ทฤษฎีหมวกฟอยล์ (Tin Foil Hat Theory) เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่เชื่อกันว่าการสวมหมวกที่ทำจากฟอยล์จะสามารถป้องกันการควบคุมจิตใจโดยรัฐบาล สายลับ กลุ่มอาชญากร หรือสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ใช้คลื่นไมโครเวฟในการฟัง ซึ่งทฤษฎีนี้ทำให้ผู้คนหลายประเทศเชื่อว่าตัวเองเป็น “บุคคลที่ตกเป็นเป้าหมาย” ในการสอดส่องหรือคุกคามของรัฐบาล สายลับหรือกลุ่มอาชญากร
หมวกฟอยล์ดีบุก คือหมวกที่ทำจากแผ่นฟอยล์ดีบุก หรือแผ่นอลูมิเนียม หรือจะเป็นแค่หมวกคลุมศีรษะธรรมดาที่บุด้วยฟอยล์ มักสวมใส่ด้วยความเชื่อหรือความหวังที่ว่าหมวกจะป้องกันสมองจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้า การควบคุมจิตใจ และการอ่านใจ แนวคิดในการสวมหมวกคลุมศีรษะที่ทำเองเพื่อป้องกันตนเองได้ แนวคิดเกี่ยวกับหมวกฟอยล์ดีบุกได้เข้ามาสู่วัฒนธรรมสมัยนิยมนานก่อนที่จะกลายเป็นความเชื่อที่แพร่หลาย ในเรื่องสั้นปี 1927 เรื่อง "The Tissue-Culture King" โดย Julian Huxley ตัวละครใช้หมวกโลหะเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกควบคุมจิตใจโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ชั่วร้าย เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า "หมวกฟอยล์" กลายเป็นคำพ้องความหมายกับความหวาดระแวงและทฤษฎีสมคบคิด
แต่ในปี 2005 มีการศึกษาค้นคว้าในเชิงเสียดสีโดยกลุ่มนักศึกษาจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) พบว่าหมวกฟอยล์สามารถป้องกันผู้สวมใส่จากคลื่นวิทยุในสเปกตรัมส่วนใหญ่ที่ทดสอบได้ แต่ขยายความถี่บางความถี่ที่ประมาณ 2.6 GHz และ 1.2 GHz
(Bruce Perens)
และในปีเดียวกัน Bruce Perens (โปรแกรมเมอร์ชาวอเมริกัน) ได้รายงานเกี่ยวกับการพบปะกันอย่างสนุกสนานระหว่าง Richard Stallman (ผู้ก่อตั้ง โครงการกนู และ มูลนิธิซอฟต์แวร์เสรี) และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในการประชุมสุดยอดโลกของสหประชาชาติเกี่ยวกับสังคมสารสนเทศ โดยมีชื่อเรื่องตลกๆ ว่า "Stallman Gets in Trouble with UN Security for Wearing a Tin-Foil Hat" แม้ว่า Stallman จะไม่ได้ประดิษฐ์หมวกฟอยล์มาสวมใส่ แต่เขาห่อบัตรประจำตัวที่มีอุปกรณ์ระบุตัวตนด้วยคลื่นวิทยุด้วยฟอยล์เพื่อเป็นการประท้วงการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเขา
หมวกฟอยล์ได้ปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น "Signs" (2002), "Noroi: The Curse" (2005) และ "Futurama: Into the Wild Green Yonder" (2009) อย่างในซีรีส์เรื่อง Watchmen ของ HBO มีตัวละครชื่อ Wade Tillman หรือที่รู้จักกันในชื่อ Looking Glass ซึ่งสวมหน้ากากที่ทำจากฟอยล์สะท้อนแสงและหมวกที่บุด้วยฟอยล์เพื่อปกป้องจิตใจของเขาจากการโจมตีทางจิตของมนุษย์ต่างดาวด้วยเช่นกัน
หมวกฟอยล์ หรือการเอาฟอยล์มาพันที่หัว ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดว่ามันสามารถป้องกันการถูกควบคุมจิตใจ หรือกันคลื่นรังสีไมโครเวฟได้ ทฤษฎี Tin Foil Hat จึงกลายเป็นเพียงแค่ทฤษฎีสมคบคิดที่ถกเถียงและพูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา :
https://en.wikipedia.org/wiki/Tin_foil_hat
ทำความรู้จักกับทฤษฎี “Tin foil hat” ทฤษฎีสมคบคิดที่สุดแสนจะหลุดโลก
หมวกฟอยล์ดีบุก คือหมวกที่ทำจากแผ่นฟอยล์ดีบุก หรือแผ่นอลูมิเนียม หรือจะเป็นแค่หมวกคลุมศีรษะธรรมดาที่บุด้วยฟอยล์ มักสวมใส่ด้วยความเชื่อหรือความหวังที่ว่าหมวกจะป้องกันสมองจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น สนามแม่เหล็กไฟฟ้า การควบคุมจิตใจ และการอ่านใจ แนวคิดในการสวมหมวกคลุมศีรษะที่ทำเองเพื่อป้องกันตนเองได้ แนวคิดเกี่ยวกับหมวกฟอยล์ดีบุกได้เข้ามาสู่วัฒนธรรมสมัยนิยมนานก่อนที่จะกลายเป็นความเชื่อที่แพร่หลาย ในเรื่องสั้นปี 1927 เรื่อง "The Tissue-Culture King" โดย Julian Huxley ตัวละครใช้หมวกโลหะเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกควบคุมจิตใจโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ชั่วร้าย เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า "หมวกฟอยล์" กลายเป็นคำพ้องความหมายกับความหวาดระแวงและทฤษฎีสมคบคิด
แต่ในปี 2005 มีการศึกษาค้นคว้าในเชิงเสียดสีโดยกลุ่มนักศึกษาจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) พบว่าหมวกฟอยล์สามารถป้องกันผู้สวมใส่จากคลื่นวิทยุในสเปกตรัมส่วนใหญ่ที่ทดสอบได้ แต่ขยายความถี่บางความถี่ที่ประมาณ 2.6 GHz และ 1.2 GHz
หมวกฟอยล์ หรือการเอาฟอยล์มาพันที่หัว ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดว่ามันสามารถป้องกันการถูกควบคุมจิตใจ หรือกันคลื่นรังสีไมโครเวฟได้ ทฤษฎี Tin Foil Hat จึงกลายเป็นเพียงแค่ทฤษฎีสมคบคิดที่ถกเถียงและพูดถึงกันมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Tin_foil_hat