม
สุมไฟ
ขั้นตอนนี้ เป็นการเลือกป้อนข่าวแต่ ด้านได้เปรียบของอีกฝ่าย ซึ่งวิธีที่ดีก็คือ อย่าโกหกทั้งหมด แต่ใช้วิธี “เล่าความจริงไม่หมด” จะได้ผลดีที่สุด เพราะมนุษย์จะเชื่อเรื่องโกหกทันทีที่มีเรื่องจริงปะปนอยู่นิดหน่อย โดยขั้นตอนนี้ จะมุ่งสร้างความรู้สึกว่า ถ้าไม่ออกมาต่อสู้ล่ะก็ ฝ่ายเราจะพ่ายแพ้
เล่นบทคนดี (กับพวกตัวเอง)
ถึงตอนนี้ ทั้งสองฝ่าย ก็รอแค่ ท่านผู้นำ เปิดเกมนำทางเท่านั้นล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ร้องไห้ ก้มกราบ หรือบาดเจ็บล้มป่วย …
ผู้นำทั้งหลาย ก็จะต้องเล่นซีนอารมณ์ให้ฝ่ายตัวเอง “อิน” แล้วก็พร้อมที่จะระเบิดมันออกมา ก็เท่านั้น
ดังนั้น ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ขอให้มีคำนี้สั้นๆ คำเดียว แต่สองพยางค์ คำนั้นก็คือ “
สติ” ใช้สติ ไตร่ตรอง ทบทวน คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะ มองภาพรวมให้ออก เหตุการณ์นั้นๆ ใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์ และผลของการกระทำนั้นๆ จะเป็นอย่างไร เราจะเป็นยังไง ผลพวงของเหตุการณ์นั้นๆ จะเป็นยังไง ตัวเรา ครอบครัว พ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก เพื่อนๆ หน้าที่การงาน ภาระต่างๆ จะเป็นยังไง หากเราเกิดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นๆ บาดเจ็บ พิการ ล้มตาย แต่ถ้าคิดแล้วว่า “ได้” ก็ทำไป เพราะนั่นคือชีวิตของคุณ โตแล้ว คิดตัดสินใจเองได้ แต่ถ้ายัง “ลังเล” ก็ขอให้หยุดคิดสักนิด ….
เสริมส่งท้าย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
จากพระสูตร "โกสัมพิยสูตร"
ใน พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (๑๒/๔๑๑/๕๔๐)
...ฯลฯ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอ เกิด
ขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้นพวกเธอมิได้เข้าไปตั้ง
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรมในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า
และลับหลัง ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้น พวกเธอรู้อะไร เห็นอะไร จึงเกิดขัดใจ
ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่
ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน ดูกรโมฆ
บุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละ จักมีเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่เธอทั้งหลายตลอด
กาลนาน.
รู้จักกับ Hate Speech (ประทุษวาจา หรือถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง)
ภาพเปลวไฟ Free License จาก https://pixabay.com/en/fire-flame-hot-burn-yellow-brand-851630/
ก่อนอื่น ลองไปดูคลิปวีดีโอสั้นๆ ความยาวประมาณ 11:12 นาที ที่ผลิตโดยศูนย์ศึกษานโยบายสื่อ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "Hate Speech เบื้องต้นสำหรับคนไทย" เผยแพร่เมื่อ Feb 19, 2014 เขียนบทและอำนวยการสร้างโดย
ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Hate Speech (ประทุษวาจา หรือถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง) คืออะไร?
Hate Speech หมายถึง การใช้คำพูด หรือการแสดงออกทางความหมายใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อโจมตีบุคคล หรือกลุ่มบุคคล โดยมุ่งไปที่ความเป็นอัตลักษณ์ของเขาเหล่านั้น ซึ่งอาจจะติดตัวมาตั้งแต่เดิม หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เพศ ถิ่นกำเนิด ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา ความพิการ สีผิว ถิ่นอาศัย อุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ หรือรสนิยมทางเพศ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้ หรือการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่กฎหมายคุ้มครองไว้ ซึ่งการแสดงออกนั้นอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้ โดยในบางประเทศ ผู้เสียหายจากประทุษวาจาสามารถร้องขอการเยียวยาตามกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา หรือทั้งสองอย่างได้
จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Hate_speech
ลองดูภาพวาดการ์ตูนล้อเลียนเสียดสีสังคมของ P.Ach’s ที่พูดถึง “ศิลปะแห่งการสร้างความแตกแยก”
