#ลำนำแห่งเส้นทางสายไหม (Rhythm of the Silk Road) โดย #พิมพ์ภัสสร

เรื่อง ลำนำแห่งเส้นทางสายไหม (Rhythm of the Silk Road)
โดย #พิมพ์ภัสสร

ครั้งหนึ่งเมื่อโบราณกาลมา
มีสตรีโฉมสคราญนาม “#จิวฮวา”
ใบหน้างดงามที่ว่าน่าจะชักชวนให้ผู้คนหลงใหลแล้ว
เสียงดนตรีบรรเลงเพลงผ่าน “#กู่ฉิน” ของนางนั้น
ยิ่งกลับน่าเป็นที่หลงใหลเสียยิ่งกว่า
เสียงบรรเลงเพลงของนางนั้น
แอบแฝงไว้ด้วยพลังดึงดูดอันน่ามหัศจรรย์
ชักนำและสะกดผู้คนที่รายล้อม
รอบกายภายใต้รัศมีในระยะหนึ่งลี้
ทุกวาจาที่นางเอื้อนเอ่ยคล้ายดั่งมีมนต์สะกด
ผู้คนที่ได้สดับรับฟังต่างยินยอม
พร้อมทำตามที่วาจานั้นเอื้อนปากเอ่ย

ในระหว่างการเดินทาง ณ ห้วงเพลาหนึ่ง
บนเส้นทางสายไหมที่ทอดยาว
โชคชะตาชักพานำทางให้นางได้พานพบกับ “เขา”
“ชื่อซิ่น” ชายผู้มีเพียง “ซอปั่นหู” เป็นสมบัติคู่กาย
บทเพลงที่บรรเลงโดย “ซอปั่นหู” ของเขา
แม้ดูเหมือนจะมีความไพเราะ
แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าว
ดูเหมือนจะอ่อนโยน
แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความแข็งกระด้าง
นั่นอาจเป็นเพราะบทเพลงของเขา
มีไว้บรรเลงเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเอง
ในแบบหาเช้ากินค่ำ
เสียงเพลงที่ได้บรรเลงออกมานั้น
จึงเจือปนไปด้วยความรู้สึก
ของคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
ตามความลำบากในชีวิตที่เขาได้รับ

“จิวฮวา” มองหาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วทอดกายลงกับพื้น
หลังจากนั้นร่วมบรรเลงบทเพลงพร้อมกับ “ชื่อซิ่น”
เสียงเพลง “ความรักของเทพธิดาทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัว ”
ที่ถูกประสานกันด้วยเสียงของ “กู่ฉิน” และ “ซอปั่นหู”
ด้วยอำนาจแห่งพลังดึงดูดจากเสียง “กู่ฉิน” ของ “จิวฮวา”
ผู้คนที่อยู่รอบกายนางภายใต้ระยะรัศมีหนึ่งลี้
ต่างถูกแรงดึงดูดให้เข้าหา
แต่ก่อนที่นางจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ต่อพวกเขา
“ ชื่อซิ่น” กลับหรี่ตรงเข้าไปขวางหน้ากลุ่มชน
ที่กำลังยืนรายล้อมอยู่รอบตัวนาง
พร้อมกับเอื้อนเอ่ยถามนางด้วยความว่า
“ ด้วยการจ่ายเงินจำนวน 5 ชั่ง
นั้นมีค่าคู่ควรแก่การได้สดับรับฟัง
บทเพลงจาก “กู่ฉิน” ของเจ้าสักหนึ่งครา
เป็นเช่นนั้น...ใช่หรือไม่ ?? “จิวฮวา”
จิวฮวาเมื่อนางได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น
แม้ในใจจะรู้สึกหนักหน่วง
นั่นเพราะบทเพลงของนางนั้น
มิเคยได้มีไว้ใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์
เรียกร้องเอาสิ่งของล้ำค้าใดๆจากผู้ฟัง
สิ่งที่นางเอื้อนปากเอ่ยร้องขอคงมีเพียงบุปผางาม
ที่ถูกนำมาใช้ประดับลงบนมุ่นมวยผมสลวยสีดำขลับ

