มาร์กซิสต์กับจิตวิทยา



Marx กับ Engels ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับระบบทุนนิยม โดยพวกเขาได้มุ่งเน้นไปในมุมมองความสัมพันธ์ที่มีต่อพวกเราเอง คนอื่นๆและสังคมโดยรวมในโครงสร้างทุนนิยม แล้วการปฎิวัติสังคมนิยมจะมีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์นี้ทั้งหมดหรือไม่? หรือพวกเขามองไกลมากไปกว่านั้น? แล้วมุมมองบางอย่างจากชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคนจะไม่ส่งผลกระทบต่อทางด้านสังคมหรือ แล้วแบบนี้พวกเราจะต้องมาทำความเข้าใจในประเด็นบางอย่างนอกเหนือไปจากมาร์กซิสต์และบางอย่างที่นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมนิยมหรือเปล่า? นี่ถือเป็นความขัดแย้งหลักระหว่างมาร์กซิสต์กับจิตวิทยา

แนวคิดของลัทธิมาร์กจะมุ่งเน้นไปในเรื่องการวิเคราะห์ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่มีต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมในอดีตที่ผ่านมา ในส่วนของจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นจิตวิเคราะห์ จิตบำบัด การแพทย์ พันธุศาสตร์ และสาขาอื่นๆส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นพินิจพิเคราะห์ถึงปัจเจกบุคคล (หรือปัจเจกบุคคลส่วนหนึ่ง) ก็จะถูกแยกออกจากสภาพแวดล้อมทางสังคม ข้อสมมุติฐานก็คือว่า ปัจเจกบุคคล (หรือปัจเจกบุคคลส่วนหนึ่ง) สามารถดำรงอยู่รอดตามหลักการชีววิทยาหรือมีคุณลักษณะทางด้านจิตใจที่ถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไปจากสังคมโดยรวม ด้วยเหตุนี้คุณลักษณะต่างๆเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในระดับปัจเจกบุคคลหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น

การแยกตัวออกจากสังคมของแต่ละคนก็ได้แสดงให้เห็นว่า แต่ละคนมีแนวคิดไปในทางทุนนิยม ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ก่อนหน้านี้เงื่อนไขปัจจัยของแต่ละคนได้หลุดพ้นออกจากระบบภาระที่ต้องรับผิดชอบ และหากแต่ละคนสามารถกำหนดชะตาชีวิตได้ พวกเขาก็สามารถกล่าวโทษได้ว่า ตัวเองเลือกเส้นทางได้แย่ จึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนดำเนินชีวิตไปตามมีตามเกิด

วิทยาศาสตร์มักจะบอกกับพวกเราว่า สังคมกับบุคคลมีการขับเคลื่อนปฎิสัมพันธ์ระหว่างกัน หากคนนั้นมีแนวโน้มที่จะแปลกแยกออกมา องค์ประกอบกับสภาพแวดล้อมทางสังคมก็จะค่อยๆแยกพันธุกรรมออกมาและทำให้แนวคิดทุนนิยมค่อยๆเสื่อมลง

สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษก่อให้เกิดโรงมะเร็งชนิดต่างๆขึ้นมา จนถึงตอนนี้เหยื่อที่เป็นโรคมะเร็งก็มักจะกล่าวโทษตัวเองว่า เป็นเพราะเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้เองและโทษภาวะร่างกายหรือยีนของตัวเอง เช่นเดียวกัน สภาวะผิดปกติก็ทำให้ผู้คนเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางด้านจิตใจขึ้นมา ตราบใดที่ภาวะเจ็บป่วยทางด้านจิตใจมาจากการกล่าวโทษแบบผิดๆ เคมีในสมองเริ่มมีปัญหาหรือยีนมีจุดบกพร่องขึ้นมา การกล่าวโทษของผู้ป่วยเป็นการปกป้องระบบโดยทำให้มุ่งเน้นโฟกัสไปที่รายบุคคลว่ากำลังทำอะไรอยู่ แทนที่จะมาดูว่าระบบกำลังอะไรกับพวกเขา