ที่โพสเอาไว้ตั้งแต่ November 20, 2011 โดยเนื้อหาแบบแสบๆ คันๆ แต่ใช้ได้ แทบจะทุกยุค ทุกสมัย
ซึ่งกระบวนการของการสร้างความร้าวฉาน ความแตกแยกนั้น เริ่มจาก
ชี้ให้เห็นว่า “เขาไม่เหมือนกับเรา”
เป็นความจริงที่ว่า คนเราทุกคน เกิดมาย่อมไม่เหมือนกัน มีจุดที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าตา สีผิว ศาสนา ความเชื่อ ถิ่นที่อยู่ หรืออะไรก็ตาม ถ้าเราหยิบยกเอาประเด็นนั้นมาเป็นความแตกต่าง ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ซึ่งประเด็นนี้ ถือว่าสำคัญมาก ในการที่จะทำให้คนสองคน สองกลุ่ม สองเผ่าพันธ์ สองชนชาติ หรือไม่ว่าจะกี่ชนชาติ กี่กลุ่ม ใดๆ ก็ตาม เล็งเห็นว่า “เฮ้ย เราไม่เหมือนกันกับเขานะ” หรือ “เฮ้ย นายน่ะ ไม่เหมือนพวกเรานะ”
ถ้าสามารถสร้าง Awareness ในประเด็นความแตกต่าง ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็ถือว่า จุดไฟติดละ เริ่มเติมเชื้อต่อไปได้เลย
สร้างปมด้อย
คนเรา ไม่ว่าใครก็ตาม มักจะไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่าง หรือด้อยกว่าอีกฝ่ายเป็นแน่นอน ดังนั้น ถ้าสามารถเติมเชื้อไฟ สุมความต้อยต่ำของกลุ่มของเราให้รับรู้แล้ว ก็จะทำให้กลุ่มนั้นๆ รู้สึกเหมือนถูกเอารัด เอาเปรียบ เหมือนโดนเหยียบจมดินอยู่ มีความแค้น ความเกลียดชัง สุมทรวง พร้อมจะปะทุ ระเบิด ออกมาได้ทุกเมื่อ
ขั้นตอนนี้ จะทำให้เกิดความรู้สึกเห็นอก เห็นใจ และสร้างความสามัคคี เป็นปึกแผ่นกันในกลุ่มของตัวเอง และในขณะเดียวกัน ก็สร้างความรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายได้ด้วย ถือว่าเป็นการเพิ่มรอยร้าวได้อย่างดีเยี่ยม
สุมไฟ
ขั้นตอนนี้ เป็นการเลือกป้อนข่าวแต่ ด้านได้เปรียบของอีกฝ่าย ซึ่งวิธีที่ดีก็คือ อย่าโกหกทั้งหมด แต่ใช้วิธี “เล่าความจริงไม่หมด” จะได้ผลดีที่สุด เพราะมนุษย์จะเชื่อเรื่องโกหกทันทีที่มีเรื่องจริงปะปนอยู่นิดหน่อย โดยขั้นตอนนี้ จะมุ่งสร้างความรู้สึกว่า ถ้าไม่ออกมาต่อสู้ล่ะก็ ฝ่ายเราจะพ่ายแพ้
เล่นบทคนดี (กับพวกตัวเอง)
ถึงตอนนี้ ทั้งสองฝ่าย ก็รอแค่ ท่านผู้นำ เปิดเกมนำทางเท่านั้นล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ร้องไห้ ก้มกราบ หรือบาดเจ็บล้มป่วย …
ผู้นำทั้งหลาย ก็จะต้องเล่นซีนอารมณ์ให้ฝ่ายตัวเอง “อิน” แล้วก็พร้อมที่จะระเบิดมันออกมา ก็เท่านั้น
ดังนั้น ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ขอให้มีคำนี้สั้นๆ คำเดียว แต่สองพยางค์ คำนั้นก็คือ “สติ” ใช้สติ ไตร่ตรอง ทบทวน คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะ มองภาพรวมให้ออก เหตุการณ์นั้นๆ ใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์ และผลของการกระทำนั้นๆ จะเป็นอย่างไร เราจะเป็นยังไง ผลพวงของเหตุการณ์นั้นๆ จะเป็นยังไง ตัวเรา ครอบครัว พ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก เพื่อนๆ หน้าที่การงาน ภาระต่างๆ จะเป็นยังไง หากเราเกิดได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นๆ บาดเจ็บ พิการ ล้มตาย แต่ถ้าคิดแล้วว่า “ได้” ก็ทำไป เพราะนั่นคือชีวิตของคุณ โตแล้ว คิดตัดสินใจเองได้ แต่ถ้ายัง “ลังเล” ก็ขอให้หยุดคิดสักนิด ….
เสริมส่งท้าย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
จากพระสูตร "โกสัมพิยสูตร"
ใน พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (๑๒/๔๑๑/๕๔๐)
...ฯลฯ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เช่นนี้ก็เป็นอันว่า สมัยใด พวกเธอ เกิด
ขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ สมัยนั้นพวกเธอมิได้เข้าไปตั้ง
เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรมในเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า
และลับหลัง ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนั้น พวกเธอรู้อะไร เห็นอะไร จึงเกิดขัดใจ
ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ไม่ยังกันและกันให้เข้าใจ ไม่
ปรารถนาความเข้าใจกัน ไม่ยังกันและกันให้ปรองดอง ไม่ปรารถนาความปรองดองกัน ดูกรโมฆ
บุรุษทั้งหลาย ข้อนั้นนั่นแหละ จักมีเพื่อไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่เธอทั้งหลายตลอด
กาลนาน.