แต่ด้วยความสงสารที่เห็น “ ชื่อซิ่น” นั้น
ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความอัตคัด
ไม่สามารถล่วงรู้ชะตาได้ว่า
วันนี้ พรุ่งนี้ และในวันข้างหน้าต่อไป
ชีวิตของเขาจะมีอยู่มีกินอีกต่อไปหรือไม่
เมื่อเป็นดังนั้น นางจึงเอ่ยปากรับคำ
ตามถ้อยวาจาที่เขาได้กล่าวซักถาม
เมื่อเป็นเช่นนั้น ประกาศิตจากปากของนาง
จึงส่งผลทำให้ความต้องการของ “ ชื่อซิ่น” สัมฤทธิ์ผล
แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นนางตั้งใจว่า
เมื่อสามารถช่วยเหลือเขาได้สักระยะ
จนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ลำบาก
นางก็จะขออำลาเขาเพื่อที่ได้เดินทางต่อไป
บนเส้นทางชีวิตของตัวนางเอง
แต่มิคาด “ชื่อซิ่น” กลับเรียกร้องจำนวนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากเดิม 5 ชั่ง ผันเปลี่ยนเป็น 10 ชั่ง
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุด
จำนวนเงินที่เรียกร้องเป็นจำนวนถึง 100 ชั่ง

อีกทั้งความปราถนาในการมีชื่อเสียง
ที่มีมากเสียจนน่าหวาดหวั่น
แม้ว่าจะเพื่อเป็นการชดเชย
ในสิ่งที่เคยถูกผู้อื่นกระทำ
ถูกหยามเกียรติ์ในความเป็นคนของเขา
ที่แท้แล้วครั้งหนึ่งนั้น " ชื่อซิ่น " นั้นเคยเป็นเคหบดีมาก่อน
แต่กลับโชคร้ายด้วยต้องกลโกงจากคู่แข่งทางการค้า
ทำให้ตระกูล " ชื่อ " กลับต้องล่มสลาย
ล้มละลายและพังพินาศลง
ผู้คนที่เคยให้การอุปถัมภ์กลับต่างพากันหนีหน้า
ปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างไร้ซึ่งเยื่อใย
มองดูแคลนเขาคล้ายประหนึ่งตัวเขานั้นเช่นขอทาน
ร้ายที่สุด คือ คนรักของเขาทอดทิ้งเขาไป
ในวันที่ใกล้จะครบรอบวันเกิดของเขาพอดี
เป็นเหตุให้ภาพความทรงจำร้าย ๆ
จากความสูญเสียครั้งนั้น
ตามหลอกหลอนเขาอยู่เรื่อยมา
และเป็นที่น่าประหลาดใจเป็นยิ่งนัก
เมื่อวันและเดือนในวันครบรอบ
วันคล้ายวันเกิดของ " จิวฮวา "
กับอดีตคนรักของเขานั้นตรงกันโดยมิได้นัดหมาย

เพื่อลบปมในใจและบาดแผล
ที่คนรักเก่าได้สร้างเอาไว้
" ชื่อซิ่น " จึงอาศัยพลังดึงดูด
จากเสียง " กู่ฉิน " ของ  " จิวฮวา "
มาสร้างชื่อเสียงให้กับตน
ซึ่งนอกจากจะได้เงินมีค่าหลายชั่ง
ผู้ฟังจำนวนมากก็พลอยรู้จัก
ด้วยอาศัย " จิวฮวา " ที่เปรียบเสมือน
เป็นเงามืดแห่งความแค้น
ที่เขามีในตัวหญิงผู้เป็นคนรักเก่า
ให้ทำตามในทุกสิ่งที่ตัวเขาปราถนา
ด้วยอานุภาพแห่งแรงดึงดูดของ "กู่ฉิน"นั้น

