ทฤษฎีหมวก 6 ใบ
เรื่อง หมวกกันน็อคช่วยให้ผู้ขับขี่จักรยานไม่ตาย
การใช้หมวกกันน็อค
อุบัติเหตุเกิด ขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ขับขี่มือใหม่ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม และหนึ่งในห้าของอุบัติเหตุสรุปได้ว่าเกิดขึ้นกับศรีษะหรือคอ การบาดเจ็บที่ศรีษะจะมีมีความร้ายแรงเท่ากับที่คอ จากการวิเคาะร์ได้แสดงให้เห็นว่าการบาดเจ็บที่ศรีษะและคอเป็นสาเหตุหลักของ การบาดเจ็บสาหัสถึงเสียชีวิต งานวิจัยยังได้แสดงให้เห็นว่าสามารถลดการบาดเจ็บที่หัวและคอได้โดยการสวมใส่ หมวกกันน๊อคอย่างถูกวิธีและถูกต้อง
นักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ขับรถจักยานยนต์โดยสวมหมวกกันน๊อคละ ไม่สวมหมวกกันน๊อคจากตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิต หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสอง อุบัติเหตุที่เกิดจากรถจักยานยนต์เก้าร้อยครั้งใน Los Angeles และอุบัติเหตุ 969 ครั้งในประเทศไทย ผบว่ามีตัวเลขผู้ได้รับความเสียหาย 1,082 คน ในการศึกษาทั้งสอง เกือบราวๆ 20-25% ของผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บและรักษาตัวในโรงพยาบาล และ 6% เสียชีวิตจากตัวเลขนั้น 2 -3 เท่าของผู้ไม่สวมหมวกกันน๊อคจะเสียชีวิต และ สามเท่าได้รับบาเจ็บ ใช้หมวกป้องกันไม่สามารถยับยั้งความหายนะทั้งหมดเพราะว่าผู้ขับขี่หลายคนบาด เจ็บส่วนล่างของหมวกกันน๊อคซึ่งหมวกไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตามมันมีประสิทธิภาพมากในความตายยับยั้งและการบาดเจ็บจากสมองของ ผู้ที่รอดชีวิตจากการบาดเจ็บของคอ
การใช้หมวกและไม่ใช้หมวกได้ถูกกำหนดโดยหลายวีธี ซึ่งได้รับการทดสอบและวิเคาะร์จากชิ้นส่วนหมวกกันน๊อคที่ได้รับความเสียหาย จากการชน อย่างไรก็ดีจากการสัมภาษณ์ของผู้ขับขี่ผู้โดยสารและผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อหาความเป็นไปได้ของสาเหตุและเวลาที่หมวกหลุดออก ใน Los Angeles มีเพียง 5% ของหมวกที่หลุดออกระหว่างการชน ซึ่งเพราะโดยปรกติแล้วเกิดจากผู้ขับขี่ไม่ได้ลัดสายลัดคาง แต่สำหรับในประเทศไทย หนึ่งในสี่ของหมวกจะหลุดออก ( ซึ่งเกิดจากการหมวกที่หลวม, คาดสายลัดคางไม่ดี หรือการออกแบบหมวกไม่ได้มาตฐาณ )
จากสถิติในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเสี่ยงมากที่จะสวมหมวก กันน๊อคที่ไม่ได้มาตฐานกว่าการที่ไม่สวมหมวกกันน๊อคเลย ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกเสียชีวิตมากกว่าสามเท่า และผู้ขับขี่ที่หมวกหลุดเสียชีวิตมากกว่าหกเท่าซึ่งเท่ากับผู้ขับขี่ที่สวม หมวกไม่ได้มาตฐาน
เหตุผลที่ไม่สวมหมวกกันน๊อค
1. ผู้ ขับขี่รถจักยานยนต์หลายคนคิดว่า เป็นการดีเสียกว่าที่จะตายจากอุบัติเหตุกว่าที่จะรอดชีวิตมากโดยที่ได้รับ บาดเจ็บทางสมอง ซึ่งในที่นี้หมายถึงการชนโดยที่ไม่มีหมวกคือการตาย ในขณะชนโดยที่มีหมวกหมายถึงการรอดชีวิตโดยที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน อย่างหนัก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นตัวเลือกที่จะขับขี่โดยที่ไม่สวมหมวกในที่สุด อย่างไรก็ตามการไม่สวมหมวกกันน๊อคจะได้รับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งสองอย่าง คือ ตาย และ พิการทางสมอง การขับขี่โดยไม่สวมหมวกกันน๊อคที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยจะมีความเสี่ยงใน การเสียชีวิตสองถึงสามเท่าและ มีความเสี่ยงเป็นสามเท่าที่จะได้รับการบาดเจ็บทางสมองถ้าหากผู้ขับขี่นั้น รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจากอุบัติเหตุการชนของของผู้ขับขี่รถจักยาน ยนต์กว่า 2000 คน ดังนั้นผู้ขับขี่รถจักยานยนต์ไม่ควรขับขี่โดยที่ไม่ได้สวมหมวกกันน๊อคที่ได้ รับมาตรฐาน