ภาวะป่วยจิตก็ทำให้เกิดความผิดปกติทางความคิดได้ ในปี 1918  มีบทสรุปว่า ชาวอเมริกันมีภาวะป่วยจิตโดยมีการทำการวินิจฉัยโรคถึง 22 โรค กับอีก 21 ประเภท ซึ่งได้อ้างถึงรูปแบบของโรคที่นำไปสู่ความผิดปกติทางความคิด  เนื่องจากภาวะป่วยจิตแต่ละประเภทเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนออกไปกับพฤติกรรมที่มีลักษณะเป็นกบฏ กระบวนการต่างๆหลายอย่าง (ระบบการทำงานของประสาท) การตอบสนองทางด้านอารมณ์ไปจนถึงการแยกตัวกับภาวะที่ถูกถอดถอน กับอาการที่บ่งชี้ถึงความชอกช้ำนั้น ภาวะป่วยจิตใจในแต่ละประเภทก็นำไปใช้ในทางหลักเวชศาสตร์ทั้งผู้คนที่ต่อต้านอาการกับผู้คนที่ทุกข์ใจและคนที่ต้องการทำลายผลผลิตที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจุดบกพร่องจะมาจากร่างกายหรือภาวะจิตใจ ผลผลิตที่เกิดขึ้นอย่างน้อยก็ทำให้ตัวเองได้รับความเสื่อมเสียในการเข้าร่วมกับสังคมหรือไม่มากก็น้อย

ผู้คนที่มีภาวะป่วยจิตจึงจัดอยู่ในประเภทผู้ถูกกดขี่ เช่นเดียวกับการกดขี่รูปแบบอื่นๆ ภาวะป่วยจิตได้รับผลกระทบจากผู้คนทุกชนชั้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากรูปแบการกดขี่ภาระส่วนใหญ่จึงตกอยู่ที่ชนชั้นแรงงาน ภาวะป่วยจิตมีทั้งจากการใช้กฎหมาย การเยียวยารักษา สภาพสังคมและการแบ่งแยกชนชั้น ผู้คนจึงถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวในองค์กรหน่วยงานต่างๆ โดยมีการมอมยาให้กับผู้คนเพื่อสามารถชี้นำและไม่ให้ผู้คนกำหนดชาตะชีวิตที่เป็นอยู่  ผู้คนจึงต้องก้าวข้ามการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องตกงาน ยากไร้และจนถึงไร้บ้าน

การกดขี่ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากสำหรับระบบทุนนิยม จึงต้องทำให้ผู้ถูกกดขี่เปรียบเสมือนกับกลุ่มคนเล็กๆที่สามารถสั่งการได้และถูกควบคุมโดยคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่า โดยเฉพาะการกดขี่ที่ทำให้เกิดภาวะป่วยจิตก็สอดคล้องกับการใช้กำลังบังคับทั้งทางความคิด อารมณ์ความรู้สึกและการควบคุมพฤติกรรมในสังคม

จิตเวชก็ได้ทำการรับใช้ระบบทุนนิยมโดยทำการวินิจฉัยเบี่ยงเบนไม่ให้รู้ว่ามีภาวะเจ็บป่วยทางจิต ในช่วงปี 1950 รูปแบบภาวะผิดปกติทางจิตหลักๆแล้วก็จะเกิดขึ้นกับแม่บ้านหลายคน การจลาจลต่อต้านเหยียดสีผิวในช่วงปี 1960 ทาง DSM ได้อธิบายว่าเป็นรูปแบบภาวะผิดปกติทางจิตจากการเก็บกดทางอารมณ์จนนำไปสู่ความมุ่งร้าย ก้าวร้าวและเกิดอาการหลงผิดที่คิดว่าถูกรังแกข่มเหง ซึ่งแม่บ้านผิวขาวชานเมืองหลายคนจนถึงคนผิวสีที่คิดกบฏนั้น ทุกวันนี้ชาวอเมริกันผิวดำหลายคนก็ดูเหมือนจะเข้าข่าย “ภาวะผิดปกติทางจิต” มากกว่าชาวอเมริกันผิวขาวถึง 3 เท่าด้วยกัน

ทางด้านนักจิตเวชกับนักจิตวิทยาหลายคนเองก็ได้ทำการเยียวยารักษาโรคให้กับแรงงานทาสที่ทำการประท้วงกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยทางการเมือง พวกเขาได้ถูกจับขังรักษาอาการทางจิตกับผู้หญิงที่คิดกบฏและพยายามที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นพวกรักร่วมเพศ พวกเขาได้ตั้งค่ายเพื่อให้ผู้คนตายอย่างไม่เจ็บปวดทรมานและทำหมันกับคนที่มีภาวะผิดปกติ พวกเขาได้ทำการสอบถามและซ้อมทรมาน พวกเขาได้ใช้ยากับทหารเพื่อให้กระหายในการฆ่า พวกเขาได้ใช้ยากับผู้สูงอายุกับนักโทษเพื่อให้พวกเขาเงียบเรื่องนี้เอาไว้ และพวกเขาได้ใช้ยาเด็กที่คิดกบฏขึ้นมา