“จิวฮวา” ไม่อาจยอมรับต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
เหล่านี้ของ “ชื่อซิ่น” ได้
นางจึงตัดสินใจเลือกที่จะ
เดินจากมาโดยไม่กล่าวคำร่ำลา
และแม้ว่านางจะเคยมีส่วนร่วม
ในการประพันธ์บทเพลงร่วมกับเขาอยู่ไม่น้อย
นางก็หาได้ฉกฉวยโอกาสนำเอาเพลงเหล่านั้น
ไปใช้เพื่อประโยชน์เป็นการส่วนตนไม่
นางยินยอมพร้อมใจที่จะจากมาด้วยตัวเปล่า
อันสมบัติพัสสถานที่มีอยู่นั้นอาจมีวันสูญสลาย
แต่สุดท้ายมันก็ยังสรรค์สร้าง
ให้มันกลับมามีขึ้นมาใหม่ได้อยู่ดี
แต่ศักดิ์ศรีนั้นเล่าหากทำตกหล่นไป
จะเหลือสิ่งใดไว้ให้โลกใบนี้ได้จดจำ

ต่อมา นางได้พบกับ “#ฮุ่ยเหอ”
ชายผู้มีขลุ่ยไม้ไผ่เป็นสมบัติประจำกาย
ขลุ่ยของเขามีอำนาจประหลาด
ที่ช่วยรักษาและเยียวยาจิตใจผู้คน
ที่ได้สดับรับฟังเสียงของมันได้
แต่ก่อนนั้นเสียงขลุ่ยของ "ฮุ่ยเหอ"
มีไว้เพียงเพื่อขับกล่อมมารดาผู้เป็นที่รักยิ่ง
ด้วยเขาเป็นลูกที่มีความกตัญญู
เป็นบุตรเพียงคนเดียวจากหนึ่งในเจ็ดคนพี่น้อง
ที่คอยปรนนิบัตรดูแลมารดาด้วยความใกล้ชิด
แต่เมื่อถึงคราที่มารดาได้สิ้นบุญไปจากโลกนี้เสียแล้ว
" ฮุ่ยเหอ " จึงเลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง
ถ่ายทอดเสียงเพลงจากขลุ่ยของเขาให้แก่บรรดาผู้ยากไร้
ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านบทเพลงจากใจสู่ใจ
จากจิตวิญญาณหนึ่งไปสู่อีกห้วงจิตวิญญาณหนึ่ง
ซึ่งความอบอุ่นที่เขาได้ถ่ายทอดออกไปผ่านบทเพลงนั้น
ส่งผลในการช่วยเยียวยาความทุกข์ของผู้ยากไร้
ให้กลับมามีพลังชีวิตและยืนหยัดลุกขึ้นสู้
ต่อไปได้ในภายภาคหน้า

" จิวฮวา " รู้สึกประหลาดระคนประทับใจ
นางมองหาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วทอดกายลงกับพื้น
หลังจากนั้นร่วมบรรเลงบทเพลงพร้อมกับ "ฮุ่ยเหอ”
เสียงเพลง “ความรักของเทพธิดาทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัว ”
เหมือนเฉกเช่นเมื่อคราที่
ได้เคยบรรเลงบทเพลงร่วมกับ "ชื่อซิ่น”
ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันด้วยการประสานกัน
ด้วยเสียงของ “กู่ฉิน” และ "ขลุ่ยไม้ไผ่”
ด้วยอำนาจแห่งพลังดึงดูดจากเสียง “กู่ฉิน” ของ “จิวฮวา”
ผู้คนที่อยู่รอบกายนางภายใต้ระยะรัศมีหนึ่งลี้
ต่างก็ถูกแรงดึงดูดให้เข้าหาอีกเช่นเคย
แต่กลับผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมก็ตรงที่ว่า
สิ่งที่ "ฮุ่ยเหอ" ตัองการจากผู้ฟัง
ที่ถูกดึงดูดจากเสียงดนตรีของนางนั้น
หาใช่เงินจำนวน 5 ชั่ง ดั่งเช่นที่ "ชื่อซิ่น" ต้องการไม่
แต่กลับเป็นการได้ใช้ดนตรีของเขาช่วยเหลือคนเหล่านั้น
ให้หลุดพ้นจากความมืดมิดภายในจิตใจ