2. ผู้ขับขี่บางคนไม่สวมหมวกเพราะว่าหมวกนั้นบดบังทัศนะวิสัยด้านข้าง ซึ่งบางส่วนสวมหมวกในเฉพาะการขับทางไกลหรือในขณะขับด้วยความเร็วสูง ซึ่งเราจะได้พิจารณากันได้ดังต่อไปนี้
หมวกได้รับมาตรฐานคุณจะสามารถมองเห็นด้านข้างได้ไกลเท่าที่คุณมีความจำ เป็นที่จะเห็น ในการศึกษาการชนของรถจักยานยนต์มากกว่า 900 กว่าe 40% ของผู้ขับขี่สวมหมวกกันน๊อคไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สวมหมวกกันนีอคแล้วมองไม่ เห็นจุดอันตราย
อุบัติเหตุส่วนมากเกิดขึ้นใจการขับในระยะทางสั้นๆ ( น้อยกว่า ห้าไมล์ ) เพียแค่เวลาเพียงเล็กน้อยหลังจากขับออกไป
ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ขับช้ากว่า 30 ไมล์ ในระหว่างเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความเร็วเท่านี้ หมวกกันน๊อคสามารถป้องความรุนแรงและกันการบาดเจ็บศีรษะได้ครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าความเร็วเท่าไดก็ตาม ผู้ขับขี่ที่สวมหมวกกันน๊อคจะมีโอกาสที่จะรอดชีวิตจากความรุนแรงที่เกิดกับ ศรีษะมากกว่าไม่สวมหมวกในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ
3. ผู้ขับขี่บางส่วนสวมหมวกในเวลาที่มีตำรวจและบังคับใช้โดยกฏหมายเท่า นั้นซึ่งเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี ซึ่งอุบัติเหตุจะเกิดในเวลาที่มีตำรวจตั้งด่านจับอยู่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย มาก และมันไม่เกี่ยวกับตำรวจเลยที่จะรักษาชีวิตคุณในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ ตำรวจสนใจแค่ต้องการให้ทำถูกกฏหมายจราจรเท่านั้น คุณควรสนใจที่จะป้องกันชีวิตคุณมากกว่าหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับ
คำถามคือ...หมวกแต่ละสี...เป็นอย่างไรบ้าง...??
ช่วยตอบ ทฤษฎีหวมก 6 ใบ หน่อยค่ะ
เรื่อง หมวกกันน็อคช่วยให้ผู้ขับขี่จักรยานไม่ตาย
การใช้หมวกกันน็อค
อุบัติเหตุเกิด ขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ขับขี่มือใหม่ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม และหนึ่งในห้าของอุบัติเหตุสรุปได้ว่าเกิดขึ้นกับศรีษะหรือคอ การบาดเจ็บที่ศรีษะจะมีมีความร้ายแรงเท่ากับที่คอ จากการวิเคาะร์ได้แสดงให้เห็นว่าการบาดเจ็บที่ศรีษะและคอเป็นสาเหตุหลักของ การบาดเจ็บสาหัสถึงเสียชีวิต งานวิจัยยังได้แสดงให้เห็นว่าสามารถลดการบาดเจ็บที่หัวและคอได้โดยการสวมใส่ หมวกกันน๊อคอย่างถูกวิธีและถูกต้อง
นักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ขับรถจักยานยนต์โดยสวมหมวกกันน๊อคละ ไม่สวมหมวกกันน๊อคจากตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิต หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสอง อุบัติเหตุที่เกิดจากรถจักยานยนต์เก้าร้อยครั้งใน Los Angeles และอุบัติเหตุ 969 ครั้งในประเทศไทย ผบว่ามีตัวเลขผู้ได้รับความเสียหาย 1,082 คน ในการศึกษาทั้งสอง เกือบราวๆ 20-25% ของผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บและรักษาตัวในโรงพยาบาล และ 6% เสียชีวิตจากตัวเลขนั้น 2 -3 เท่าของผู้ไม่สวมหมวกกันน๊อคจะเสียชีวิต และ สามเท่าได้รับบาเจ็บ ใช้หมวกป้องกันไม่สามารถยับยั้งความหายนะทั้งหมดเพราะว่าผู้ขับขี่หลายคนบาด เจ็บส่วนล่างของหมวกกันน๊อคซึ่งหมวกไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตามมันมีประสิทธิภาพมากในความตายยับยั้งและการบาดเจ็บจากสมองของ ผู้ที่รอดชีวิตจากการบาดเจ็บของคอ