เนื่องจากครอบครัวหลายครอบครัวประสบกับภาวะวิกฤตขึ้นมา ทางด้านผู้ปกครองก็ไม่สามารถทำให้ลูกๆมีความต้องการทางด้านอารมณ์ได้ ในโรงเรียนก็มีส่วนทำให้เด็กเล็กกังวลใจขึ้นมาโดยกักขังหน่วงเหนี่ยวในห้องเล็กๆเป็นระยะเวลายาวนานจนทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้ เมื่อเด็กเล็กทำการประท้วงโดยแสดงออกมา ทางด้านครูอาจารย์ก็มักจะมองว่าเด็กพวกนี้มีภาวะป่วยจิตหรือไม่ก็ทางผู้ปกครองอบรมเลี้ยงดูลูกไม่ดีพอ

ทันทีที่เด็กเล็กถูกแยกตัวออกมา ทางด้านผู้ปกครองก็สามารถใช้ยากับลูกได้ ในปี 2013 มีเด็กเล็กชาวอเมริกันอายุน้อยกว่า 17 ปีซึ่งมีมากกว่า 8 ล้านคนได้ใช้ยาบำบัดจิต ซึ่งมีทั้งเด็กอายุ 5 ขวบมากกว่า 1 ล้านคนกับอีกครึ่งล้านที่มีอายุน้อยกว่านั้นรวมอยู่ด้วย

นักสังคมนิยมต่อต้านการกดขี่ พวกเราไม่ยอมรับต่อประเด็นที่ว่า ผู้หญิงควรที่จะเลี้ยงดูลูกด้วยเหตุผลที่เพราะว่า ผู้หญิงเป็นผู้ให้กำเนิดลูกจึงต้องเลี้ยงดู พวกเราไม่ยอมรับในประเด็นที่ว่า คนผิวดำเป็นคนที่น่าสงสารเนื่องจากพวกเขามีสติปัญญาน้อยกว่าคนอื่นๆ พวกเราเข้าใจดีว่าข้อโต้แย้งทางด้านชีววิทยาไม่ได้ใช้หลักคิดไปในทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาไม่ได้ใช้หลักคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่ใช้โฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ ในระบบทุนนิยมทำให้ผู้คนเกิดความสับสนระหว่างหลักคิดทางวิทยาศาสตร์กับไม่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ โดยนำความคิดเข้ามาแทนที่ที่ว่า สิ่งไหนจริงพร้อมกับทำให้เชื่อว่าเป็นความจริง ตัวอย่างเช่นหลักคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ได้อ้างว่า ภาวะป่วยจิตเกิดจากรากฐานทางด้านชีววิทยา

รูปแบบโครงสร้างภาวะป่วยจิตทางด้านชีววิทยาได้ลดสมรรถภาพทางด้านจิตใจไปจนถึงสมอง ซึ่งเรื่องนี้ได้หยิบยกเป็นกรณีศึกษาและทำการบำบัดรักษา (ตามแนวคิดของฟรอยส์ ซึ่งคิดว่าทำให้ลดสมรรถภาพทางด้านจิตใจไปจนถึงพันธุกรรม) แนวคิดวัตถุนิยมโดยธรรมชาติไม่ควรที่จะนำไปปะปนกับแนวคิดวัตถุนิยมของมาร์กซิสต์ ซึ่งมุมมองภาวะป่วยจิตทางสังคมกับสภาพแวดล้อมในอดีตนั้น ผู้คนมักจะคิดว่าสังคมติดเชื้อจากชนชั้นแรงงาน
ความจริงก็คือว่า เงื่อนไขปัจจัยทางด้านสังคมได้บ่มเพาะภาวะป่วยจิตขึ้นมา ซึ่งอุตสาหกรรมจิตวิทยาก็มักจะโน้มน้าวให้พวกเราเชื่อไปในทางใดทางหนึ่ง ในปี 1952 DSM ได้อธิบายว่า ภาวะป่วยจิตเกิดจากปฎิกิริยาต่อต้านเหตุการณ์ภายนอก สถานการณ์ต่างๆหรือเงื่อนไขปัจจัยทางด้านชีววิทยา การอธิบายในส่วนนี้ก็ได้ถูกลบออกไปในภายหลังต่อมา

ความล้มเหลวของ DSM ก็มาจากการระบุถึงสาเหตุของภาวะป่วยจิตที่ว่า เกิดจากภายในแต่ละคน (ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบผิดๆ พฤติกรรมต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือพันธุกรรม) และการบำบัดรักษาก็เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ประสบปัญหาดังกล่าว ไม่ได้ดูเงื่อนไขปัจจัยที่ว่า สาเหตุใดที่นำไปสู่ความทุกข์ โดยการบำบัดจะเน้นในเรื่องการใช้ยาและทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับยีนต์โดยเทียบกับโครงสร้างทางด้านชีววิทยา และทำการทดลองให้คนไข้ปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเองเสียใหม่ ทั้งอารมณ์ความรู้สึกกับพฤติกรรมที่เป็นศูนย์กลางปัญหาที่ทำให้คนไข้ล้มเหลวต่อการปรับเปลี่ยนในทางปฎิบัติ