เมื่อพวกเขาต่างเห็นว่าการร่วมกัน
บรรเลงบทเพลงด้วยดนตรีของพวกเขา
ยังประโยชน์แก่ผู้คนจำนวนมากได้
จึงต่างพากันออกท่องเที่ยวไปทั่วแดน
โดยใช้เสียงบรรเลงจากเครื่องดนตรีของพวกเขา
ร้อยเรียงเสียงประสานถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลง
โดยใช้เสียงที่บรรเลงออกจาก “กู่ฉิน” ของ “จิวฮวา”
ดึงดูดผู้คนที่อยู่ภายใต้ระยะรัศมีหนึ่งลี้ให้เข้าหา
จากนั้นจึงใช้เสียงจาก #ขลุ่ยไม้ไผ่ ของ “#ฮุ่ยเหอ”
รักษาและเยียวยาจิตใจที่กำลังรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
จนกลับมามีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตได้เหมือนเดิม
พวกเขาทั้งสองต่างร่วมกันใช้พลังที่เกิดบทเพลงของพวกเขา
ออกช่วยผู้คนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังตลอดทางที่ได้พบพาน
บนเส้นทางสายไหมที่ทอดไกล...ไปนับพันลี้

(บทกลาง)
ต่อมาไม่นานนัก " จิวฮวา " ได้ทราบข่าวว่า
บทเพลงที่นางได้เคยประพันธ์เอาไว้ร่วมกับ " ชื่อซิ่น "
มีโอกาสที่จะได้ถูกนำไปใช้ในบรรเลงในพระราชพิธี
ต่อหน้าพระที่นั่งขององค์พระจักรพรรดิ์
รวมไปถึงเหล่าบรรดาเสนาบดีและเคหบดี
ที่จะถูกเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วมในงานนั้น
และนั่นอาจเป็นผลดีที่พลังดึงดูดจาก "กู่ฉิน" ของนาง
จะเรียกผลประโยชน์ได้มากมายเป็นจำนวนมหาศาล
แต่นางก็หาได้ปราถนาความสุขที่จะเป็นเยี่ยงนั้นไม่
แต่กลับเป็น คนรักเก่าของเขา " ชื่อซิ่น "
ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้เคยทอดทิ้งเขาไป
ในยามที่เขากำลังตกทุกข์อย่างถึงที่สุด
ได้หวนกลับเข้ามาและนางพยายามทุกวิถีทาง
เพื่อที่จะทวงคืนทุกสิ่งที่เคยสูญเสียไป
เมื่อครั้งที่คราวที่เคยตกอับพร้อมกันกับ "ชื่อซิ่น"
และมีหนทางเดียวเท่านั่นที่นางจะได้ทุกสิ่งกลับคืนมา
นั่นก็คือการกำจัดจิวฮวาออกไปไกลจากชีวิตของชื่อซิ่น
โดยไม่มีวันที่นางจะได้หวนกลับไปหา "ชื่อซิ่น" ได้อีกชั่วนิรันดร์
และแม้แต่ ณ ตอนนี้...นางก็ยังคงเดินหน้าแสวงหาทุกวิถีทาง
เพื่อล่อลวงให้ตัวของจิวฮวาหลงกล
ตกลงไปในหลุมของห้วงกับดักแห่งนาง...อีกครั้ง