การใช้หมวกและไม่ใช้หมวกได้ถูกกำหนดโดยหลายวีธี ซึ่งได้รับการทดสอบและวิเคาะร์จากชิ้นส่วนหมวกกันน๊อคที่ได้รับความเสียหาย จากการชน อย่างไรก็ดีจากการสัมภาษณ์ของผู้ขับขี่ผู้โดยสารและผู้เห็นเหตุการณ์ เพื่อหาความเป็นไปได้ของสาเหตุและเวลาที่หมวกหลุดออก ใน Los Angeles มีเพียง 5% ของหมวกที่หลุดออกระหว่างการชน ซึ่งเพราะโดยปรกติแล้วเกิดจากผู้ขับขี่ไม่ได้ลัดสายลัดคาง แต่สำหรับในประเทศไทย หนึ่งในสี่ของหมวกจะหลุดออก ( ซึ่งเกิดจากการหมวกที่หลวม, คาดสายลัดคางไม่ดี หรือการออกแบบหมวกไม่ได้มาตฐาณ )
จากสถิติในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเสี่ยงมากที่จะสวมหมวก กันน๊อคที่ไม่ได้มาตฐานกว่าการที่ไม่สวมหมวกกันน๊อคเลย ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกเสียชีวิตมากกว่าสามเท่า และผู้ขับขี่ที่หมวกหลุดเสียชีวิตมากกว่าหกเท่าซึ่งเท่ากับผู้ขับขี่ที่สวม หมวกไม่ได้มาตฐาน
เหตุผลที่ไม่สวมหมวกกันน๊อค
1. ผู้ ขับขี่รถจักยานยนต์หลายคนคิดว่า เป็นการดีเสียกว่าที่จะตายจากอุบัติเหตุกว่าที่จะรอดชีวิตมากโดยที่ได้รับ บาดเจ็บทางสมอง ซึ่งในที่นี้หมายถึงการชนโดยที่ไม่มีหมวกคือการตาย ในขณะชนโดยที่มีหมวกหมายถึงการรอดชีวิตโดยที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน อย่างหนัก ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นตัวเลือกที่จะขับขี่โดยที่ไม่สวมหมวกในที่สุด อย่างไรก็ตามการไม่สวมหมวกกันน๊อคจะได้รับผลร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งสองอย่าง คือ ตาย และ พิการทางสมอง การขับขี่โดยไม่สวมหมวกกันน๊อคที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยจะมีความเสี่ยงใน การเสียชีวิตสองถึงสามเท่าและ มีความเสี่ยงเป็นสามเท่าที่จะได้รับการบาดเจ็บทางสมองถ้าหากผู้ขับขี่นั้น รอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาจากอุบัติเหตุการชนของของผู้ขับขี่รถจักยาน ยนต์กว่า 2000 คน ดังนั้นผู้ขับขี่รถจักยานยนต์ไม่ควรขับขี่โดยที่ไม่ได้สวมหมวกกันน๊อคที่ได้ รับมาตรฐาน
2. ผู้ขับขี่บางคนไม่สวมหมวกเพราะว่าหมวกนั้นบดบังทัศนะวิสัยด้านข้าง ซึ่งบางส่วนสวมหมวกในเฉพาะการขับทางไกลหรือในขณะขับด้วยความเร็วสูง ซึ่งเราจะได้พิจารณากันได้ดังต่อไปนี้
หมวกได้รับมาตรฐานคุณจะสามารถมองเห็นด้านข้างได้ไกลเท่าที่คุณมีความจำ เป็นที่จะเห็น ในการศึกษาการชนของรถจักยานยนต์มากกว่า 900 กว่าe 40% ของผู้ขับขี่สวมหมวกกันน๊อคไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สวมหมวกกันนีอคแล้วมองไม่ เห็นจุดอันตราย
อุบัติเหตุส่วนมากเกิดขึ้นใจการขับในระยะทางสั้นๆ ( น้อยกว่า ห้าไมล์ ) เพียแค่เวลาเพียงเล็กน้อยหลังจากขับออกไป
ผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ขับช้ากว่า 30 ไมล์ ในระหว่างเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความเร็วเท่านี้ หมวกกันน๊อคสามารถป้องความรุนแรงและกันการบาดเจ็บศีรษะได้ครึ่งหนึ่ง ไม่ว่าความเร็วเท่าไดก็ตาม ผู้ขับขี่ที่สวมหมวกกันน๊อคจะมีโอกาสที่จะรอดชีวิตจากความรุนแรงที่เกิดกับ ศรีษะมากกว่าไม่สวมหมวกในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ
3. ผู้ขับขี่บางส่วนสวมหมวกในเวลาที่มีตำรวจและบังคับใช้โดยกฏหมายเท่า นั้นซึ่งเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี ซึ่งอุบัติเหตุจะเกิดในเวลาที่มีตำรวจตั้งด่านจับอยู่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย มาก และมันไม่เกี่ยวกับตำรวจเลยที่จะรักษาชีวิตคุณในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ ตำรวจสนใจแค่ต้องการให้ทำถูกกฏหมายจราจรเท่านั้น คุณควรสนใจที่จะป้องกันชีวิตคุณมากกว่าหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับ
คำถามคือ...หมวกแต่ละสี...เป็นอย่างไรบ้าง...??