มีบางคนยอมรับว่า เงื่อนไขปัจจัยที่เป็นผลร้ายอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็กวิตกกังวลและมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ขึ้นมา อย่างเช่นความวิตกกังวลกับความกดดัน แต่โรคร้ายอย่างภาวะโรคจิตก็มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านชีววิทยา ซึ่งนี่ถือเป็นการให้เหตุผลแบบผิดๆ

การรับรู้ของมนุษย์เป็นองค์ประกอบของสังคม แนวคิดต่างๆได้มีอิทธิพลต่อการครอบงำทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้คนคิดไปในทิศทางเดียวกัน คิดในสิ่งที่พวกเขาต้องการ อยากให้ผู้คนเชื่อคนแบบไหน อยากให้ผู้คนกลัวคนแบบไหน อยากให้ผู้คนกล่าวโทษใครและสิ่งไหนที่ยอมรับได้ สิ่งไหนที่ยอมรับไม่ได้ การรับรู้ที่ผิดๆก็เป็นองค์ประกอบของสังคมเช่นเดียวกัน ทางด้านนักจิตวิทยาหลายคน ผู้ให้คำปรึกษาทางด้านการโฆษณาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านการบริหารจัดการก็ได้ขายระบบต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้าน  (เหมือนกับเป็นระบบปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ) ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขความไม่ลงรอยกัน (จากการทำสงครามที่หลายฝ่ายเข้ามาแทรกแซง) ไม่ยอมรับต่อชีวิตที่เป็นอยู่ (คิดว่าการทำงานหนักจะได้รับผลตอบแทนที่ดีทุกๆครั้ง) และการข่มขู่ (จะทำงานหรือจะอดตาย) แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะยอมรับสิ่งเลวร้ายอย่างไม่เต็มใจ พวกเขาก็ไม่อยาก คนที่คิดกบฏบางคนก็เริ่มยอมรับความจริงมากขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆยังต่อต้านการแสดงออกถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางด้านร่างกายและจิตใจ ทั้งมีการเสพยาและคิดที่จะฆ่าตัวตาย บางคนก็หลีกหนีออกจากชีวิตความเป็นจริง

ความผิดปกติทางจิตเติบโตมากขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ เมื่อเจอกับความขัดแย้งระหว่างวิถีการดำรงชีวิตบนโลกกับวิถีการดำรงชีวิตอย่างที่ควรจะได้รับ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ไปได้ง่ายๆ เนื่องจากบางคนเริ่มมีความวิตกกังวลมากขึ้นและมีความหวาดระแวงมากขึ้น โลกไม่ได้สนใจว่าผู้คนจะเป็นยังไง ดังนั้นแล้วผู้คนมักจะไม่ยอมรับความเป็นจริงและซ่อนตัวเองอยู่ในโลกแห่งความฝันโดยไม่ให้เชื่อมโยงต่อสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พวกเราทุกคนก็มักจะบอกแบบนี้กับตัวเอง แต่ภาวะผิดปกติทางจิตได้ทำให้กระบวนการความสัมพันธ์เสียหาย ซึ่งเสียงที่อยู่ภายในใจมักจะสวนทางกับโลกภายนอก สัญญาณต่างๆที่เกิดขึ้นก็มักจะตีความไปในทางที่ผิดๆทั้งรูปร่างภายนอกของแต่ละคนและสิ่งต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน

ความผิดปกติทางจิตเบื้องต้นในทางสังคมนั้น ได้มีการตีความผิดๆโดยนักชีววิทยากับนักจิตเวชที่ได้ทำการบำบัดรักษาผู้คนที่อยู่ในรายชื่อพบว่าไม่สามารถเยียวยาได้ การดำเนินชีวิตของแต่ละคน ทัศนคติและความต้องการทางสังคมได้ถูกเพิกเฉย ไม่มีใครที่จะตรวจสอบว่า ผู้คนพยายามจะสื่อสารอะไร ทั้งจากการคิด การพูด อารมณ์ความรู้สึก ภาษากายและพฤติกรรมรูปแบบต่างๆ  สิ่งสำคัญก็คือการปรับเปลี่ยนสารเคมีในสมอง การต่อต้านข้อบกพร่องของยีนต์และการควบคุมพฤติกรรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่