(บทสรุป)
" จิวฮวา...ถ้าหากข้ามิอาจเดินทางร่วมไปกับเจ้า
มิอาจอยู่ร่วมบรรเลงเพลงพร้อมกับกู่ฉินของเจ้าแล้ว
เจ้าคิดหรือไม่...ที่จะเดินย้อนกลับไปในหนทางที่เจ้าได้เดินจากมา "
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยคำถามประโยคนี้ขึ้นมา
ในขณะที่เขากำลังเพ่งพิศไปที่ข่าวสาร
ที่ติดประกาศเกี่ยวกับงานพระราชพิธีโดยทางราชสำนัก
ในมือของเขาถือขลุ่ยไม้ไ่ผ่ที่แม้ว่ามันจะดูเก่า
เพราะการใช้งานมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
แต่มันก็ยังแลดูสวยไม่ได้ผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
" เหตุใดท่านจึงเอ่ยถามข้าเยี่ยงนั้นเล่า ?? ฮุ่ยเหอ ??
ท่านยังจดจำวันแรกที่เราทั้งสองได้มีโอกาสพบเจอกันหรือไม่ ??
วันที่ข้ารู้สึกประหลาดใจในยามที่ได้พบเห็นท่าน
ใช้พลังที่เกิดจากบทเพลงที่บรรเลงผ่านขลุ่ยไม้ไผ่ของท่าน
ไปใช้เยียวยารักษาจิตใจให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น
ท่านยังจดจำมันได้หรือไม่ ?? "
" ด้วยข้านับแต่เล็กมานั้น
เติบโตมาด้วยความประคบประหงม
ถูกเลี้ยงดูทะนุทะนอมให้พรั่งพร้อม
ไปด้วยความสะดวกสบาย
หากแต่ทั้งบิดาและมารดาของข้าในกาลก่อน
หาใช่มีพรั่งพร้อมดั่งที่ท่านเห็นนี้ไม่
ท่านทั้งสองต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนทำมาหากิน
จนกระทั่งมีได้ที่เห็นที่เป็นดั่งเช่นทุกวันนี้
สำหรับข้าผู้เป็นบุตรีแม้ว่าจะได้รับ
ความสะดวกสบายจากความพรั่งพร้อมมั่งมี
แต่ข้าก็รู้สึกเหมือนยังมีบางสิ่งขาดหายไป
จากส่วนลึกภายในจิตใจของข้า
ข้าจึงออกเดินทางเพื่อเสาะเเสวงหามัน
ความรู้สึกยากลำบากที่ขมขื่น
เพื่อรู้ซึ้งถึงหนทางที่จะนำไปสู่ความสุข
ที่ได้พบหลังจากได้เผชิญหน้า
กับความยากลำบากนั้นด้วยตัวของข้าเอง
ข้าคงรู้สึกมีความภาคภูมิใจ
ที่ข้าสามารถที่จะเป็นเฉกเช่น
บิดาและมารดาของข้าในกาลก่อนได้ "
" ครั้งหนึ่งข้าเคยเสาะแสวงหามัน
จากการได้เดินทางร่วมบรรเลงบทเพลง
ร่วมกับชื่อซิ่นในชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่สุดท้ายด้วยความเชื่อและปณิธาน
ที่ต่างกันจึงทำให้ข้าเลือกที่จะเดินจากมา
เเล้วไยท่านจึงเอ่ยปากผลักไสข้า
ให้เดินย้อนกลับไปในทางที่
ข้าได้เลือกที่เดินหันหลังกลับมาเล่า ???
แม้นมิมีท่านอยู่ข้างกาย
การมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ท่ามกลางทะเลทราย
อาจมีความหมายมากกว่า
การแก่งแย่งชิงเพื่อขึ้นไปสู่อำนาจ
เพื่อให้ได้เดินเยียบขึ้นไปให้ถึง
พรมที่ทอลาดยาวไปถึง
บัลลังค์ทองในท้องพระโรง "
เมื่อฮุ่ยเหอได้ยินนางกล่าวตอบเช่นนั้น
เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามคำถามใดๆ ต่อ
พลางเตรียมหาทำเลที่มั่น
เพื่อบรรเลงเพลงจากขลุ่ยไม้ไผ่ของเขาต่อ
จิวฮวา เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้น
นางจึงมองหาทำเลที่มั่น
เฉกเช่นเดียวกันกับเขา
แล้วร่วมใช้กู่ฉินของนาง
บรรเลงเพลงร่วมกับเขา
เหมือนเช่นที่เคยเป็นตลอดมา
จนกว่าวันใดวันหนึ่ง
เมื่อถึงคราที่จะต้องแยกจากกัน
นางก็จะยังคงยึดเอาเขาเป็นแบบอย่าง
แบบอย่างที่ชื่อว่า " ฮุ่ยเหอ "
ซึ่งสามารถแปลความหมายออกมาได้ความว่า
" สายธาราแห่งความการุณย์ "
- THE END -

#แรงบันดาลใจจากเพลง : #伯牙绝弦 (#โป๋หยาตัดสายพิณ)
By #王力宏 (#WangLeehom)
MV : www.youtube.com/watch?v=sR41tGoiKWQ
#ลำนำแห่งเส้นทางสายไหม (#RhythmoftheSilkRoad)
ณ วันที่ 13/01/2560






คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่